บทที่ 511 ช่วยเหลือได้สำเร็จ

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 511 ช่วยเหลือได้สำเร็จ

หลังจากเสิ่นเซวียนเริ่มเข้าใจทุกอย่างก็รีบเอ่ยแย้ง “ไม่สิ ท่านหมอ ข้าอยู่เอง พวกท่านไปกันเถอะ!”

กู้เจียวตอบกลับ “ฝีเท้าเจ้าไวไม่พอ อีกทั้งเจ้าอ่านเบาะแสนำทางไม่เป็น เกรงว่าจะตามขบวนไม่ทัน”

เสิ่นเซวียนถึงกับพูดไม่ออก

“ไปเถอะ” กู้เจียวเอ่ย

เสิ่นเซวียนเชื่อฟังอย่างไม่เต็มใจ สักพักเขานึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยกับนาง “พวกเราต้องไปที่ไหนรึ”

กู้เจียวตอบ “ที่ที่ปลอดภัยให้พวกเจ้าพำนักชั่วคราว”

“แล้วครอบครัวของพวกเราล่ะ” ชายหนุ่มอายุราวสามสิบคนหนึ่งเอ่ยถาม

กู้เจียวหันไปทางเขาแล้วให้คำตอบ “จะมีทหารของตระกูลกู้พาพวกเขาออกมาจากเมืองก่อนที่กองทัพทหารจะเริ่มปิดล้อม”

“หลังจากเสร็จสงคราม พวกเราจะได้กลับบ้านหรือไม่” คราวนี้คนที่ถามคือคนที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม มาจากตระกูลจ้าว และเคยเป็นขุนนางมาก่อน

กู้เจียวหันหน้าไปมองเขา เมื่อครู่ตอนที่นางสวมหน้ากากให้เขา นางสังเกตเห็นว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาสูงกว่าของคนอื่น

กู้เจียวไม่รีบตอบคำถามของเขา แต่เอ่ยถามกลับ “เจ้าคือคนที่ทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่”

“เอ๋” ขุนนางจ้าวแสดงสีหน้าตะลึง เพราะคาดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะเปลี่ยนเรื่องไวขนาดนี้

กู้เจียวไม่มีเวลามานั่งหาเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ดีขึ้น จึงเอ่ยกับเขาไป “จะกลับบ้านได้ก็ต่อเมื่อหายดีแล้ว”

ขุนนางจ้าวถามกลับ “หายดีอย่างนั้นรึ ต้องใช้เวลานานเท่าใด”

กู้เจียวยกมือขึ้นกอดอก “ก็ต้องดูว่าร่างกายของเจ้าฟื้นตัวได้เร็วแค่ไหน”

สีหน้าของขุนนางจ้าวเริ่มเปลี่ยน

ในหมู่บ้านแห่งนี้ มีผู้ติดเชื้อทั้งหมดสิบสามคน ตัดทหารคนนั้นที่ถูกสังหารออก ก็จะเหลือสิบสองคน ในบรรดาผู้ติดเชื้อทั้งหมด มีแค่เขาคนเดียวที่อาการยังไม่ดีขึ้น

แม้ว่าพวกเขาอยากที่จะกลับไปหาครอบครัวมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจหากกลับไปโดยไม่ได้รับการรักษา มันจะเป็นอันตรายครอบครัวของพวกเขาอย่างแน่นอน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตอนนี้พวกเขามีหนทางรักษาแล้ว

แต่ขุนนางจ้าวกลับไม่คิดเช่นนั้น

จู่ๆ เขาก็ก้าวเท้าถอยหลัง เดินขึ้นไปบนสะพานไม้ และมองกู้เจียวด้วยสีหน้าหวาดระแวง “ยาของเจ้ามันใช้ไม่ได้ตั้งแต่แรกต่างหากล่ะ! แล้วถ้าพวกเราไม่ดีขึ้น เจ้าจะจับพวกเราขังไว้ตลอดชีวิตใช่หรือไหม!”

กู้เจียวที่กำลังยืนกอดอกอยู่ค่อยๆ ขยับนิ้วขึ้นลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาๆ กับเขา “รอให้สงครามในเมืองสิ้นสุดก่อน แล้วข้าจะเปลี่ยนยาให้เจ้า”

“แล้วถ้ามันไม่ได้ผลอีกล่ะ! ถ้าเจ้ารักษาข้าไม่ได้ล่ะ! ถ้าเจ้าแค่หลอกล่อให้พวกข้าออกไปจากที่นี่ล่ะ!”

เสิ่นเซวียนขมวดคิ้วและเถียงกลับ “เจ้าพร่ำบ้าอะไรของเจ้า! ท่านหมอกู้เป็นคนของราชสำนักนะ! วันนั้นเจ้าก็เห็นนี่ว่านางมากับนายพลกู้ด้วย!”

“พวกเราไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน! แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านางไม่ได้หลอก! อาจเป็นตัวปลอมก็ได้ใครจะไปรู้! นางต้องมาหลอกพวกเราไปฆ่าแน่ๆ !”

เขาอธิบายพลางมองไปทางคนอื่นๆ “โรคระบาดน่ะไม่สามารถรักษาให้หายได้! ยาของนางสามารถบรรเทาอาการได้ก็จริง แต่ท้ายที่สุดเราก็ยังต้องตายอยู่ดี! นางรู้! เพราะนางเป็นหมอ! นางรู้ทุกอย่าง! นางแค่ต้องการหลอกลวงเรา! ต้องการให้เราแพร่เชื้อให้กับทหารของอี้อ๋อง! นางต้องการส่งเราเข้าไปในค่ายทหารของอี้อ๋อง!”

ฟังจบ เหล่าผู้ติดเชื้อก็เริ่มออกอาการตื่นตระหนกทันที!

เสิ่นเซวียนขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า หันไปมองเขาสลับกับกลุ่มคนติดเชื้อคนอื่นๆ ที่กำลังทำท่าระแวง ก่อนจะแผดเสียงอย่างหนักแน่น “ท่านหมอกู้ไม่ใช่คนแบบนั้น!”

ขุนนางจ้าวโต้กลับด้วยน้ำเสียงเสียดสี “เจ้ารู้ได้อย่างไร! สนิทกับนางรึ! หรือว่า…เจ้าเป็นพวกเดียวกับนาง!”

“ตระกูลจ้าว! อย่ามาพูดจาใส่ร้ายป้ายสีนะ!”

“จะไม่ไปก็ได้” กู้เจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แต่ศพจะต้องถูกทิ้งไว้ที่นี่”

เหล่าผู้ติดเชื้อสีหน้าเปลี่ยนทันที!

ขุนนางจ้าวชี้หน้าไปทางกู้เจียว “ดูสิ! หางจิ้งจอกเริ่มโผล่แล้ว! เจ้ามาที่นี่เพื่อฆ่าพวกเราจริงด้วย!”

กู้เจียวไม่สนใจเขา รับชุดเกราะจากองครักษ์ จากนั้นเดินไปบนสะพานไม้อย่างใจเย็น และพูดกับคนอื่นๆ “มีใครอยากอยู่ต่อไหม”

พูดจบ เหล่าองครักษ์ทั้งหกคนก็ชักดาบที่เกี่ยวไว้ที่เอวออกมาพร้อมๆ กัน

เหล่าผู้ติดเชื้อหดคอลงด้วยความตกใจ

คนเรามักเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครเลือกที่จะตายทันทีหากรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก

ส่วนขุนนางจ้าวพอเห็นกู้เจียวที่เดินตรงมาทางเขาพร้อมกับทวนพู่สีแดง ก็เกิดผวาแล้วรีบวิ่งออกไป!

เขาไปยืนหลบอยู่ด้านหลังของเสิ่นเซวียน

กู้เจียวไม่คิดจะทำอะไรเขาอยู่แล้ว

“ท่านหมอกู้รักษาตัวด้วย” หนึ่งในองครักษ์เอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือคำนับ

กู้เจียวไม่หันหลังกลับมามอง เพียงแต่ยกแขนขวาขึ้นช้าๆ

แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกับทหารองครักษ์

เนื่องจากหิมะตกหนัก รอยเท้าบนพื้นจึงถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะอย่างรวดเร็ว

กู้เจียวเดินเข้าไปยังกระท่อมของทหารหน่วยกล้าตาย และหลับตาเพื่อทำสมาธิ

เมื่อฟ้ารุ่งสาง ทหารสองคนเดินเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อส่งเสบียง

กู้เจียวเคาะประตูสามครั้งจากข้างใน

ทหารสองนายพอได้ยินก็วางใจแล้วเดินออกไป

หลังจากที่พวกเขาเดินออกไป กู้เจียวก็นำอาหารเข้าไปเก็บแล้วจัดการเทยาทิ้ง

ช่วงกลางวัน ทหารสองนายกลับมาอีกครั้ง

พวกเขาหยิบกล่องอาหารออกมาก่อน แล้วจึงวางกล่องอาหารใหม่ลงไป

กู้เจียวจัดการกับอาหารพวกนั้นโดยไม่ทิ้งร่องรอยที่น่าสงสัยไว้

แม้ว่ากู้เจียวจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ทหารสองนายอาจกลับมาอีกครั้งในช่วงเย็น พอถึงตอนนั้น กองทัพทหารตระกูลกู้คงเริ่มบุกเมืองหลิงกวนแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลว่าความจะแตกอีกต่อไป

พอลองไตร่ตรองดู กู้เจียวจึงตัดสินใจจะอยู่ต่อจนถึงช่วงเย็น

พอทหารพวกนั้นมาส่งอาหารเย็น กู้เจียวก็จัดการฆ่าพวกเขาทิ้ง

กู้เจียวถอดชุดกันโรคออก จากนั้นสวมชุดเกราะ สะพายตะกร้าและทวนพู่สีแดงไว้บนหลัง แล้วเดินไปตามสัญลักษณ์บอกทาง

ในที่สุด นางก็ตามหาพวกเขาจนเจอ

พวกผู้ติดเชื้อถูกจัดให้อยู่ในค่ายแห่งหนึ่ง โดยมีทหารองครักษ์หกคนคอยคุ้มกัน

ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่ ก็ได้เจอกับค่ายทหารของตระกูลกู้ ทั้งยังเห็นธงของแคว้นเจาและธงของกองทัพตระกูลกู้

ทำให้พวกเขาวางใจมากขึ้น

ทหารตระกูลกู้ไม่ทางทำร้ายราษฎรอย่างแน่นอน

ขุนนางจ้าวนั่งกระแอมไออย่างหนักอยู่บนเสื่อ จนมีเลือดซึมออกมาจากหน้ากาก

กู้เจียววางทวนลง แล้วเดินเข้าไปในค่ายกักตัว

“ท่านหมอกู้!” เสิ่นเซวียนตะโกนร้องดีใจที่ได้เจอนางอีกครั้ง พอไม่มีชุดป้องกันโรค กู้เจียวที่อยู่ในชุดเกราะสีดำ ซึ่งไม่เหมือนกับชุดเกราะสีเงินของทหาร ยิ่งส่งให้นางแลดูทรงพลังอย่างอธิบายไม่ได้

เสิ่นเซวียนรู้สึกฮึกเหิมขึ้นในทันใด

กู้เจียวพยักหน้าให้เขา ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าขุนนางจ้าว คุกเข่าลง แล้วดูอาการของเขา นางจับชีพจรของเขาแล้วหยิบหูฟังของแพทย์ออกมาเพื่อฟังเสียงปอดของเขา

พอฟังจบ กู้เจียวเริ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถาม “นี่เจ้าทานยาแล้วจริงๆ ใช่ไหม”

ขุนนางจ้าวส่งสายตาพิรุธ!

เสิ่นเซวียนที่จับสังเกตท่าทีลนลานของเขาก็เอ่ยถามย้ำ “เจ้าไม่ได้กินยาหรอกรึ”

ขุนนางจ้าวเอาแต่ไอออกมาเป็นเลือดจนฟังไม่ได้ศัพท์

กู้เจียวถอดหน้ากากที่เปื้อนเลือดของเขาออกแล้วใส่ลงในถังที่บุด้วยกระดาษหนังวัว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “เหตุใดถึงไม่ทานยา”

ขุนนางจ้าวตอบด้วยท่าทีมึนงง “ใครจะไปรู้ล่ะ ก็เจ้าอาจ…จะให้…ยาพิษมาก็ได้”

เสิ่นเซวียนเอ่ยต่ออย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้านี่เป็นโรคขี้สงสัยหนักเอาการนะ! ถ้ามันเป็นยาพิษจริง แล้วที่พวกเรามีอาการดีขึ้นมันหมายความว่าไงล่ะ!”

ขุนนางจ้าวเพิ่งตระหนักได้ตอนระหว่างเดินทางเดินทาง ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ทุกคนอาศัยอยู่ในกระท่อมมาตลอด เสิ่นเซวียนเอ่ยว่าอาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว คนอื่นๆ ก็เช่นกัน

ขณะที่ขุนนางจ้าวกลับคิดว่าพวกเขาคงคิดไปเอง

และเมื่อตอนกำลังเดินทางมาที่นี่ เขาเกิดเป็นลมล้มไปหลายครั้ง ขณะที่คนอื่นเดินเหินได้อย่างปกติ ขนาดเสี่ยวกัวที่ดูน่าเป็นห่วงที่สุดยังเดินตามกลุ่มได้ทัน

เขารู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจกู้เจียวผิดมาตลอด

มันเป็นยาที่ช่วยรักษาโรคระบาดได้จริงๆ

น่าเสียดาย ที่เขารู้ช้าเกินไป

เพราะเขา… เขา… กำลังใกล้ตายแล้ว…

เขาเริ่มหายใจไม่ออก…

ขุนนางจ้าวเริ่มมีอาการหายใจติดขัด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาแข็งทื่อ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ชักกระตุก

กู้เจียวรีบหักแท่งไม้จากฟืนแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา จากนั้นกดจุดทั้งแปดบนร่างของเขาอย่างรวดเร็วจนกระทั่งอาการชักเริ่มเบาลง

กู้เจียววัดอุณหภูมิร่างกาย พบว่าสูงถึงสี่สิบองศา

ในสถานการณ์แบบนี้ การทำให้อุณหภูมิลดลงจากภายนอกอาจไม่ได้ผล ในเมื่อเขาไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่นิด

“ท่านหมอกู้ ยังรักษาได้อยู่ไหม” เสิ่นเซวียนเอ่ยถาม

“ข้าก็ไม่รู้สิ” กู้เจียวย่นคิ้ว

คราวนี้นางพูดจริง กาฬโรคเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงอยู่แล้ว ซ้ำเขายังไม่ยอมร่วมมือในการรักษา คงต้องดูฟ้าดินกันแล้วล่ะ

กู้เจียวลงมือฉีดยาเพื่อให้ไข้ทุเลาลง จากนั้นเปลี่ยนเป็นฉีดตัวยาสเตรปโตมัยซิน

ขณะที่กู้เจียวกำลังมองหาที่สำหรับแขวนถุงน้ำเกลือ จู่ๆ ขุนนางจ้าวดันรู้สึกตัวขึ้น แขนของเขามีอะไรบางอย่างเย็นๆ ติดไว้ เขาจ้องมันในระยะใกล้จากนั้นทำการดึงมันออก “นี่เจ้าทำอะไรข้าน่ะ!”

กู้เจียวกำลังแขวนถุงน้ำเกลือ

พอเสิ่นเซวียนเห็นดังนั้น ครั้นจะเข้ามาช่วยห้ามก็สายไปเสียแล้ว

มีเลือดพุ่งกระเด็นออกมาจนเปื้อนเปรอะเข้าที่แว่นและหน้ากากของกู้เจียว

นางรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวของเลือดอย่างเต็มหน่วง