บทที่ 636 เทพมรณะ เยือนยมโลก

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 636 เทพมรณะ เยือนยมโลก

เมื่อได้ฟังคำพูดของหลงเฮ่า หานเจวี๋ยก็มิได้ตอบตกลงในทันที

หลงเฮ่าเผชิญกับสภาวะคอขวดจริงๆ มิใช่แค่เขา หลังจากศิษย์สืบทอดคนอื่นๆ บรรลุถึงระดับต้าหลัว จู่ๆ การเพิ่มพูนตบะก็เชื่องช้าลงฉับพลัน ถ้าคิดจะสำเร็จเป็นครึ่งอริยะก็นับว่ายากเย็นอย่างยิ่ง

ครึ่งอริยะมิใช่สิ่งที่ขอเพียงเก็บตัวเพียรบำเพ็ญก็สามารถบรรลุได้ สาเหตุที่หานเจวี๋ยทำได้ นั่นเป็นเพราะมีระบบอันเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่กับตัว

ให้หลงเฮ่าออกไปก็ดีเหมือนกัน หานเจวี๋ยเตรียมการจัดแจงไว้แล้วพอดี

“หลังจากออกไปแล้วเจ้าจงคิดหาทางรวมเผ่ามังกรให้เป็นหนึ่งเดียวเสีย ทำได้หรือไม่”

หานเจวี๋ยเปิดปากถาม หากเผ่ามังกรผงาดขึ้นมาอีกครั้ง จะกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลที่ไม่อาจดูแคลนได้อีกแห่งในแดนเซียน

หลงเฮ่าปรีดา ตอบรับทันที

การมาขอร้องในครานี้ ตัวเขาไม่ได้มีความมั่นใจเลย ไม่นึกเลยว่าหานเจวี๋ยจะอนุญาตจริงๆ

หลงเฮ่าถูกหานเจวี๋ยส่งตัวออกไปภายในวันนั้นเลย

สาเหตุที่ยอมผ่อนปรน ก็เป็นเพราะหานเจวี๋ยเห็นแก่หน้าของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย

ตอนนี้เหล่าอริยชนประกาศแยกมรรคาสวรรค์เป็นเอกเทศแล้ว แดนเซียนต้องการบุคคลมีพรสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเพื่อค้ำจุนในฉากหน้า หานเจวี๋ยหวังว่าเหล่าศิษย์สำนักซ่อนเร้นจะเข้ายึดครองอำนาจได้เป็นส่วนใหญ่

หลังจากหลงเฮ่าออกไป ศิษย์ที่เหลือก็ไม่ได้แห่มาร้องขอออกไป

หานเจวี๋ยเรียกซูฉีมาหา

ซูฉีทำความเคารพอย่างนอบน้อม ตบะเขาบรรลุระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์แล้ว ถึงขั้นที่ล้ำหน้าเต้าจื้อจุนไปแล้ว สายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาลมิใช่สิ่งที่คุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลจะเทียบได้เลย

“ระยะนี้การฝึกบำเพ็ญเป็นไปด้วยดีหรือไม่” หานเจวี๋ยเปิดปากถาม

ซูฉีตอบ “ดียิ่งขอรับ ต้องขอบพระคุณอาจารย์ที่เมตตาส่งเสริม ทำให้ข้าได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์ได้มีคุณสมบัติเลิศล้ำเช่นนี้”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “อยากออกไปโลดแล่นด้านนอกหรือไม่”

ซูฉีควบคุมโชคร้ายของตนได้แล้ว ไม่มีทางที่ไปที่ใดก็ชักนำโชคร้ายไปสู่ที่นั่นเหมือนในอดีตอีก

ถือโอกาสที่ซูฉียังไม่ผงาดเรืองนาม หานเจวี๋ยคิดจะให้เขาแทรกซึมเข้าไปในมรรคาสวรรค์ มิเช่นนั้นต่อให้ภายหน้าซูฉีพิสูจน์มรรคได้ ก็ไม่อาจเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้

ชีวิตชาตินี้ซูฉีอยู่ในอาณาเขตเต๋ามาโดยตลอด ยังมิเคยเข้าสู่มรรคาสวรรค์เลย

ดีร้ายอย่างไรหานเจวี๋ยก็มีแรงกุศลมรรคาสวรรค์อยู่มากมาย จึงใช้พิสูจน์มรรคได้

ซูฉีได้ฟังก็ตอบอย่างระมัดระวัง “หากอาจารย์ไม่ต้องการให้ข้าออกไป ข้าไม่มีทางออกไปขอรับ”

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “เช่นนั้นเจ้าอยากออกไปหรือไม่”

ซูฉีเงียบไป ไม่ทราบว่าควรตอบอย่างไรดี

เขาก่อบาปมหันต์ ไหนเลยจะกล้าออกไปอีก

“ออกไปเถอะ ไปสร้างประโยชน์แก่สรรพสิ่ง ทำคุณไถ่โทษ” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หลังจากอริยะสวรรค์จักรพรรดิบูรพาหลบหนีไป ตอนนี้มรรคาสวรรค์นับว่ารวมใจเป็นหนึ่ง ไม่วางแผนคิดร้ายมากมายเช่นในอดีต

ถึงอย่างไรจอมอริยะเสวียนตูก็ประกาศตัดขาดกับแดนเทพหวนปัจฉิมแล้ว ไม่มีทางเป็นการเล่นละครเพื่อคอยเป็นสายอีกแน่

ซูฉีรีบตอบรับ “น้อมรับคำสั่งอาจารย์!”

หานเจวี๋ยพลันสะบัดแขนเสื้อ พาซูฉีไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ร่อนลงตรงหน้าตำหนักเอกภพ

ประตูใหญ่ของตำหนักเอกภพเปิดออก สองศิษย์อาจารย์เดินเข้าสู่ตำหนัก

จอมอริยะเสวียนตูมองไปที่ซูฉี สีหน้าประหลาดใจ

กลิ่นอายนี้…

เทพมารฟ้าบุพกาล!

หานเจวี๋ยเดินมาหยุดเบื้องหน้าเขา เอ่ยขึ้นว่า “มรรคาสวรรค์กลายเป็นอริกับแดนเทพหวนปัจฉิมแล้ว หากมรรคาสวรรค์อยากพัฒนาไปอย่างมั่นคง จำเป็นต้องเกื้อหนุนชนรุ่นหลัง นี่คือซูฉีศิษย์ของข้า อดีตของเขา เจ้าน่าจะเคยได้ยินแล้ว ยามนี้ได้ถือกำเนิดใหม่ มีวาสนาได้รับสายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาล ข้าอยากให้เขาเข้าสู่มรรคาสวรรค์ ท่านพิจารณาเอาเถิดว่าเขาสมควรชดใช้บาปกรรมจากมหาเคราะห์ครั้งก่อนอย่างไร”

จอมอริยะเสวียนตูมองซูฉีอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ถามถึงที่มาของสายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาล ยามนี้หากมรรคาสวรรค์อยากแข็งแกร่งขึ้น จำเป็นต้องพึ่งพาหานเจวี๋ย

จอมอริยะเสวียนตูเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “บนตัวเขามีกลิ่นอายแห่งความตาย มิสู้แต่งตั้งเป็นเทพมรณะเถิด คอยควบคุมวิญญาณในโลกมนุษย์ ส่งเข้าสู่วัฏสงสาร เป็นกันชนจักรพรรดินีผืนพิภพได้พอดี ยมโลกอยู่ห่างจากมรรคาสวรรค์ที่สุด ระยะนี้จักรพรรดินีผืนพิภพออกจากมรรคาสวรรค์เป็นประจำ ข้านึกคลางแคลงแล้ว”

ต่อหน้าหานเจวี๋ย เขายังคงตรงไปตรงมายิ่ง

หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ได้ เรื่องนี้ยกให้เจ้าจัดการ เจ้าแจ้งต่ออริยะที่เหลือได้เลย”

“อืม ข้าจะแบ่งแรงกุศลมรรคาสวรรค์ของตนให้ศิษย์เจ้า ให้เขาเข้าสู่มรรคาสวรรค์ได้”

“ขอบคุณมาก”

“สหายเต๋าหานเกรงใจแล้ว”

หานเจวี๋ยมองซูฉี เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารั้งอยู่ที่นี่เถอะ รอให้ผู้อาวุโสท่านนี้ช่วยดำเนินเรื่องให้เจ้า”

ซูฉีรีบโค้งคำนับ

หานเจวี๋ยเลือนหายไปจากจุดเดิม

เป็นครั้งแรกที่ซูฉีได้พบจอมอริยะเสวียนตู จึงประหม่ายิ่ง เนื่องจากอาณาเขตเต๋าที่กางกั้นอยู่ในชั้นฟ้านี้ล้วนเป็นของเหล่าอริยชน

จอมอริยะเสวียนตูยิ้มออกมาอย่างหาได้ยากนัก เอ่ยว่า “อย่าได้ประหม่าไปเลย ข้าจะบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในระยะนี้ก่อน ให้เจ้าเข้าใจรูปการณ์ของมรรคาสวรรค์”

ซูฉีพยักหน้ารับ

….

เมื่อกลับมาที่เขตเซียนร้อยคีรี แจ้งเตือนแถวหนึ่งก็เด้งขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย

[ความประทับใจที่จอมอริยะเสวียนตูมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 6.5 ดาว]

ได้เห็น 6.5 ดาวอีกแล้ว!

สมเหตุสมผลดี

ความประทับใจที่หานเจวี๋ยมีต่อจอมอริยะเสวียนตูก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

จอมอริยะเสวียนตูไม่เคยวางแผนปองร้ายลับหลังหานเจวี๋ยเลย มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่ง อีกทั้งมีหลักการและวิถีทางของตนเอง ได้ร่วมมือกับอริยะเช่นนี้ หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง

หลายวันต่อมา ระดับความประทับใจที่อริยะรายอื่นมีต่อหานเจวี๋ยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน คาดว่าคงมีสาเหตุมาจากซูฉี

เทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่งมีความหมายอย่างไร เหล่าอริยชนต่างทราบกระจ่างดี

แม้จะไม่ทราบว่าหานเจวี๋ยใช้วิธีการใดเสริมสายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาลให้ซูฉี แต่การมีเทพมารฟ้าบุพกาลสักตนเพิ่มเข้ามาในมรรคาสวรรค์ หมายความว่าภายหน้าจะมีผู้พิทักษ์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย

หนึ่งปีต่อมา

เสียงของจอมอริยะเสวียนตูแว่วไปทั่วปวงสวรรค์หมื่นโลกา

“นับแต่วันนี้ไป ขอแต่งตั้งซูฉีศิษย์แห่งสำนักซ่อนเร้นเป็นเทพมรณะ คอยดูแลจัดระเบียบวิญญาณ ประจำการ ณ ยมโลก นี่คือการจัดสรรจากเหล่าอริยชนและมรรคาสวรรค์ สรรพสิ่งล้วนไว้วางใจในตัวเทพมรณะได้”

สรรพสิ่งพลันแตกตื่นฮือฮา

เทพมรณะ!

ศิษย์สำนักซ่อนเร้นอีกแล้ว!

สำนักซ่อนเร้นซุกซ่อนผู้ทรงความสามารถไว้มากแค่ไหนกันแน่

แดนยมโลก

หยางเทียนตงที่กำลังจัดการเรื่องภูตผีวิญญาณอยู่ตะลึงงัน เขาเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยพึมพำ “ศิษย์น้องซูฉี…”

เขาเข้าใจไปว่าหานเจวี๋ยเป็นคนจัดสรรส่งตัวซูฉีมา ตั้งใจส่งซูฉีมาคุ้มครองเขา

ระยะนี้ยมโลกค่อนข้างวุ่นวาย มีตัวตนลึกลับที่ไม่รู้จักบางกลุ่มบุกมาโจมตีเจ้าพนักงานผีเป็นระยะๆ เขาก็เคยถูกโจมตีเช่นกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย

ซูฉีมาถึงแดนยมโลกภายในวันนั้น เทพเซียนและเจ้าพนักงานผีทั้งหมดในแดนยมโลกต่างมาต้อนรับ

ด้วยตบะระดับเซียนทองต้าหลัวระยะสมบูรณ์ ซูฉีได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาและหยางเทียนตงพบหน้ากัน ก็พูดคุยยิ้มหัวเราะ ทำให้พญายมคนอื่นๆ ตระหนักรับรู้ว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน

ยมโลกมีพญายมมากมาย ต่างคนต่างมีกองกำลังของตน ต่อสู้แก่งแย่งกันทั้งในทางลับและทางแจ้ง

การมาถึงของซูฉีหมายความว่าหยางเทียนตงกำลังจะเรืองอำนาจขึ้นมา

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยเพิ่งเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญ ข้อความแถวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า

[จักรพรรดินีผืนพิภพต้องการเข้าฝันท่าน ยอมรับหรือไม่]

หานเจวี๋ยใช้ความคิดเงียบๆ

จักรพรรดินีผืนพิภพก็นับว่ามีไมตรีกับเขา เรื่องซูฉีทำให้จักรพรรดินีผืนพิภพกดดันจริงๆ คาดว่าจักรพรรดินีผืนพิภพคงมาซักถามเขาเป็นแน่

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายหานเจวี๋ยก็ตอบรับการขอเข้าฝันอยู่ดี

ในแดนความฝัน ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นริมแม่น้ำปรโลก

จักรพรรดินีผืนพิภพจ้องมองหานเจวี๋ย เอ่ยถามเขา “กลิ่นอายของซูฉีผิดปกติ เขากลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลหรือ”

หานเจวี๋ยตอบ “ถูกต้อง ข้าบังเอิญได้รับสังขารเทพมารฟ้าบุพกาลร่างหนึ่งมาจากแดนต้องห้ามอันธการ”

จักรพรรดินีผืนพิภพเอ่ยอย่างลุ่มลึกมีนัย “การยึดครองสายเลือดเทพมารฟ้าบุพกาลเป็นเรื่องที่แม้แต่เหล่าผู้ทรงพลังบรรพกาลก็ยังทำไม่ได้ หานเจวี๋ย เจ้าเป็นใครกันแน่ หรือว่าเจ้าก็เป็นเทพมารฟ้าบุพกาลเช่นกัน”

หานเจวี๋ยจึงตอบรับไปเสียเลย “ท่านรู้เข้าจนได้”

“บรรพชนเต๋ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ เขาให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเจ้าเช่นนั้นหรือ” จักรพรรดินีผืนพิภพเบี่ยงหัวข้อสนทนาไป

หานเจวี๋ยนิ่งเงียบ

จักรพรรดินีผืนพิภพพลันกระจ่างแจ้ง เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าจะให้การสนับสนุนซูฉี เดิมทีวัฏจักรหกวิถีก็เป็นของมรรคาสวรรค์อยู่แล้ว มรรคาสวรรค์ผันแปรมาจากผานกู่เทพบิดาแห่งข้า ข้าย่อมทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อปกป้องมรรคาสวรรค์ไว้ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าข้าจะทรยศ ข้าออกจากมรรคาสวรรค์ ก็เพราะได้รับเสียงเพรียกหาจากเหล่าพี่น้อง”

………………………………………………………………