“นายหญิง จะไปอูเหมียวจริงๆ หรือเจ้าคะ” ใบหน้าขาวของอาหมานตื่นตะลึง นางรีบเอามือปิดปาก
อาเฉี่ยวงงงันพลางดึงแขนเสื้อของอาหมาน “อูเหมียวคือที่ไหนรึ”
อาหมานตื่นตระหนกพูดรัวออกมาเป็นชุด “อูเหมียวอยู่ที่ทางใต้ เป็นดินแดนที่คั่นระหว่างต้าโจวกับหนานหลานอย่างไรล่ะ ที่นั่นผู้หญิงเป็นใหญ่กว่าผู้ชาย ข้าได้ยินมาว่าสตรีมีสิทธิ์เลือกคู่ครองของตัวเอง…”
อาเฉี่ยวเผยสีหน้าประหลาดใจ
เหตุไฉนนางถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของอาหมานฟังดูตื่นเต้นอย่างไรชอบกล ยัยคนนี้นอกจากจะไม่ช่วยห้ามนายหญิงแล้ว นี่คงไม่ได้เก็บสัมภาระติดสอยห้อยตามไปด้วยใช่หรือเปล่า
เมื่อสันนิษฐานดังนั้น อาเฉี่ยวจึงรีบปราม “นายหญิง อูเหมียวอยู่ห่างจากเมืองหลวงตั้งไกล จะไปไม่ได้นะเจ้าคะ มันอันตรายเกินไป”
“ข้าตัดสินใจแล้ว” เจียงซื่อกล่าวเสียงเรียบ
ในเมื่อตัดสินใจแล้ว นางก็ไม่รีรอ นางต้องพาพี่รองกลับมาให้เร็วที่สุด เพราะไม่แน่นางอาจจะพากลับมาได้ทันก่อนฉลองขึ้นศักราชใหม่
ครั้นเห็นเจียงซื่อบอกเช่นนั้น หน้าของอาเฉี่ยวก็ซีดขาวกว่าเก่า นางกล่าวอย่างกังวล “นายหญิง นายหญิงเป็นถึงพระชายา ก่อนจะเดินทางไปทางใต้ไม่ต้องขอพระราชทานอนุญาตจากฝ่าบาทก่อนหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อส่ายหน้า “เรื่องนี้จะให้ฮ่องเต้และฮองเฮาทราบไม่ได้เป็นอันขาด”
สาวรับใช้ทั้งสองฉงนหนัก
อาหมานอดถามเสียมิได้ “เหตุไฉนถึงบอกไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
เมื่อเป็นสาวรับใช้คนสนิททั้งสอง เจียงซื่อไม่มีอะไรต้องปิดบัง นางอธิบายต่อ “ที่ข้าต้องไปที่อูเหมียวเพราะมีคนขอร้องให้ไปทำภารกิจ ฉะนั้นจะไปในสถานะพระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ได้”
นี่เป็นเรื่องที่นางตกลงกับผู้อาวุโสฮวาไว้ก่อนแล้ว
ในเมื่อนางต้องปลอมตัวเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งจะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเสด็จไปทางใต้
และยิ่งในมุมของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แค่โอรสของตัวเองไปทำภารกิจที่ทางใต้อย่างลับๆ ก็หนักใจมากพออยู่แล้ว หากสะใภ้ต้องทำแบบเดียวกัน เขาคงยอมไม่ได้ เจียงซื่อคิดว่าหากนางเข้าวังไปขออนุญาต จิ่งหมิงฮ่องเต้อาจให้นางไป แต่ไม่มีทางให้นางปิดบังตัวตนอย่างแน่นอน อีกทั้งยังขาดองครักษ์ผู้พิทักษ์ไปเสียมิได้
เผ่าอูเหมียวมิใช่คนโง่ หากออกประกาศว่านางไปเยือนที่นั่น โอกาสที่ภารกิจจะล้มเหลวย่อมมีมากตามไปด้วย หากนางทำตามคำขอของหัวหน้าผู้อาวุโสไม่สำเร็จ การจะพาพี่รองกลับมาคงยากขึ้นเป็นเท่าตัว
ในมุมของเจียงซื่อ การปลอมตัวเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์เพียงครั้งเดียวแลกกับตัวของพี่ชายถือเป็นข้อตกลงที่คุ้มค่า แต่หากสุดท้ายนางทำตามที่ตกลง แต่อีกฝ่ายกลับเล่นไม่ซื่อ นางก็จะถือว่าความสัมพันธ์อันดีที่นางเคยมีต่ออูเหมียวเมื่อชาติก่อนถือเป็นอันสิ้นสุด และหลังจากนี้จะไม่มีการออมมือใดๆ ทั้งสิ้น
“แต่หากนายหญิงแอบไป แล้วผู้สูงศักดิ์ในวังเรียกหาจะอย่างอย่างไรเจ้าคะ อีกไม่นานก็จะใกล้เทศกาลปีใหม่แล้วนะเจ้าคะ…” อาเฉี่ยวไม่สบายใจอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อตระหนักได้ว่านายหญิงแน่วแน่เพียงใด นางก็สิ้นหวังยิ่งนัก
เมื่อก่อนแค่นายหญิงแอบออกไปเที่ยวเล่นดึกๆ ดื่นๆ นางก็กลุ้มใจจะแย่แล้ว แต่หากเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้ เรื่องตอนนั้นเล็กน้อยไปเลย
“ข้าจะเข้าไปที่วังหลวง แจ้งเหตุผลกับทุกคนว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะเก็บตัวอยู่แต่ในจวนเท่านั้น สิ่งที่พวกเจ้าจะต้องทำก็คือเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ หากมีใครมาเยี่ยมข้าที่จวนก็ปฏิเสธลูกเดียว”
อาหมานชะงักงันพลางถามด้วยความสงสัย “นายหญิง นายหญิงจะไม่พาบ่าวไปด้วยหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อหัวเราะอย่างจนใจ “พาเจ้าไปทำอะไร การที่ข้าไม่อยู่นานๆ อาจทำให้คนสงสัย หากให้เจ้าไปด้วย ผู้คนคงยิ่งสงสัยหนัก”
อาหมานไหล่ห่อคอตกในทันใด
อาเฉี่ยวลอบถอนหายใจ
ในเมื่อเปลี่ยนใจนายหญิงไม่ได้ก็ยังดีที่มีอาหมานอยู่ช่วยนางรับมือ เพราะนางกลัวว่าหากอยู่คนเดียวจะรับมือไม่ไหว แล้วจะทำให้นายหญิงเสียเรื่อง
เช้าวันถัดมา เจียงซื่อเข้าวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮองเฮา
ครั้นเห็นเจียงซื่อ ท่าทีของฮองเฮาก็เปี่ยมไปด้วยความโอบอ้อมอารี “ท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน หากเจ้ามีปัญหาอะไรก็มาขอเข้าเฝ้าข้าได้ทุกเมื่อ”
“ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้ทราบเพคะ” เจียงซื่อไม่คิดว่าตนจะได้รับการต้อนรับอย่างดี จึงรีบใช้โอกาสนี้พูดเรื่องสำคัญ
ฮองเฮาคลี่ยิ้มอ่อนโยนพลางลงความเห็นในใจ นางอุตส่าห์พูดด้วยความเกรงใจ แต่พระชายาเยี่ยนอ๋องกลับไม่เกรงใจนางเลยสักนิด
ในขณะนั้นฮองเฮาส่งยิ้มพลางถาม “เรื่องอะไรงั้นหรือ”
ใบหน้าของเจียงซื่อตึงเครียดทันใด ริมฝีปากของนางซีดลงอย่างเห็นได้ชัด นางกำผ้าในมือพลางบอก “เมื่อคืนลูกฝันว่าท่านอ๋องได้รับอันตรายเพคะ…”
ฮองเฮายื่นมือมาตบมือของนางแผ่วเบา “เจ้าเนี่ยนะ คิดมาก”
เจียงซื่อฝืนยิ้ม “แต่เสด็จแม่ก็ทรงทราบดีว่าความสามารถบางอย่างของลูกก็มาจากความฝัน…”
เปลือกตาของฮองเฮากระตุกวูบ ในตอนนั้นนางยังไม่เข้าใจสิ่งที่เจียงซื่อกำลังจะสื่อ
“หลังจากที่หม่อมฉันตื่น ยิ่งคิดหม่อมฉันก็ยิ่งกลุ้มใจเพคะ เพราะไม่รู้ว่าท่านอ๋องทรงเป็นเช่นไรบ้าง”
ฮองเฮาหัวเราะแห้ง “หากเจ้าเป็นห่วงก็เขียนจดหมายและให้ม้าเร็วนำไปส่งที่ทางใต้สิ”
ผ้าเช็ดหน้าในมือของเจียงซื่อถูกบิดเป็นเกลียว “ต่อให้เกิดเรื่องกับท่านอ๋อง ท่านอ๋องก็ไม่มีทางเขียนบอกหม่อมฉันผ่านจดหมายหรอกเพคะ…”
ฮองเฮาเริ่มลุ้น
นี่พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่ได้จะขอให้นางช่วยเป็นธุระไปขอฝ่าบาทให้ทรงอนุญาตให้นางไปตามหาเยี่ยนอ๋องใช่หรือเปล่า
เมื่อเห็นว่าสตรีตรงหน้ากำลังตกใจได้ที่ เจียงซื่อก็เม้มปากเล็กน้อย “เสด็จแม่ หม่อมฉันอยากจะสร้างหอพระในจวนเพคะ เพื่อที่ว่าจะได้สวดภาวนาขอพรที่หอพระได้ทุกวัน หม่อมฉันจะอ้อนวอนให้ท่านอ๋องกลับมาในเร็ววันเพคะ”
ฮองเฮาเบาใจในบัดดล
สาธยายมาตั้งนานที่แท้ก็แค่จะสร้างหอพระ
พระชายาเยี่ยนอ๋องนี่ขี้เกรงใจเสียเหลือเกิน แค่จะสร้างหอพระยังต้องเข้ามารายงานนางถึงในวังหลวง เล่นเอาตกอกตกใจกันไปหมด
นางเคยติดค้างบุญคุณของพระชายาเยี่ยนอ๋อง หากสุดท้ายพระชายาจะไปตามหาเยี่ยนอ๋องที่ทางใต้จริง นางคงต้องไปขอร้องจากฝ่าบาทให้อยู่ดี
“พระชายา หากสิ่งใดที่เจ้าทำแล้วสบายใจ ก็ทำเถิด”
เจียงซื่อเผยสีหน้ากระดากอาย “หากหม่อมฉันสร้างหอพระ อาจไม่มีเวลาเข้ามาน้อมทักเสด็จแม่เพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจชื้นราวกับมีน้ำเย็นไหลชโลมกาย
มิน่าล่ะนางถึงได้ถูกโฉลกกับพระชายาเยี่ยนอ๋องนัก ในบรรดาพระชายาทั้งหมด เพราะชายาเยี่ยนอ๋องรู้ความที่สุดแล้ว
“ข้ากับเสด็จพ่อของเจ้ามิได้สนใจกฎเกณฑ์ไร้สาระพรรค์นั้น เจ้าสงบจิตใจบำเพ็ญเพียรภาวนาเพื่อเยี่ยนอ๋องก็พอ รอเยี่ยนอ๋องกลับมาเมื่อไหร่ พวกเจ้าก็ค่อยพากันมาเข้าเฝ้า”
เจียงซื่อเผยสีหน้าซาบซึ้ง “ขอบพระทัยที่เสด็จแม่ทรงเมตตา ส่วนเสด็จพ่อ…”
“หากฝ่าบาทตรัสถาม ข้าจะบอกให้เอง”
ฝ่าบาทมิได้ว่างขนาดนั้น แค่ลูกสะใภ้จะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรภาวนาคงไม่จำเป็นต้องเข้าไปแจ้งให้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อฮองเฮารับปากเช่นนี้ เจียงซื่อก็อมยิ้ม “เช่นนั้นลูกไม่รบกวนเสด็จแม่แล้วจะดีกว่าเพคะ”
ฮองเฮาเอ่ยอย่างขัดเคือง “นานๆ เจ้าจะมาที หากฝูชิงรู้เข้าคงเสียดายที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า”
“น้องสิบสามไปที่พระตำหนักฉือหนิงหรือเพคะ”
“ใช่ ตอนนี้ไทเฮาติดฝูชิงกับเจ้าสิบสี่ไปแล้ว” น้ำเสียงของฮองเฮาไม่ทราบว่ายินดีหรือยินร้าย
หากจะยินดีคงเป็นเพราะบุตรีได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา เพราะจะส่งผลดีต่ออนาคตของนาง แต่หากจะยินร้ายคงเป็นเพราะนางได้พบหน้าบุตรสาวน้อยกว่าเดิม ซึ่งในจุดนี้นางรู้สึกไม่ชอบใจนัก
เจียงซื่อจึงนั่นสนทนาเป็นเพื่อนฮองเฮาครู่หนึ่งก่อนจะลากลับ
“อาเฉี่ยว ไปเรียกจี้หมัวมัวมาซิ”
ไม่นานจี้หมัวมัวก็เดินตามอาเฉี่ยวเข้ามา “ไม่ทราบว่าพระชายามีอะไรจะรับสั่งบ่าวหรือเพคะ”
“ข้าจะไปตามหาท่านอ๋องที่ทางใต้ เรื่องในจวนข้าฝากจี้หมัวมัวดูแลด้วย”
“ห๊า?” จี้หมัวมัวร้องเสียงสูง
เจียงซื่อขมวดคิ้ว “จี้หมัวมัวเบาเสียงหน่อยสิ เพราะข้าจะต้องแอบไป”
ภาพตรงหน้าของจี้หมัวมัวพลันดับมืด นางเกาะแขนอาเฉี่ยวเอาไว้ “พระชายาอย่าทรงล้อเล่นเช่นนี้นะเพคะ หากฝ่าบาทหรือฮองเฮาทรงทราบจะทำอย่างไรเพคะ”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากพระตำหนักคุนหนิง”
สีหน้าของจี้หมัวมัวยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ฮองเฮาทรงตอบรับคำขอของพระองค์หรือเพคะ”
เจียงซื่อหัวเราะ “ข้าแจ้งกับฮองเฮาว่าข้าเก็บตัวสวดภาวนาอยู่ในจวน”
สิ้นประโยคนั้น จี้หมัวมัวก็เป็นลมล้มพับไป