ในขณะที่เหลือบมองดูพรมสีม่วงที่แสนหรูหรา หมิงหยินก็เอ่ยปากขึ้นมา “ข้าไม่เคยขี่พรมลอยฟ้ามาก่อนเลย!”
พรมลอยฟ้าจะต้องใช้คนจํานวนมากเพื่อขับเคลื่อนมัน มันน่าประทับใจกว่าการนั่งรถม้าซะอีก
“เชิญทุกท่าน” คนจากลั่วหลานทั้งหมดต่างก็โค้งคํานับก่อนที่จะทําท่าเชื้อชวน
ลู่โจวลูบเคราก่อนที่จะลอยไปบนอากาศ เขากําลังออกจากรถม้าลอยฟ้า
ฝานลี่เทียน เล้งลั่ว และยู่เฉิงไห่ต่างก็ตามเขาไปติดๆ
เมื่อถึงคราวของหมิงหยิน ทูตจากลั่วหลานก็ขึ้นรถม้ามาอย่างมีไหวพริบ “ให้ข้ารับผิดชอบเองเถอะ”
“เป็นแบบนั้นก็ดี…” หมิงหยินส่งพังงารถม้าให้กับชายคนนั้น
ทูตจากลัวหลานรีบควบคุมรถม้า
หมิงซูหยินที่กําลังจะออกมารีบถามอย่างรีบร้อน “เดี๋ยวก่อน เจ้าจะจอดรถม้าของข้าไว้ที่ไหน?”
“ข้าจะจอดรถม้าไว้ที่นอกนครหลวง…ที่ตรงนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่และคนคอยคุ้มกันตลอดทั้งวัน มันใหญ่มากพอที่จะจอดรถม้าไว้ได้แน่”
หมิงซูหยินพยักหน้าก่อนที่จะกระโดดลงจากรถม้าลอยฟ้า
เมื่อจู่โจวได้ฟังแบบนั้น เขาก็คลายความกังวลไปได้ พื้นที่กว้างใหญ่นั่นอาจจะเป็นเหมือนกับสนามบินของโลกที่เขาจากมา ไม่ว่าโลกทั้งหลายจะเป็นเช่นไร แต่ตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ ความต้องการพื้นฐานที่ควรจะมีก็ยังคงมีเช่นเดิม มีเพียงความแตกต่างเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น
ชาวลั่วหลานทั้ง 49 คนต่างก็เร่งความเร็วไปสู่นครหลวงลั่วหลาน
นครหลวงลั่วหลานแตกต่างจากเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนหยานเป็นอย่างมาก
เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างในที่ราบ มันเป็นเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธชั้นสูง การจะเข้าไปสู่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้มีหลายทิศทาง
ส่วนนครลั่วหลานตั้งอยู่บนพื้นที่สูงชัน เพราะแบบนั้นจึงทําให้ที่แห่งนี้มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ แต่การจะสร้างก่าแพงหรือว่าสิ่งก่อสร้างบนนี้ได้ก็ยังเป็นเรื่องล่าบาก ในเมื่อมีข้อดีย่อมก็ต้องมีข้อเสีย
กําแพงเมืองถือเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์…ไม่ว่าจะคนธรรมดาหรือว่าผู้ฝึกยุทธ ที่ที่มนุษย์ตั้งถิ่นฐานก็มักจะถูกล้อมรอบไปด้วยกําแพง มันเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายจากภายนอก
พรมลอยฟ้าค่อยๆ บินลงมายังลานกว้าง ที่ลานกว้างมีทางเดินที่ทอดยาวต่อไป
ทางเดินตรงนั้นมีทหารสองแถวกําลังรอคอยพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว ทุกคนต่างก็ยืนหลังตรง
มีเพียงราชวงศ์ลัวหลานและคนระดับสูงเท่านั้นที่จะขึ้พรมลอยฟ้าได้
ที่ทางเดินมีกษัตริย์ลั่วหลานยืนคอยอยู่ก่อน เขาเป็นชายที่สวมใส่มงกุฎและชุดที่ดูโอ่อ่าตระการตา อังกุยเป็นชายที่ยืนอย่าสง่างาม เขาดูผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นกลุ่มคนบนพรมลอยฟ้า อังก่ยก้าวออกมาก่อนที่จะต้อนรับทุกคนอย่างเป็นมิตร เขาเอามือวางไว้บนอกก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ ที่ได้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากดินแดนหยาน!”
ผู้คนจากลั่วหลานทําตามผู้เป็นกษัตริย์ ทุกคนต่างก็ทักทายพวกลูโจว
เมื่อจู่โจวถึงพื้น เขาก็รีบมองไปยังกษัตริย์ตรงหน้า
“อังก่ยสินะ?”
เหล่าราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่อยู่ด้านหลังอังกุยต่างก็เงยหน้าขึ้น พวกเขาทําได้แค่ยิ้มแย้ม ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทําได้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้มีพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ
“ข้าได้เตรียมงานเลี้ยงให้กับทุกท่านแล้ว เชิญด้านนี้”
ระหว่างงานเลี้ยง
อังกุยยกถ้วยขึ้นด้วยความรื่นรมย์ เขาต้องการดื่มมันให้กับลู่โจว
แต่น่าเสียดายที่ลูโจวปฏิเสธ “ข้าไม่ใช่จักรพรรดิของดินแดนหยาน ข้าไม่ชอบพิธีซับซ้อนพวกนี้”
อังก่ยตกตะลึง เขารีบพยักหน้าตอบรับ “งั้นตามใจท่านก็แล้วกัน”
“เจ้ารู้ไหมว่าท่าไมข้ามาที่นี่?” จู่โจวถาม
อังกุยส่ายหัว
ในตอนนั้นเองล์โจวก็ได้โบกมือ
หมิงซูหยินที่กําลังทานอาหารอยู่ด้านหลังไม่มีทางเลือกอื่น เขาหยุดกินก่อนที่จะเริ่มพูดอธิบาย “อาจารย์ของข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลสามประการ ประการแรกท่านอาจารย์ต้องการให้ลั่วหลานและพันธมิตรดินแดนทั้ง 12 แห่งยอมจํานนต่อดินแดนหยาน ประการที่สองอาจารย์ของข้าต้องการพบกับหัวหน้าตระกูลโบน่าร์ เรื่องนี้เราจะไม่ประนีประนอม และประการสุดท้าย เรื่องของศิษย์พี่ใหญ่…”
หมิงหยินมองไปยังยู่เฉิงไห้ที่อยู่ใกล้ๆ
ยู่เฉิงไห่พูดขึ้น “ตาหลั่ว”
พวกลู่โจวได้พูดสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา
“ข้ายอมรับข้อเสนอแรกได้” อังก่ยตอบรับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน เขาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น
เจ้าหน้าที่ระดับสูงและราชวงศ์ไม่ได้คัดค้านอะไร “แล้วพวกท่านมีธุระอะไรกับหัวหน้าตระกูลโบน่าร์และแม่ทัพตาหลั่วกัน?” อังก่ยถามด้วยความสงสัย
“แค่เรียกพวกนั้นมาที่นี่ พวกเราจะสะสางเรื่องทุกอย่างเอง” ลูโจวตั้งใจจะไม่อธิบายอะไร
อังกุยทําได้เพียงโบกมือ
ไม่นานนักชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราก็ปรากฏตัวขึ้น เขาโค้งคํานับก่อนจะกล่าวทักทาย “ฝ่าบาท! ข้าตาหลั่วมาพบท่านแล้ว”
“ลุกขึ้น” อังกุยชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ “เตรียมที่นั่งให้กับแม่ทัพตาหลั่วซะ”
ลู่โจวยกมือขึ้น “ไม่จําเป็น”
“ท่านผู้อาวุโส ท่านหมายความว่ายังไงกัน?”
ลูโจวไม่ได้สนใจอังกุย เขามองไปที่ศิษย์ของตัวเองแทน
ในตอนนี้ยู่เฉิงไห่กําลังมองแม่ทัพตาหลั่วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีจนทําให้ขุนนางหนุ่มต้าหลัวกลายเป็นแม่ทัพไป แต่ยู่เฉิงไห่ก็ยังจดจําเขาได้ดี ชายคนนี้…เป็นผู้เสียบแทงหัวใจของเขาจนตัวตาย!
“คนตายน่ะไม่ต้องการที่นั่งหรอก” หลังจากที่ลู่โจวพูดจบความเงียบก็เข้าปกคลุมงานเลี้ยง
ในบรรดาราชวงศ์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างก็หยุดกินดื่ม พวกเขาเหลือบมองไปที่ต้าหลัว จู่โจว และอังกุ่ยผู้เป็นกษัตริย์
ต้าหลั่วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขายกมือขึ้นก่อนจะพูดออกมา “แม้ว่าลั่วหลานและดินแดนหยานจะเคยขัดแย้งกันบ้าง แต่ถึงแบบนั้นเรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ท่านผู้อาวุโส ทําไมท่านจะต้องทําให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบากด้วย?”
“ต้าหลัว!” ยู่เฉิงไห่ลุกขึ้นยืน
ต้าหลัวมองไปที่ยู่เฉิงไห่ การปรากฏตัวของยู่เฉิงไห้ในวัยหนุ่มยากที่จะลืมเรือนได้ ในตอนนั้นเองความทรงจําเก่าๆ ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา ดวงตาของตาหลั่วเบิกกว้าง “จะ..จะ…เจ้า เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน?”
ยู่เฉิงไห่พูดขึ้น “เจ้าคงผิดหวังมากสินะที่ข้ายังอยู่”
เมื่ออังก่ยได้ยินบทสนทนา เขาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว “ต้าหลัวเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่มีชื่อเสียงที่สุดในลั่วหลาน เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้ได้ยังไงกัน? แก้ตัวมาซะ!”
ตาหลั่วโค้งคํานับก่อนจะเริ่มพูด “ฝ่าบาท เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ข้าเคยพบกับชายหนุ่มคนนี้มาก่อน ในตอนนั้นข้าบังเอิญทําให้เขาได้รับบาดเจ็บ ข้าคิดว่าเขาจะตายไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ข้าโล่งใจจริงๆที่ได้รู้เรื่องนี้!”
หมิงซูหยินทําท่าทางดีใจก่อนที่จะถ่มน้ําลายลงบนพื้น
การกระทําของเขาทําให้ทุกคนหันมาสนใจ
หมิงซูหยินชี้ไปที่เนื้อบนโต๊ะก่อนจะพูดออกมา “นี่มันอะไรกัน? รสชาติทุเรศสิ้นดี!”
เจ้าหน้าที่จั่วหลานที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มอธิบาย “สหาย นั่นเป็นของที่ทํามาจากเต้าหู มันไม่ใช่เนื้อแท้…”
“ไม่แปลกใจเลย…คิดว่าข้าไม่รู้เหรอไงว่ามันเป็นของปลอม? หรือว่าที่นี่จะมีแต่พวกจอมปลอมกัน?”
ตาหลั่ว “…”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งทุกๆ คนก็เหลือบมองอังก่ยและจู่โจวอีกครั้ง
สิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้นอยู่ที่ทั้งสองคนนั้นแล้ว
สู่โจวหันไปมองยู่เฉิงไห่ก่อนจะพูดต่อ “ยู่เฉิงไห่ บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการอะไร วันนี้…ข้าจะทํามันแทนเจ้าเอง”
พรึบ!
ยู่เฉิงไห่ทรุดตัวลงคุกเข่า บางทีอาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ได้เห็นตาหลั่วอีกครั้ง เขาโค้งคํานับผู้เป็นอาจารย์อย่างสุดตัว “ท่านอาจารย์ ข้าไม่สามารถปล่อยความแค้นที่มีไปได้…สิ่งที่ข้าจะขอมีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ข้าต้องการให้ครอบครัวของตาหลั่วชดใช้บาป!”
ห้องโถงใหญ่เงียบเหมือนสุสานอีกครั้ง
ตาหลั่วเบิกตากว้างในขณะที่เหลือบมองยู่เฉิงไห่ที่กําลังคุกเข่า “นี่เจ้าเสียสติไปแล้วเหรอไงกัน?”
“ข้าไม่ได้เสียสติ!” ยู่เฉิงไห่ลุกขึ้นยืน
ตาหลั่วหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “ที่จริงดินแดนหยานและลั่วหลานของพวกเรามีความสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่ท่านหญิงยู่และท่านหญิงม่อหลี่แต่งงานกับชาวดินแดนหยาน พวกเราก็เป็นมิตรที่ดีมาเสมอ เจ้าจะปล่อยให้เรื่องส่วนตัวทําให้เรื่องส่วนรวมพังทลายอย่างงั้นเหรอ?…การที่คิดถึงแต่ตัวเองเป็นแค่เพียงเรื่องโง่เขลาเท่านั้น”
ลูโจวยกจอกเหล้าดื่มราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ มันเป็นจอกเหล้าที่อังกุยเตรียมไว้ เพื่อฉลองแด่สันติภาพ
ลู่โจววางจอกเหล้าลงบนโต๊ะ เข้าหันไปมองยู่เฉิงไห่ก่อนจะพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากเจ้าต้องการแบบนั้นข้าก็จะสังหารครอบครัวตาหลั่วทุกคนเพื่อเจ้า!”
ทุกคนต่างก็เหลือบมองด้วยความตกใจ! ไม่มีใครไม่จับตามองตาหลั่ว
แม้แต่กษัตริย์แห่งลั่วหลานอย่างอังกุ้ยเองก็ตกใจ ในมือของเขามีถ้วยเหล้าที่กําลังไหลริน มันไหลรินออกมาก็เพราะมือของอังก่ยที่กําลังสั่นเครือ