บทที่ 640 นักบุญหลายเส้อ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 640 นักบุญหลายเส้อ

บทที่ 640 นักบุญหลายเส้อ

เมืองหลวงหมิงกวง

อี้ฝานผู้สูญเสียความทรงจำไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเมืองนี้ อีกทั้งชื่อนี้ก็ไม่ได้กระตุ้นหัวใจของเขาให้เต้นแรง

แต่เมื่อมองกำแพงสีขาวสูงตระหง่าน และยังมีประติมากรรมอันวิจิตรใกล้ประตูเมือง ไม่ว่าใครก็สามารถรับรู้ได้ว่าเมืองแห่งนี้จะต้องมีฐานะโดดเด่นบนโลกใบนี้เป็นแน่

แม้ตอนนี้จะเป็นยามราตรี แต่อี้ฝานก็ยังเห็นว่าบนกำแพงเมืองยังมีเปลวเพลิงขยับไหว แสงไฟเหล่านี้เคลื่อนไปอย่างมีระเบียบในรูปแบบลาดตระเวนไปมา

ชวนให้นึกถึงคำที่หญิงเฝ้าสุสานและชายชราข้ามฟากแม่น้ำได้กล่าวเอาไว้ ทำให้อี้ฝานเพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้นมา

ความจริงที่ปรากฏขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าการระมัดระวังของเขาเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เหล่าดวงไฟที่ล่องลอยไปมาบนกำแพงเมือง คือคบเพลิงของนักรบที่เคยปกป้องเมือง ทว่าในยามนี้กลับกลายเป็นนักรบบ้าคลั่งไร้ซึ่งสติไปเสียแล้ว พวกมันทำเพียงถือคบเพลิงลาดตระเวนไปมาและโจมตีทุกสิ่งที่เห็น

หลังจากที่อี้ฝานล้มพวกมันลงด้วยสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ค่อย ๆ ฟื้นกลับคืนมา เขาก็ถอดชุดเกราะพวกมันออกเพื่อตรวจสอบรูปลักษณ์ภายใต้ชุดเกราะนั้น

นอกจากเค้าโครงที่เป็นรูปร่างของมนุษย์แล้ว พวกเขาได้สูญเสียอัตลักษณ์ดั้งเดิมของมนุษย์ไปจนสิ้น ดวงตาสีแดงฉานราวกับโลหิต ร่างกายเหี่ยวแห้งเหมือนตอนที่อี้ฝานเพิ่งตื่นขึ้นมา

บางทีอาจเป็นเพราะความแห้งเหี่ยวนี้ทำให้พวกเขาสูญเสียสติ และเข้าโจมตีทุกอย่างด้วยความบ้าคลั่ง

นอกจากนักรบที่บ้าคลั่งเหล่านี้แล้ว ยังมีนักรบไร้คบเพลิงอีกจำนวนมากในปราการแห่งนี้ พวกมันเร้นกายออกแสงจากคบเพลิง ซ่อนกายอยู่ในเงามืด รอคอยโอกาสซุ่มโจมตีจากมุมอับ

เนื่องจากสติปัญญาที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิด ทำให้แม้พวกเขาจะใส่ชุดเกราะที่ด้อยกว่า ทว่ายังอันตรายกว่าตัวของนักรบ พวกมันยังสามารถใช้สัญชาตญาณความเคยชินในการจัดการกับกลไกลในป้อมปราการนี้ ทำให้อี้ฝานพบเจอลูกธนูแหลมคมยิงออกมาจากกำแพงสองฝั่งหรือกระถางหินยักษ์ตกลงใส่มากกว่าหนึ่งครั้ง

หากไม่ใช่เพราะสัญญาณชาตญาณการต่อสู้ของเขาร้องเตือนอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าอี้ฝานคงจะตายไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

แม้ว่าโครงสร้างในกำแพงเมืองจะเป็นปราการซับซ้อนเต็มไปด้วยศัตรูมากมาย ทว่าอี้ฝานยังคงปะปนเข้าไปในเมืองได้สำเร็จ

พื้นที่ด้านในเมืองนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าภายนอก ทั้งยังมีร่างอ้วนพลุ้ยสวมผ้าคลุมแต่งกายคล้ายผู้เผยแพร่ลัทธิ ศัตรูเหล่านี้สามารถใช้คาถาเพื่อรักษานักรบได้ อีกทั้งยังสามารถปล่อยแสงที่ควบแน่นกลายเป็นศาสตราออกมาได้ นับว่าน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง

อี้ฝานเดิน ๆ หยุด ๆ อย่างขรุขระไปตลอดทาง ในที่สุดก็รู้สึกหมดแรง จึงแอบซ่อนในวิหารขนาดเล็กอันเงียบสงบของเมือง

ที่แห่งนี้ห่างไกลจากผู้คน นอกจากนักรบไม่กี่คนที่เดินป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ ก็ไร้ซึ่งศัตรูอื่นใด อี้ฝานลอบจัดการศัตรูเหล่านั้นจากด้านหลังอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก ก่อนจะซ่อนตัวอยู่ด้านในวิหาร

ภายในวิหารไม่ได้มืดสนิทดังที่คาดไว้

เมื่ออี้ฝานเข้าไปในวิหารก็พบว่าเชิงเทียนทั้งสองฝั่งของวิหารได้รับการทำความสะอาด ใส่เทียนไขแล้วจุดไฟเอาไว้ เป็นดังเปลวเพลิงอันอบอุ่นส่องสว่างในอาณาจักรอันมืดมิดแห่งนี้

ใต้รูปปั้นใจกลางวิหาร มีร่างหนึ่งในเสื้อคลุมสีขาวยืนหันหลังให้อี้ฝาน

ดูเหมือนว่าเขากำลังอธิษฐานกับเทวรูป

อี้ฝานกำด้ามดาบยาวในมือแน่น โน้มตัวไปด้านหน้าด้วยความระมัดระวัง

“เจ้ายังมีสติอยู่หรือไม่?”

เขาเดินเข้าใกล้ด้านหลังของคนผู้นั้น ขณะเดียวกันที่มือก็ชักดาบออกมา

ถ้าหากคนผู้นี้หันกลับมาคำรามใส่ เขาก็จะแทงดาบในมือเข้าใส่

โชคดีที่ ‘คน’ ผู้นี้ไม่ได้โจมตีเขา ทั้งยังพูดออกมาด้วยภาษาแจ่มชัด

“ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง คาดไม่ถึงเลยว่าที่แห่งนี้ยังมีผู้ที่ยังมีสติเหลืออยู่อีก”

เสียงของเขาสั่น ฟังดูแล้วเหมือนกับเกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนของโลหะสองชิ้น ขณะที่พูดเขาก็หันมาทางอี้ฝานเผยให้เห็นใบหน้าของเจ้าตัว

ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวนั้น ใบหน้าของ ‘คน‘ คือกลุ่มแสงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตลอดเวลา มีกลุ่มแสงที่เข้มกว่าปกติหลายจุดก่อตัวเป็นลักษณะของใบหน้า เช่น คิ้ว ตา ปาก และจมูก

“สวัสดี ท่านนักรบ”

‘คน’ ผู้นั้นเอ่ยกับอี้ฝาน

“ชุดของท่านดูแล้วไม่เหมือนคนจากอาณาจักรแห่งนี้ ท่านมาจากที่ใด? แผ่นดินทางใต้หรือ?”

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตนเองมาจากที่ใด”

อี้ฝานกล่าวตอบ

“ข้าออกมาจากด้านในสุสาน”

“สุสาน… เป็นเช่นนี้เอง”

ทันใดนั้น ‘คน’ ผู้นั้นก็แสดงความเคารพโค้งให้กับอี้ฝาน

“ถ้าเช่นนั้น หากท่านไม่ใช่กษัตริย์สักพระองค์หนึ่ง ก็คงเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงมากพอจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ต้องขออภัยที่เสียมารยาท ข้าเป็นนักบุญข้ารับใช้ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณซีเอ๋อร์เส้อนามว่าหลายเส้อ”

“ซีเอ๋อร์เส้อ…”

ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ ไม่รู้ด้วยเหตุใดภายในใจของเขาจึงปรากฏความกรุ่นโกรธอันไม่อาจอธิบายได้

“ใช่แล้ว เจ้าแห่งรุ่งอรุณ จักรพรรดิแห่งทวยเทพ ผู้ปกครองวังเทวาลัย นอกจากนี้ยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่นำพามาซึ่งยุคแห่งแสงสว่าง”

ใบหน้าของหลายเส้อเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองยังเทวรูปเทพธิดาด้านหลัง

“เทพธิดาผู้นี้คือคู่ครองของท่านผู้นั้น เทพมารดรผู้ยิ่งใหญ่โค่วเวย ผู้ให้กำเนิดเหล่าดวงดาราบนผืนนภา”

อี้ฝานมองไปยังรูปปั้นเทพธิดา เกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ากลับไม่อาจจำได้ว่าเป็นผู้ใด สุดท้ายก็กล่าวออกมาว่า

“แต่ข้าได้ยินผู้อื่นพูดกันว่า ในยุคสมัยนี้พระราชวังเทวาลัยได้ล่มสลายไปแล้วไม่ใช่หรือ?”

หลายเส้อพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกล่าวออกมาว่า

“ใช่แล้ว ทว่าข้ากลับไม่คิดว่ามันถูกต้องทั้งหมด แม้ราชวังเทวาลัยแม้จะพังทลายลงมาจนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน หากแต่เกียรติยศความรุ่งโรจน์ของพระองค์ยังคงไม่สูญสิ้น กระทั่งจนถึงตอนนี้ท่านยังคงปกป้องข้ามาโดยตลอด และนี่คือข้อพิสูจน์”

ขณะที่พูด เขาก็แบฝ่ามือออก บนมือเขาของปรากฏแสงเหมือนที่เคยเห็นจากในมือของผู้เผยแพร่ลัทธิร่างอ้วนท้วมมาก่อน

“นี่คือเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ตราบใดที่มนตรานี้ยังคงอยู่ แสดงว่าพระองค์ยังคงไม่ดับสิ้น”

ที่แท้ก็เป็นเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณซีเอ๋อร์เส้อ…

อี้ฝานเอื้อมมือออกไปด้วยวท่าทางดูอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก ทำให้หลายเส้อที่เห็นแย้มยิ้ม

“ท่านสนใจมันใช่หรือไม่? ข้าสามารถสอนท่านได้ ขอเพียงท่านเอ่ยสัตย์สาบานว่าจะเข้าร่วมนิกายเจ้าแห่งรุ่งอรุณและภักดีต่อทวยเทพของพวกเรา…”

ยังไม่ทันจะพูดจบ อี้ฝานก็แบมือออก เกิดแสงดวงน้อยขึ้นมาบนฝ่ามือของเขา

ภายใต้ความคิดของเขา แสงรวมตัวกันเป็นลูกธนูพุ่งออกไปพร้อมเสียงดังฟิ้ว ทำให้เกิดรูเล็ก ๆ บนกำแพงวิหาร

“ดูเหมือนว่าข้าจะรู้วิธีปล่อยของสิ่งนี้ออกมา ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ…”

ขณะเดียวกัน แสงในมืออี้ฝานก็เปล่งประกายด้วยความนุ่มนวลกว่าเดิม ลำแสงนี้ได้ชะล้างคราบสกปรกและละอองฝุ่นนบนร่างกายของเขา อีกทั้งยังทำให้บาดแผลหายไปอย่างรวดเร็วจนกลับคืนสู่สภาพเดิม

หลายเส้อเห็นดังนั้นแล้วจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยความตะลึงงัน

“ที่แท้แล้วครั้งหนึ่งท่านก็เป็นผู้ที่ทวยเทพโปรดปราน!”