บทที่ 641 วังเทวาลัย

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 641 วังเทวาลัย

บทที่ 641 วังเทวาลัย

“ข้าไม่รู้ว่าผู้ที่ทวยเทพโปรดปรานคือสิ่งใด”

อี้ฝานดึงมือกลับมา

“แต่เวทมนตร์ศักสิทธิ์นี้มีประโยชน์มาก”

“ท่านเป็นถึงผู้ที่ทวยเทพโปรดปราน ข้าเข้าใจแล้ว”

ท่าทางของหลายเส้อใกล้ชิดกับเขายิ่งนัก

“ผู้เป็นที่โปรดปรานของทวยเทพ ท่านจะไปที่ไหนต่อ?”

“คงไปเดินดูรอบ ๆ”

จากนั้นอี้ฝานก็ถามออกมา

“แล้วเจ้าล่ะ? ถ้าเจ้าไม่มีที่ไปก็ไปที่สุสานได้ สตรีผู้ดูแลที่แห่งนั้นกล่าวว่าตอนนี้สุสานเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดบนโลกใบนี้”

“ข้าไม่ต้องการเช่นนั้น“

หลายเส้อส่ายหัว ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของอี้ฝาน

“ข้ายังมีสิ่งต้องทำอยู่บนโลกใบนี้ ข้ายังมีข้อสงสัยบางประการที่ยังไม่กระจ่างชัด จึงต้องการจะหาคำตอบ”

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี”

อี้ฝานโบกมือให้

“ข้าเองก็พักมาไม่น้อยแล้ว ควรจะต้องออกจากที่นี่และเดินทางต่อไป”

“โปรดรักษาตัวด้วย”

หลายเส้อพยักหน้าให้กับอี้ฝาน เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“อ่า ข้ามีน้องสาวอยู่ผู้หนึ่ง นางออกจากวังเทวาลัยลงมายังที่แห่งนี้พร้อมกับข้า หากท่านพบนางด้านนอกนั่น ได้โปรดบอกให้นางไปรอข้ายังสถานที่ปลอดภัยที่ท่านกล่าวถึง นางเป็นนักบุญผู้รับใช้ทวยเทพผู้หนึ่ง นามว่าหลายหยา”

“ตกลง”

อี้ฝานตอนรับ

“ต้องขอบคุณท่านมากจริง ๆ”

หลายเส้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบบางอย่างจากข้างเอวส่งให้อี้ฝาน

“ข้าไม่มีอะไรจะให้ท่านแทนคำขอบคุณ ในยุคสมัยนี้ เงินตราล้วนไร้ค่า มีเพียงยันต์กันภัยนี้ที่ข้ามอบให้ท่านได้ มารดาของข้าและหลายหยาเป็นผู้มอบสิ่งนี้ให้กับข้า มันเป็นพรจากเจ้าแห่งรุ่งอรุณ สามารถปกป้องท่านได้ ทั้งยังสามารถใช้มันเป็นเครื่องพิสูจน์ตนยามพบกับหลายหยาได้”

อี้ฝานสูญเสียความทรงจำ จึงไม่รู้จักความสุภาพเกรงใจ ดังนั้นจึงรับมันมาทันทีและออกจากวิหารไป

เขาไม่ได้รู้สึกว่าหลายเส้อน่าเบื่อ เพียงแต่ยามอยู่กับสาวกของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ภายในใจของเขาเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอันไม่อาจอธิบายได้

ดังนั้นหลังจากอี้ฝานเรียนรู้วิธีใช้เวทมนตร์ของเจ้าแห่งรุ่งอรุณได้อย่างลึกลับ ทำให้มนตราอันน่าอัศจรรย์นี้รักษาบาดแผลและฟื้นฟูความเหนื่อยล้าแล้ว เขาก็ออกจากวิหารแห่งนั้นไปทันที

เขาจัดการสัมภาระตัวเองแล้วออกจากตัววิหาร มุ่งเดินไปตามทางถนน

ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ใส่ใจมาตลอดทาง จนกระทั่งได้พบกับหลายเส้อ ได้ฟังเขาอธิบายเกี่ยวกับเจ้าแห่งรุ่งอรุณแล้ว จึงค่อยสังเกตเห็นว่าประติมากรรมมากมายในเมืองทั้งหมดล้วนแสดงให้เห็นถึงเจ้าแห่งรุ่งอรุณ

ประติมากรรมเหล่านี้มีทั้งนักบุญผู้รับใช้และตัวทวยเทพที่มีปีก บางชิ้นนั้นอี้ฝานเกิดความรู้สึกคุ้นเคย บางชิ้นก็ไม่รู้สึก

ระหว่างทางเขาสังหารนักรบ นักรบ และผู้เผยแพร่ลัทธิอีกหลายคน เขาเดินตามทางแล้วปืนขึ้นไปยังด้านบนของกำแพง

เขายืนอยู่ตรงนี้ พลางมองขึ้นไปยังยอดบนสุดของปราการ ด้านหลังเลยออกไปเป็นพระราชวัง มีเมฆทอดยาวออกไปทั้งสองด้าน มีบันไดพาดระหว่างเมฆทอดขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่ตรงนั้นสามารถเห็นวังเทวาลัยที่ร่วงหล่นลงมา

ตามที่หลายเส้อกล่าว ที่แห่งนั้นคืออาณาจักรเทวาลัย ดินแดนของทวยเทพและข้ารับใช้ทวยเทพ อาณาจักรของเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ทว่าเมื่อโลกใกล้ถึงกาลอวสาน วังเทวาลัยก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องนภาและทับด้านบนเนินปราสาท

อี้ฝานถอนสายตากลับมาก่อนจะเดินหน้าต่อไป

ระหว่างทางเขายังได้สังหารศัตรูไปเป็นจำนวนมาก ดวงวิญญาณที่แย่งชิงมามีมากจนทำให้เขาเริ่มรู้สึกเห็นภาพหลอนเต็มไปหมด หากวิญญาณเหล่านี้ไม่ถูกดูดซับเข้าไปอย่างเป็นระบบแล้ว เมื่อเขาพ่ายแพ้ พวกมันทั้งหมดก็จะถูกแย่งชิงไป ดังนั้นอี้ฝานจึงหามุมที่ปลอดภัยแล้วหยิบแหวนที่ถักทอขึ้นมาจากดอกไม้และหญ้าแห้งออกมา

เขาสวมแหวนลงไปบนนิ้ว เวลาและพื้นที่ด้านหน้าของเขาก็พลันบิดเบี้ยว ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหญิงสาวผู้เฝ้าสุสาน

หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานยังคงร้อยพวงมาลัยไม่หยุด ทว่านางสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของอี้ฝาน จึงวางพวงมาลัยที่ยังทำไม่เสร็จในมือลงก่อนถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ยินดีต้อนรับกลับมา ท่านนักรบ การเดินทางของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

“ตอนนี้ข้าอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าเมืองแห่งแสง”

อี้ฝานบอกกับนาง

“ข้ายังได้พบกับผู้รับใช้ทวยเทพที่มีนามว่าหลายเส้อ และยังเห็นพระราชวังที่ร่วงลงมาจากสวรรค์”

“เมืองหลวงหมิงกวงงั้นหรือ? ที่แห่งนั้นเคยเป็นเมืองพลวงของหนึ่งในสองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ สถานที่ซึ่งผู้ศรัทธาในเจ้าแห่งรุ่งอรุณได้มารวมตัวกัน”

หูของหญิงเฝ้าสุสานขยับไปมาเล็กน้อย

“ที่ที่วังแห่งนั้นอยู่ควรจะเป็นอาณาจักรเทวาลัยที่เคยปกครองโดยเจ้าแห่งรุ่งอรุณ จากตำแหน่งที่ท่านอยู่ตอนนี้แล้ว…อืม ถ้าหากท่านเดินไปทางประตูตะวันออกจะสามารถไปยังอาณาจักรถัดไป อาณาจักรสาบสูญ สถานที่ที่ถูกทวยเทพซ่อนเอาไว้ มีความลับมากมายซึ่งทวยเทพไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ฝังอยู่ที่นั้น หากท่านอยากค้นหาความลับที่เกี่ยวกับตัวเองจริง ๆ การไปยังอาณาจักรแห่งนั้นน่าจะได้เบาะแสมากที่สุด”

“เข้าใจแล้ว”

อี้ฝานยื่นมือออกไปหานาง ผู้เฝ้าสุสานยื่นมือตนออกไปกอบกุมอย่างไม่รั้งรอ

“หนนี้ก็รบกวนเจ้าแล้ว”

“ข้าเข้าใจแล้ว โปรดผ่อนคลายร่างกายของท่าน”

หลังจากช่วยเหลืออี้ฝานดูดซับวิญญาณในร่างกายของเขาแล้ว หญิงสาวผู้เฝ้าสุสานก็เอ่ยเตือนขึ้นอีกครั้งว่า

“นอกจากนี้แล้ว ท่านนักรบ โปรดทราบไว้ว่าผู้ที่เฝ้าประตูเมืองตะวันออกในปัจจุบันคือ นายพลเป้าเต๋อเว่ย อดีตนายพลผู้ห้าวหาญสันทัดด้านการรบที่สุดในเมืองหมิงกวง เขายังเป็นที่รู้จักในนาม ‘นักรบแห่งขุนเขา’ แม้ข้าไม่คิดว่าท่านจะพ่ายแพ้ให้แก่เขา ทว่าความแข็งแกร่งในตอนนี้ของท่านยังอ่อนแอยิ่งนัก ได้โปรดระมัดระวังทุกสิ่ง”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

ท้ายสุดแล้วอี้ฝานยังพยายามยกดาบสีดำขนาดใหญ่ที่วางไว้ข้างหญิงสาว ทว่าเขาก็พบว่าตนเองก็ยังไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้ จึงกล่าวอำลาหญิงสาวผู้เฝ้าสุสาน

เขาถอดแหวนออกแล้วเก็บมัน หญิงสาวผู้เฝ้าสุสารเบื้องหน้าเขาจางหายไปทันที พื้นที่ด้านหน้าของเขาเปลี่ยนกลับไปเป็นสถานที่แห่งเดิม

ประตูตะวันออกอยู่ไม่ไกลไปจากจุดที่อี้ฝานอยู่ หากแต่ศัตรูระหว่างทางกลับแข็งแกร่งยิ่งนัก

บริเวณใกล้เคียงไร้ซึ่งนักรบที่คืบคลานอยู่ภายในความมืดพร้อมจะจู่โจมตลอดเวลา ทั้งยังไม่มีนักบุญแห่งลัทธิรูปร่างอ้วนท้วม มีเพียงนักรบในชุดเกราะเต็มตัวพร้อมโล่ ดาบ หรือหอก บางคนก็มีสัตว์เลี้ยงเดินมาด้วย

แม้ว่าเหล่านักรบจะมีพลังการต่อสู้อันน่าทึ่ง สามารถใช้มนตราเคลือบเป็นแสงที่ปลายหอกและดาบ แต่อี้ฝานกลับรู้สึกว่า สัตว์เลี้ยงคมเขี้ยวแหลมคมที่พวกมันพามาด้วยนั้นรับมือยุ่งยากอย่างถึงที่สุด

สัตว์ร้ายเหล่านี้มีขนาดเล็กและเคลื่อนไหวไปมาด้วยความรวดเร็ว ระหว่างที่เขาต่อสู้กับพวกนักรบ พวกมันมักจะลอบโจมตีเข้าใส่ช่องโหว่ สร้างช่องว่างให้นักรบโจมตีสังหารอี้ฝาน

มีหลายครั้งที่อี้ฝานเกือบจะพลาดท่าให้กับการร่วมมือนี้ แม้ว่าจะหลบซ่อนเพียงใด บนร่างของเขาก็คล้ายมีดวงตาล้ำลึกหลายดวงจับจ้อง

ยังดีที่ในท้ายที่สุด อี้ฝานยังสามารถผ่านด่านสังหารพวกมันทั้งหมดลงได้ ก่อนจะมาถึงประตูตะวันออกในที่สุด