ตอนที่ 504 งานเลี้ยงผลท้อเซียนใกล้เข้ามา ฉางโซ่ววางแผนเป็นเทพ! (1)

ท่ามกลางยามราตรีที่มืดมิดและลมกระโชกแรง หลี่ฉางโซ่วกลับไปที่ยอดเขาหยกน้อยเงียบๆ และเดินไปรอบๆ ก่อนจะพบว่า ทุกอย่างเป็นปกติแล้วจึงกลับไปที่หอโอสถอย่างสบายใจ

แม้พลังของแผนภาพไท่จี๋ที่ปกป้องเขาจะเพิ่มมากขึ้น แต่ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วก็ยังซ่อนตัวอยู่ตลอดทั้งคืน

เขาทิ้งร่องรอยไว้มากพอควรก่อนที่จะใช้เวทหลบหนีเพื่อกลับมายังสำนัก…

สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากกลับมาที่ภูเขาคือ ดูหลิงเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ได้ทำอะไร แต่เขารู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก… เขารู้สึกแย่แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ยังคงเป็นเยี่ยกงหลงมังกร[1]

หลังจากกลับไปที่ห้องลับใต้ดินแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ยกพู่กันขึ้นวาดภาพเหมือน มันเป็นช่วงเวลาที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวหันกลับมามองขณะยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อ จากนั้นเขาก็แขวนภาพเหมือนนี้ไว้ข้างโต๊ะและ… ที่ด้านข้างก็มีตัวอักษร “มั่นคง” สองแถวขนาดใหญ่แขวนเอาไว้เช่นกัน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็หยิบพู่กันขึ้นมาและวาดภาพเหมือนของหลิงเอ๋อร์ในขณะที่นางเดินเท้าเปล่าและจับปลาอยู่ริมทะเลสาบ

เด็กสาวในภาพวาดม้วนแขนเสื้อขึ้น ในขณะนั้น นางก้มลงมองดูปลาวิญญาณที่แหวกว่ายอยู่ใต้ทะเลสาบด้วยสีหน้าท่าทีดูจริงจังเป็นพิเศษ มีคราบหยดน้ำเกาะอยู่บนใบหน้าของนางขณะที่เส้นผมยาวสลวยของนางสยายอยู่ด้านข้างนาง…

เมื่อนางมีวัยได้สิบเจ็ดปี หลี่ฉางโซ่วได้ผนึกพลังเวทของนางเพื่อฝึกปฏิกิริยาตอบสนองของนาง และสั่งให้นางจับปลาวิญญาณในทะเลสาบด้วยมือเปล่าหนึ่งร้อยตัว

นั่นเป็นครั้งแรกที่หลี่ฉางโซ่วพบว่า ศิษย์น้องหญิงน้อยที่เขาเห็นทุกวันได้เจริญวัยขึ้นแล้ว บัดนี้ นางดูสวยสะคราญและสง่างามนัก

ทว่า… หลี่ฉางโซ่วก็มองไปที่ภาพของคนทั้งสองแล้วเม้มปาก

หากนั่นคือทั้งหมด ก็ย่อมไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อการตัดสินเรื่องมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ

เขาแขวนภาพเหมือนของหลิงเอ๋อร์เอา ไว้ข้างๆ ภาพเหมือนของอวิ๋นเซียว และเมื่อคิดว่าเขาควรจะจัดการผลที่ตามมาอย่างไร เขาก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเทพธิดาอวิ๋นเซียวทรงพลังแข็งแกร่งและเลิศล้ำสติปัญญาเกินไป จึงยากที่เขาจะวางแผนต่อต้านนางเหมือนที่ทำกับหลิงเอ๋อร์ได้

หลิงเอ๋อร์ได้รับการปกป้องจากเขาดีเกินไป นอกจากนี้ ธรรมชาติของนางยังมีธรรมชาติร่าเริงสดใสและมีจิตใจเรียบง่ายไร้เดียงสา

แม้เขาจะคอยพร่ำสอนถึงความชั่วร้ายแห่งใจมนุษย์ให้นาง แต่นางก็ยังเมินเฉยและขาดความระแวดระวังในบางครั้ง

ในขณะที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวนั้น แข็งแกร่งเกินไปจนคนอื่นๆ ไม่กล้าวางแผนทำร้ายนาง ดังนั้น นางจึงเรียบง่ายไร้เดียงสากว่า…

เมื่อมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มและอ่อนโยนของอวิ๋นเซียวในภาพเหมือนนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ยังสัมผัสได้ว่า ท่ามกลางความอ่อนโยนของนางนั้น ดูมีความไม่แยแสอยู่เป็นส่วนใหญ่

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การหลอกลวงหลิงเอ๋อร์นั้นยังง่ายเสียกว่า

หลี่ฉางโซ่วหยิบปิ่นหยกออกมาและคิดถึงเรื่องนี้ก่อนจะตัดสินใจที่จะรอให้หลิงเอ๋อร์ออกมาจากการปิดด่านก่อน แล้วค่อยมอบปิ่นให้นาง

และเขาก็จะกดดันนางด้วยว่า “กรรม… ภัยพิบัติ… มีหลายอย่างมากมายนักที่ต้องทำ”

เมื่อจอมปราชญ์เคลื่อนไหวเอง ย่อมต้องมีความหมายลึกซึ้งอยู่เบื้องหลังการกระทำของเขา และมันย่อมเป็นการตั้งใจลงมืออย่างแน่นอน

หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้กลมและสร้างแรงกระตุ้นในใจ แล้ววิเคราะห์รายละเอียดต่างๆ อย่างถี่ถ้วนและระมัดระวัง

เรื่องในวันนี้ ความจริงแล้ว ยังไม่ถึงขั้นเป็นสถานการณ์ “เลวร้ายที่สุด” ในเมื่อเขาไม่อาจเปลี่ยนกรอบได้ ก็ยังถือว่า เป็นสถานการณ์คงที่

ความจริงแล้ว เขาเพิ่งจิตส่วนหนึ่งไปที่เรือของดินแดนเทวะทักษิณ เขานำหลงจี๋และเหล่าปรมาจารย์เผ่ามังกรสามคนมาเพื่อจัดการแยกแยะแควเล็กๆ สองสายอย่างละเอียด

เป็นไปได้มากว่าสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้ค้นพบความสำคัญของศาลสวรรค์ จึงเป็นเหตุให้ต้องการมีอิทธิพลต่อเขาเพื่อส่งผลกระทบต่อมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ

“สมมติว่าปรมาจารย์จอมปราชญ์ของเขาได้สรุปโครงร่างของความน่าจะเป็นคร่าวๆ แห่งมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพเอาไว้แล้ว”

หากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะลากเส้นสายสาขาออกมาอีกสองเส้น เขาอาจสันนิษฐานได้ว่าจอมปราชญ์ทั้งหกมีความสามารถในการหยั่งรู้ได้เหมือนปรมาจารย์ไท่ชิงของเขา หรือจอมปราชญ์คนอื่น จะไม่มีความสามารถเท่าปรมาจารย์ไท่ชิง…

หลี่ฉางโซ่วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและวาดลงไปบนนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้น ก่อนที่เขาจะทันได้รู้ตัว เขาก็ได้นอนอยู่บนโต๊ะมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว และเขาก็รู้สึกวิงเวียนจากการขีดเขียน

สองสามเดือนต่อมา…

ตึ้ง

เสียงระฆังอันไพเราะดังก้องไปทั่วทั้งสำนักตู้เซียน จากนั้น ร่างต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากยอดเขาต่างๆ แล้วไปรวมตัวกันที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์

หลี่ฉางโซ่วถูกอาจารย์ของเขาเรียกไปเช่นกัน จากนั้นเขาก็รีบติดตามอาจารย์ไปที่สำนักตู้เซียน

บรรดาศิษย์ส่วนใหญ่จะกลับมาในวันนี้

หลี่ฉางโซ่วก้มศีรษะลงครุ่นคิด ข้าไม่อาจตัดความจริงที่ว่าปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียนจะรู้เรื่องโชคร้ายของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย…

มีโอกาสกว่าแปดส่วนที่ปรมาจารย์ไท่ชิงจะไม่อยากเห็นสำนักบำเพ็ญเต๋าต้องอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงน่าจะคิดหาวิธีแก้ไขบทต้นร่างของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ และกลายเป็นตะปูตัวเล็กๆ ในโลงศพ[2]…

หากสามารถทำให้จอมปราชญ์รู้สึกว่าข้าต้องค่อยๆ วางแผนช้าๆ เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีบทต้นร่างสำหรับมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ หรือความจำเป็นสำหรับมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ?

“ฉางโซ่วอา…”

นักพรตชราเต๋าฉีหยวน ตะโกนตรงหน้าหลี่ฉางโซ่ว ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้สติและรีบหันกลับมาให้ความสนใจอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่กำลังวาดภาพ แผนภาพอุทกวิทยาในดินแดนเทวะทักษิณก็ตัวสั่นเทาจนทำให้พู่กันและหมึกเปื้อน

“ศิษย์อยู่นี่ขอรับ”

“มีปัญหาใดหรือไม่?” นักพรตชราเต๋าฉีหยวนขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าออกจะดูซีดเซียวไปสักหน่อย เมื่อไม่นานมานี้เจ้าพบปัญหาใดในการฝึกบำเพ็ญของเจ้าหรือไม่?”

จากนั้น นักพรตชราเต๋าฉีหยวนก็กล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “หากเจ้าพบปัญหาใดๆ ในการฝึกบำเพ็ญของเจ้า เจ้าก็ควรขอคำแนะนำจากเจ้าสำนัก หรือท่านปรมาจารย์ใหญ่!”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ไม่ต้องห่วง เป็นเพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ศิษย์ได้ทุ่มเทพลังจิตมากเกินไป การฝึกบำเพ็ญของศิษย์เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ล่าช้ากว่าก่อนที่ศิษย์จะเป็นเซียนมากขอรับ”

ทุกอย่างเป็นความจริง แต่กลับไร้ประโยชน์

ฉีหยวนพยักหน้าอย่างเบาใจพลางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าไม่ควรกังวลไปทุกเรื่อง หาสหายให้มากขึ้นและทำความรู้จักกับผู้คนที่ทรงพลังยิ่งใหญ่ให้มากขึ้น เมื่อได้พูดคุยกับพวกเขา ความคิดของเจ้าก็จะชัดเจน จงอย่านิ่งนอนใจ แต่ก็อย่าให้วิตกกังวลจนเกินไปนัก”

“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วรู้สึกอบอุ่นใจแต่แล้วก็รู้สึกอับจนหนทางขึ้นมาอีกครั้ง

เรื่องใหญ่ที่เขากำลังวางแผนคิดในตอนนี้ เขาจะไปปรึกษาหารือกับใครได้อีกนอกจากท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์ของเขาเอง?

หากเขาพูดคุยอะไรเกี่ยวกับการกลายเป็นเทพ หรือแม้แต่เอ่ยถึงมหาภัยพิบัติแม้เพียงครึ่งคำ ก็เกรงว่า บางที เขาอาจจะเรียกสายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงมา

และมันจะไม่ใช่เพียงคำเตือน!

………………………………………………………………..

[1] ดูภายนอกแล้ว มีท่าทางชอบหรือหลงใหลบางสิ่งบางอย่าง แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม ภายในใจนั้น อาจจะรู้สึกไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ ในที่นี้ก็คือ หลี่ฉางโซ่วคิดว่าหลิงเอ๋อร์ไม่ได้ชอบเขาเท่าที่นางแสดงออกหรือกล่าวอ้าง

[2] สิ่งหรือสถานการณ์หรือคนที่เข้ามาเสริมในสถานการณ์ที่ได้มีการวางแผนไว้แล้ว โดยส่วนใหญ่ใช้ในสถานการณ์แย่ๆ