บทที่ 690 ฟื้นความจำของหวังหยู

“ท่านเจ้าเมือง ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่มีตราสัญลักษณ์ดอกบัวเพลิงจะเป็นลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ แต่เหตุใดจึงได้มีถึงสองคน?”

อวิ๋นเทาไม่ตอบกลับถามต่อ

“เพราะ ..เขาเป็นศิษย์ของอู๋โม่ไป๋…” อวิ๋นเทาเอ่ยออกมาช้าๆ

“บอกข้าเร็วว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

“ข้าต้องเข้าใจสถานการณ์ว่าจะไม่มีภัยคุกคามต่อเขาเสียก่อน ข้าจึงจะบอกกับท่านได้”

ถังหลี่กล่าวต่อว่า “อู๋โม่ไป๋? เขาไม่ใช่พ่อมดที่เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาจนสังหารธิดาเทพหรอกหรือ?”

“ใช่! พวกเขาต่างพากันร่ำลือว่าอู๋โม่ไป๋ไม่เชื่อฟังและไม่เคารพเทพเจ้า เขาตั้งใจจะฆ่าพระองค์ หลังจากที่พระองค์ทรงทราบถึงเจตนาของเขา ทว่าจะเป็นไปได่อย่างไรที่เขาจะไม่เชื่อฟังและฝ่าฝืนพระองค์ เขาเป็นผู้พิทักษ์ของเผ่าเรา อู๋โม่ไป๋สามารถทำนายภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำทุกครั้ง ยามที่เขายังอยู่ในตำแหน่ง ผู้คนปลอดภัย ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ชาวเมืองรอดพ้นจากภัยพิบัติและหายนะจากธรรมชาติ แต่เมื่ออู๋เจี๋ยได้ขึ้นเป็นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เคยทำนายเรื่องภัยพิบัติอีกเลย ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติเขาเอาแต่อ้างว่าเป็นการลงโทษจากพระเจ้า ยิ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ชาวเมืองกลัวเขา แม้แต่ข้าก็ไม่เชื่อมั่นในคำพูดของเขา”

“ยามที่อู๋โม่ไป๋ยังอยู่ ผู้คนต่างนับถือเขาอย่างใจจริง ไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อเป็นอู่เจี๋ย กลับกลายเป็นการขูดรีดภาษีหนักหนาสาหัสขึ้นทุกปีๆ” อวิ๋นเทาถอนหายใจเบาๆ

เขาอยู่มาจนได้เห็นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์มาถึงสองรุ่นแล้ว เขาคิดถึงบรรพบุรุษของเขาเป็นอันมาก สิ่งที่เรียกว่าดวงตาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่เขากลับคิดว่านั่นเป็นเรื่องหลอกลวง หากดวงตาศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ามีจริง เหตุใดคนที่ทำเรื่องเลวร้ายจึงไม่ถูกลงโทษ? แต่กลายเป็นคนทำดีไม่ได้ดีแทน!

ธิดาเทพเป็นผู้สืบสายเลือดมาจากเทพเจ้า นางนำโชคดีมาสู่คนในเผ่า แต่นางไม่ใช่เทพเจ้า และคนที่สื่อสารกับเทพเจ้าได้จะมีแค่พ่อมดเท่านั้น เขารู้สึกว่าอู๋เจี๋ยเป็นพวกหลอกลวงเทพเจ้า!

คงจะดีไม่น้อยหากมีพ่อมดศักดิ์สิทธิ์อีกคนส่งสารบอกเทพเจ้าในสิ่งเลวร้ายที่อู๋เจี๋ยทำลงไป

หลังจากที่ฟังอวิ๋นเทาพูดแล้ว ถังหลี่จึงได้คิดถึงโครงเรื่องเดิมของนิยายเรื่องนี้

โครงเรื่องเดิมเป็นเรื่องราวที่เขียนเสริมขึ้นมาจากมุมมองของลูกๆของพระเอกและนางเอกในนิยาย ตามเส้นเรื่องที่วางเอาไว้น่าจะเป็นสิบห้าปีหลังจากนี้ ลูกของตัวเอกชายและหญิงได้หลงเข้ามาในชนเผ่าโบราณ ผ่านเมืองที่เวิ้งว้างว่างเปล่าจนน่าขนหัวลุก ในเมืองล้วนไร้ผู้คน มีแต่ศพอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ใจกลางเมืองมีไม้แกะสลักเป็นรูปชายผู้หนึ่งที่กำลังทุกข์ทรมาน ว่ากันว่าเขาเป็นคนบาปของเมืองนี้

หลังจากได้ถามไถ่จึงพบว่าท่านเจ้าเมืองมีช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ เนื่องจากภาษีของเมืองเริ่มหนักมากขึ้น ผู้คนต่างดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ท่านเจ้าเมืองจึงได้นำชาวเมืองทั้งเมืองต่อต้านพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ การต่อต้านในตอนแรกเป็นไปด้วยดี แม้กระทั่งคนที่พ่อมดส่งมาก็ไม่อาจโจมตีเมืองได้ จากนั้นเจ้าเมืองได้เสนอให้เจรจากับพ่อมดศักดิ์สิทธิ์

จนกระทั่งเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ขึ้นในเมือง สถานการณ์จึงแย่ลง คนในเมืองพากันเชื่อว่าโรคระบาดเกิดจากการที่เทพเจ้าลงโทษ การตายของญาติและคนในครอบครัวทำให้ชาวเมืองที่สนับสนุนเจ้าเมืองเริ่มไม่พอใจ

สุดท้าย ชาวเมืองพากันมัดเจ้าเมืองไว้บนเสาสูงสุด และเผาเขาจนตาย จากนั้นจึงได้พากันขออภัยโทษต่อพระเจ้า แต่หลังจากเผาเมืองจนตาย โรคระบาดก็ไม่ได้หายไป ชาวเมืองก็ค่อยๆ ล้มหายตายจาก ในที่สุดจึงได้กลายเป็นเมืองร้าง

ลูกของพระเอกและนางเอกยังพบว่าต้นตอของโรคระบาดนั้น แท้จริงแล้วพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ทำให้เกิดขึ้นมาเอง หาใช่การลงโทษจากสวรรค์ไม่!

หลังจากได้รู้เรื่องราวของเบื้องหลังทั้งหมด พระเอกและนางเอกในเรื่องจึงได้มีความเห็นอกเห็นใจและชื่นชมเจ้าเมืองเป็นอย่างมาก พวกเขาต้องการแก้ไขชื่อเสียงของท่านเจ้าเมือง จนในที่สุดทำให้เข้าไปพัวพันกับตระกูลใหญ่หลายตระกูลของเผ่าโบราณที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

เมืองที่ว่านี้ชื่อเมืองอวิ๋นเฟิงและเจ้าเมืองก็คืออวิ๋นเทานั่นเอง สิบห้าปีต่อจากนี้ไปเมืองอวิ๋นเฟิงที่เคยรุ่งเรืองจะถูกทำลายด้วยโรคระบาด และเจ้าเมืองผู้นี้…

ช่างเป็นตัวละครที่น่าเศร้ายิ่งนัก

เขายืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อราษฎรของตนเองแต่สุดท้ายก็ตายด้วยน้ำมือของราษฎรที่เขาปกป้อง

จากเนื้อเรื่องเดิมในนิยายทำให้ถังหลี่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจอวิ๋นเทาอย่างสูง ท่านเจ้าเมืองผู้นี้เป็นคนเที่ยงธรรมและรักราษฎรประหนึ่งลูกหลาน เขาเต็มใจที่จะลุกขึ้นต่อสู้กับความอยุติธรรมจากพ่อมดเพื่อผลประโยชน์ของชาวเมืองของเขา

ถังหลี่คิดใคร่ครวญดูแล้ว นางจึงไม่คิดปิดบังเขาอีกต่อไป

“ผู้ที่มีสัญลักษณ์ดอกบัวเพลิงอยู่ในกลุ่มของพวกเรา”

“เขา..อยู่ที่นี่หรือ?” อวิ๋นเทาตื่นเต้น สาตาสอดส่ายหาไปทั่ว ในที่สุดสายตาของเขาก็ตกลงที่หวังหยู ท่ามกลางแสงเทียนสลัว เด็กหนุ่มมีใบหน้าที่แน่วแน่ ดวงตาเย็นชาสงบราวกับสระน้ำ

“ข้าเอง” เขาเอ่ยขึ้น สายตาของซานเป่าจับจ้องไปที่หวังหยู นางรู้สึกว่าหวังหยูเปลี่ยนไป หวังหยูเงยหน้า ยืดหน้าอก อารมณ์ของเขา ดูแตกต่างออกไป มีบางอย่างในสีหน้าเขาที่ซานเป่าไม่เข้าใจ

“ท่านแม่..ปล่อยเรื่องนี้ไปเถิด..

“เขาจำได้แล้ว” ถังหลี่พูดขึ้น

เมื่อก่อนความทรงจำของเขาเหมือนกับลงกลอนเอาไว้ แต่ก็พร้อมที่จะถูกปลดปล่อยออกมา เมื่อเจ้าเมืองพูดคำว่า ‘อู๋โม่ไป๋’ จู่ๆ ประตูที่ถูกลงกลอนเอาไว้ก็ได้เปิดออก ความทรงจำของเขาไหลบ่าออกมาราวกับน้ำท่วม

เขาจำได้แล้ว! เรื่องราวแต่เดิมที่แสนยุ่งเหยิงและวุ่นวาย ความคับข้องใจทั้งหลายเหล่านั้น

พ่อมดศักดิ์สิทธิ์มีสาวกและลูกศิษย์มากมาย เขาจะคัดเลือกลูกศิษย์ที่มีความสามารถที่สุดขึ้นมา เป็นผู้สืบทอด

แต่เดิมที อาจารย์ของเขาและอู๋เจี๋ยต่างเป็นพ่อมดและเป็นญาติกัน อาจารย์ของเขาได้รับตำแหน่งเป็นผู้สืบทอดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ อู๋เจี๋ยจึงได้กลับไปหาสกุลเหยา จากนั้นจึงได้กลายเป็นเหยาเจี๋ย

หวังหยูเคยพบกับเหยาเจี๋ยเพียงไม่กี่ครั้ง เขาจำได้ว่าท่านอาผู้นี้เป็นคนเงียบขรึมและค่อนข้างโง่เขลา เขาจึงตกใจเป็นอันมากเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นภายหลัง เขาไม่ได้คิดเลยว่าท่านอาที่ดูซื่อสัตย์และน่าเบื่อผู้นี้จะกลายเป็นเทพสังหารไปเสียได้

ท่านอาจารย์ที่เขาชื่นชมและเกรงกลัวราวกับบิดาแท้ๆ นอนจมกองเลือด เขาสั่งเสียเพียงประโยคเดียวว่า ให้เขาปกป้องธิดาเทพให้ดี

ในตอนนั้นหวังหยูสับสนมาก

เมื่อไม่กี่วันก่อน ท่านอาจารย์เพิ่งจะจูงมือเขาไปที่วิหารเพื่อพบกับธิดาเทพที่ยังเป็นทารกตัวน้อยอยู่ อาจารย์บอกว่าเด็กคนนั้นคือคนที่เขาจะต้องปกป้องไปจนชั่วชีวิตของเขา

เขาคิดว่าตนเองยังมีเวลาที่จะเติบโตอีกนาน แต่ชั่วพริบตา อาจารย์ก็ได้เสียชีวิตลง และตัวเขาต้องแบกภาระที่หนักอึ้งไว้บนบ่า

ทั้งวิหารและเมืองเยว่เฉิงถูกคนของเหยาเจี๋ยยึดครอง

เขาหนีออกจากเผ่าอู๋พร้อมกับธิดาเทพตัวน้อย แต่กลับถูกตามล่า เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนธิดาเทพหายไป

เขาทำนางหาย! น้ำตาของหวังหยูไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่เขาลืมนั่นก็คือ การตามหาธิดาเทพให้เจอ

หวังหยูเผยสัญลักษณ์ดอกบัวเพลิงให้อวิ๋นเทาได้เห็นเพื่อพิสูจน์ตัวตนของเขา และเล่าอดีตของตนเท่าที่เขาจำได้ให้อวิ๋นเทาฟัง

“ข้ารู้ว่าอู๋โม่ไป๋ไม่ได้ฆ่าธิดาเทพ แต่เป็นเหยาเจี๋ยที่ฆ่านาง!” อวิ๋นเทาพูดด้วยความโกรธ

“สิบปีผ่านไปแล้ว..ข้าไม่รู้ว่าธิดาเทพองค์น้อยอยู่ที่ไหน? นางจะปลอดภัยดีหรือเปล่า?…” หวังหยูพูดต่อไม่ไหว

การตายของธิดาเทพที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่อาจปกป้องนางเอาไว้ได้

“ท่านพ่อมด ธิดาเทพองค์ใหม่ยังอยู่ที่เมืองเยว่เฉิง..”

“ธิดาเทพอยู่ที่เมืองเยว่เฉิงหรือ?” หวังหยูพูดอย่างประหลาดใจ ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจบหมดสติไปจึงสูญเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิง มีคนอื่นคอยปกป้องธิดาเทพน้อยเอาไว้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว อู๋เจี๋ยจึงได้นำธิดาเทพกลับไปยังเมืองเยว่เฉิง

“ธิดาเทพมีสุขภาพไม่สู้ดีนัก นางพักอยู่ในวิหารตลอดทั้งปี ข้าเองยังเคยเห็นนางเพียงแค่ครั้งเดียว”

“หรือว่าอู๋เจี๋ยจะจับนางไว้เป็นตัวประกันโดย?” หวังหยูถามพลางขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่ว่าธิดาเทพจำเป็นจะต้องพึ่งอู๋เจี๋ยสักหน่อย…” อวิ๋นเทาพูดขึ้น

ธิดาเทพจะปกป้องชีวิตของตนเองยามที่ศัตรูเข้าใกล้ ผลลัพธ์ดังกล่าวอาจสร้างความเสียหายให้กับพ่อมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!