บทที่ 512 เทพสังหาร!
อารมณ์ของกู้เจียวแทบจะรุนแรงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณในทันที
แว่นที่ครอบดวงตากลายเป็นสีแดงฉาน ราวกับว่าโลกทั้งใบกลายเป็นสีแดงชาดแล้ว
เลือดร้อนระอุแผดเผาหน้ากากหยดไหลย้อย ในกายของนางเดือดพล่านอย่างไม่อาจต้านทาน
ทุกคนต่างมึนงงกันไปหมด
ขุนนางจ้าวติดเชื้อโรคระบาด เลือดของเขา…ก็มีเชื้ออยู่เช่นกัน หมอกู้นาง…
องครักษ์ลับนอกกระโจมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านใน หนึ่งในนั้นก็เลิกม่านขึ้น เมื่อเห็นกู้เจียวเปื้อนเลือดอาบหน้า สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน หมายจะเดินไปหากู้เจียว
“อย่าขยับ!” กู้เจียวยกมือห้ามเขา
ฝีเท้าองครักษ์ลับพลันหยุดลง “หมอกู้ ไม่เป็นไรกระมัง เกิดอะไรขึ้นรึ”
“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวค่อยๆ เอามือลง การกระทำที่ดูเหมือนปกติธรรมดา กลับไม่มีใครรู้ว่านางต้องควบคุมตัวเองมากเพียงใด
นางเอ่ยเสียงนิ่ง “พวกเจ้าอย่าได้เข้ามา เสิ่นเซวียน เจ้าหลบไป”
นางมักจะเรียกเขาว่าเสี่ยวสือโถว นี่เป็นครั้งแรกที่เรียกเขาด้วยชื่อแซ่
เสิ่นเซวียนสัมผัสได้ว่าท่าทางนางแปลกไป
“หมอกู้…” เขาถอยไปอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งอึ้ง
กู้เจียวนั่งย่อตัวลงตรงหน้าขุนนางจ้าวอีกครั้ง
ขุนนางจ้าวตกตะลึงกับความสงบนิ่งของกู้เจียว เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนและไม่กล้าส่งเสียงใด
ตอนที่ดึงเข็มเมื่อครู่ใช้แรงมากเกินไป ทำให้เส้นเลือดแตก
กู้เจียวจัดการบาดแผลให้เขาเรียบร้อยด้วยความใจเย็นและชำนาญ จากนั้นจึงแทงเข็มลงไปใหม่ ก่อนเอ่ยเสียงสุขุม “ยาแพงมาก อย่าให้ข้าต้องสิ้นเปลือง”
นางไม่เปลืองยา เว้นเสียแต่ว่าคนคนนั้นจะตาย
ขุนนางจ้าวมองกู้เจียวที่ไม่ได้เดือดดาลอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ!
หลังจากที่กู้เจียวออกมาจากกระโจม ก็หาที่สงบไร้ผู้คนนั่งลงพิงต้นไผ่
นางถอดแว่นครอบตา หน้ากากและถุงมือที่ติดเชื้อออก
นางไม่รู้ว่าตัวเองจะติดเชื้อหรือไม่
นางจึงหยิบยาคลอแรมเฟนิคอลสองเม็ดจากกล่องยาใบน้อย แล้วกำหิมะเย็นเยียบขึ้นมากลืนตามลงไป
กองทัพตระกูลกู้ออกโจมตีเมืองแล้ว ทั้งค่ายจึงเหลือแค่หนึ่งร้อยนายไว้ดูแลพวกคนป่วย
ในผืนป่าเงียบสงัด ทว่าข้างหูกู้เจียวเหมือนจะได้ยินเสียงกลองศึกและเสียงแตรรบ เสียงรถศึกปะทะประตูเมือง เสียงกองทัพตระกูลกู้ปีนบันได…
นางพิงต้นไผ่แหงนหน้ามองฟากฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบแขต ใบหน้าปรากฏความเลื่อนลอย
ทันใดนั้น
สมองนางก็พลันว่างเปล่า
“หมอกู้!”
องครักษ์ลับคนหนึ่งเดินมาหา ก่อนรายงาน “มีคนมาแล้ว!”
กู้เจียวเข้าสู่สภาวะพร้อมรบทันที นางลุกพรวดขึ้น หิ้วตะกร้าใบน้อยพลางเอ่ยเสียงเรียบ “กี่คน”
องครักษ์ลับเอ่ย “ยี่สิบคน ในนั้นเป็นหน่วยกล้าตายด้วย!”
ดูท่าทางกบฏราชวงศ์ก่อนจะพบว่าผู้ป่วยติดเชื้อหายไป จึงได้ส่งคนมาจับตัวพวกเขากลับไป
เดิมกู้เจียวได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว หากไม่มีใครตามมา พวกนางก็จะรอกู้ฉังชิงและกองทัพตระกูลกู้คว้าชัยกลับมาอยู่ที่นี่ หากมีคนตามมา ก็จะเปลี่ยนสถานที่ใหม่เสีย
อย่างน้อยๆ นางก็เลือกที่ที่จะใช้ไว้แล้วสามที่
กู้เจียวเอ่ยกับองครักษ์ลับ “พวกเจ้าพาคนป่วยไปที่วัดร้างตอนขามานั่นก่อน”
“ขอรับ!”
องครักษ์ลับเชื่อฟังคำสั่งโดยไม่สงสัยในการตัดสินใจของกู้เจียวเลย
องครักษ์ลับกับกองทัพตระกูลกู้อีกหนึ่งร้อยนายพากันเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ครานี้ขุนนางจ้าวยอมสงบแต่โดยดีแล้ว เขานั่งบนรถม้า เสิ่นเซวียนถือขวดน้ำเกลือของเขาขึ้นไปแขวนไว้บนรถม้า
“ยังจำวิธีถอดเข็มออกได้หรือไม่” กู้เจียวถามเสิ่นเซวียน
ตอนที่นางไปค่ายครั้งแรกได้ฝังเข็มให้เสิ่นเซวียน เสิ่นเซวียนพยักหน้า “จำได้ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดี” กู้เจียวไม่ได้กำชับอะไรต่อ นางถือทวนพู่แดง สะพายตะกร้าน้อย แล้วเดินไปทางกลุ่มพวกยอดฝีมือ
“หมอกู้!”
เสิ่นเซวียนเรียกนางไว้
“มีอะไรรึ” กู้เจียวหันกลับมา
เสิ่นเซวียนนั่งบนรถม้า เยี่ยมหน้าออกมานอกหน้าต่าง เอ่ยกับนางผ่านหน้ากากอนามัย “ท่าน…จะปลอดภัยใช่หรือไม่”
กู้เจียวมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำเขา แต่เอ่ย “หากหนึ่งชั่วยามต่อมาข้าไม่ได้ตามไป พวกเจ้าก็ไปหาหมอแซ่ซ่งที่เมืองเย่ว์กู่กันก่อนเลย เขารู้ว่าควรทำเช่นไร”
นางทิ้งยาไว้ให้หมอซ่งไม่น้อย ในนั่นมีคลอแรมเฟนิคอลและไรบาวิรินอยู่
เสิ่นเซวียนอยากจะพูดบางอย่างแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป
กู้เจียวหันหลัง หายวับไปกับสีราตรีไร้ขอบเขต
เสิ่นเซวียนมองแผ่นหลังน้อยๆ ของกู้เจียวค่อยหายไปในผืนป่า รถม้าเคลื่อนตัวช้าๆ สายตาเขาแช่นิ่งอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนั้นว่องไวมาก ควบม้าเพียงไม่ถึงครึ่งเค่อก็มาถึงป่าลึกแล้ว
พวกเขาเร่งความเร็วขึ้นสูงสุด ไม่มีใครคิดว่าจู่ๆ พวกเขาจะเห็นเงาร่างเล็กแปลกหน้าอยู่ในป่าไผ่และผืนหิมะกว้างนี้
ดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีเข้ม มือหนึ่งถือหมวก อีกมือถือทวนพู่แดง เด็กหนุ่มไม่ได้สวมเครื่องหัว ผมดำดุจหมึกไม่ได้เกล้าขึ้นสูง แต่ใช้แค่ผ้าคาดผมสีครามมัดรวบไว้ครึ่งหัวแทน
อีกครึ่งล่างปล่อยยาวปรกบ่า พลิ้วไหวตามสายลม
ห่างกันไกลไม่น้อยแท้ๆ และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ยืนนิ่งไม่ไหวติงแท้ๆ ทว่าทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงไอสังหารอันแรงกล้าจากตัวเด็กหนุ่มได้!
ทั้งยี่สิบคนแทบจะกระตุกบังเหียนในมือโดยพร้อมเพรียง
หน่วยกล้าตายที่อยู่หน้าสุดตั้งตัวได้ก่อน เขาขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเย็น “ทหารแคว้นเจา! ฆ่ามันซะ!”
เสื้อเกราะของกองทัพตระกูลกู้เป็นสีเงิน ตอนที่ถังเย่ว์ซานทำชุดเกราะให้กู้เจียวนั้นทำตามแบบของเสื้อเกราะมือธนูตระกูลถัง แต่ก็ไม่ได้เหมือนไปเสียทุกอย่าง อาวุธของนางคือทวนยาว เกราะชุดนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนางและทวนพู่แดงของนาง
เป็นชุดเกราะเฉพาะของแคว้นเจา
ทั้งยี่สิบคนเร่งความเร็วพร้อมชักดาบยาวออกมา
กู้เจียวปรายตาเย็นเยียบ สวมหมวกศึกนิ่ง ดึงหน้ากากลงมา เผยแค่เพียงดวงตาดุจเทพมรณะออกมา
และในชั่วพริบตาเท่านั้น ยอดฝีมือทั้งยี่สิบคนก็พากันหัวใจกระตุกโหวง!
สันหลังเหมือนมีไอเย็นยะเยือกตีขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ คิดจะถอยก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือถอยไม่ได้ด้วย ยอดฝีมือทั้งยี่สิบคนสู้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งไม่ได้ หากลือออกไปจะไม่โดนคนหัวเราะจนฟันร่วงเอารึ!
“ฆ่ามัน!!!”
หน่วยกล้าตายที่เป็นหัวหน้าออกคำสั่ง
ต่อมาทวนพู่แดงของเทพมรณะก็กวัดแกว่งออกไป บั่นคอเขาด้วยพลังดุจสายฟ้าคบกริบ!
เลือดแดงกระเด็นทั่วร่างเพื่อนร่วมทัพของเขา ศีรษะกลมเกลี้ยงตกลงบนพื้นหิมะ ม้าของเขายังไม่ทันจะหยุด เกือกม้าก็เหยียบบนศีรษะนั้นเข้าเสียแล้ว…
ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง!
เหตุใดเด็กหนุ่มคนนี้จึงมีฝีมือถึงเพียงนี้!
ทว่าควรจะบอกว่าเขายังดูเด็กอยู่เลย เขาจะมีฝีมือเหี้ยมโหดเพียงนี้ได้อย่างไรมากกว่า!
“เจ้าก็ปะ…เป็นหน่วยกล้าตายรึ”
ยอดฝีมือคนหนึ่งถามขึ้น เสียงเขาสั่นเทา
หน่วยกล้าตายที่ติดตามมาด้วยสี่นายตายไปแล้วหนึ่ง ที่เหลืออีกสามพากันมองไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า
บนร่างเด็กหนุ่มคล้ายมีกลิ่นอายของหน่วยกล้าตายอยู่รางๆ แต่แข็งแกร่งกว่าหน่วยกล้าตาย พวกเขาก็อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าคืออะไร
พวกเขาต่างหวาดกลัวเด็กหนุ่มที่เหมือนเทพมรณะผู้นี้
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปอยู่แล้ว ทวนพู่แดงของเขาโจมตีพวกเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ครานี้นางก็โจมตีหน่วยกล้าตายอีก
ทหารทั่วไปจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างยอดฝีมือกับหน่วยกล้าตายออก ยอดฝีมือที่เก่งกาจขึ้นมาหน่อยอาจจะพอได้ แต่ก็ไม่แม่นยำและรวดเร็วขนาดนี้ได้หรอก
เมื่อหน่วยกล้าตายทั้งสี่ต่างสิ้นลมใต้คมทวนพู่แดงของเด็กหนุ่ม คนที่เหลือก็กระจ่างแล้วว่าพวกเขาไม่อาจเอาชนะอะไรได้
“ถอย!”
ชายชุดดำคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง
เขาควบม้าหนีไปก่อนคนแรก!
กู้เจียวคว้าทวนพู่แดงขึ้นมามองแผ่นหลังเขาอย่างเย็นชา แล้วขวางทวนพู่แดงออกไปอย่างแรง!
แรงมหาศาลดุจลูกธนูนับหมื่นเสียบชายชุดดำทะลุเกราะกระเด็นจากหลังม้า แผ่นหลังเขาถูกแทงทะลุ ร่วงลงสู่พื้นหิมะอย่างแรง
พวกที่เหลือไม่เหลือแม้แต่กะจิตกะใจที่จะต่อสู้แล้ว ตัวสั่นงันงกมองเด็กหนุ่มดึงทวนพู่แดงออก ก่อนสาวเท้ามาทางพวกเขาทีละก้าว
เลือดบนทวนหยดลงพื้นหิมะ ราวกับบุปผาเรียกวิญญาณเบ่งบานบนทางน้ำพุเหลือง
“จะจะจะ…เจ้าอย่าเข้ามานะ! พวกเราเป็นคนสนิทของยี่อ๋องเชียวนะ!”
ชายชุดดำอีกคนนั่งอยู่บนหลังม้า ดึงบังเหียนแน่นพลางเอ่ยกับกู้เจียว
กู้เจียวไม่ได้หยุดฝีเท้าลง
ทุกคนต่างกลืนน้ำลายกันอย่างห้ามไม่อยู่
ชายชุดดำเอ่ยต่อ “ยี่อ๋องคือโอรสแห่งโชคชะตาที่เลือกโดยพระดาไลลามะ พระองค์เป็นผู้กำเนิดของดาวจักรพรรดิ ขอแค่เจ้ายินดีจะสวามิภักดิ์ต่อยี่อ๋อง ยี่อ๋องก็จะมอบเงินตราตอบแทนให้เจ้ามากมายแน่!”
เด็กหนุ่มเทพมรณะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ทุกคนต่างถอยไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
ชายชุดดำเหงื่อเย็นผุดซึมเอ่ย “ขะ…ขอแค่เจ้าปล่อยพวกเราไป ยี่อ๋องจะประทานรางวัลให้เจ้าอย่างงาม เจ้าอย่าคิดว่ากองทัพตระกูลกู้มาแล้ว ราชสำนักแคว้นเจาของพวกเจ้าจะชนะเชียวนะ อีกไม่นานกองกำลังเสริมนับแสนของแคว้นเฉินก็จะมาถึงชายแดนแล้ว! พวกเขานำทัพธนูของแคว้นเหลียงมาโจมตีเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง พวกเจ้าเอาชนะไม่ได้หรอก…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ ทวนพู่แดงของเด็กหนุ่มก็แทบเข้าดวงใจเขาแล้ว
“เจ้าอยู่มานานเกินไปแล้ว”
เด็กหนุ่มเอ่ยนิ่งๆ ก่อนจะดึงทวนพู่แดงออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ชายชุดดำคนนั้นล้มตึงลงกับพื้นหิมะทั้งอย่างนั้น ม้าร้องตกใจเพราะเขา พลางขยับกลีบเท้าไปมาอย่างกระวนกระวาย
คนที่เหลือต่างปิดปากเงียบกริบ
พวกเราไม่พูดมาก!
อย่าฆ่าพวกเราเลย!
สายตาหน่ายโลกของเด็กหนุ่มปรายมายังพวกเขา “ไม่มีแม้กระทั่งคำสั่งลา ดูท่าจะเตรียมตัวตายไว้แล้วสินะ”
ทุกคน “…!!”