บทที่ 691 หลบหนีจากเมืองอวิ๋นเฟิง
ในคุกใต้ดินบังเกิดความเงียบขึ้นมาครู่ใหญ่
“ตอนที่เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น ธิดาเทพยังเล็กนัก นางไม่รู้ถึงความชั่วร้ายที่อู๋เจี๋ยทำลงไป เขาเลี้ยงดูนางมา ย่อมสนิทสนมคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี”
คล้ายมีหินทับที่กลางหน้าอกของหวังหยู เขาถึงกับหายใจไม่ออก ไม่นานเขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า
“ข้าหวังว่าธิดาเทพจะปลอดภัยดี”
“ท่านผู้สืบทอด ท่านช่วยสื่อสารกับเทพเจ้าเกี่ยวกับเรื่องชั่วร้ายที่อู๋เจี๋ยทำลงไปได้หรือไม่? เทพเจ้าจะได้ไม่ถูกเขาหลอกลวงอีก”
อวิ๋นเทามองหวังหยูด้วยสายตาที่คาดหวัง
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ชาวเมืองอวิ๋นเฟิงมีความทุกข์ยากลำบากมากขึ้นทุกปี เผ่าอู๋มีสี่เมือง ยกเว้นเมืองเยว่เฉิงแล้ว อีกสองเมืองก็ประสบชะตากรรมที่ยากลำบากมากกว่าเมืองอวิ๋นเฟิงยิ่งนัก
พ่อมดศักดิ์สิทธิ์สร้างวิหารขึ้นมากมาย มีคนนับไม่ถ้วนถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน บางคนสูญเสียบุตรชาย บางคนสูญเสียบิดาหรือแม้กระทั่งสามีของตน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครลุกขึ้นต่อต้าน เพราะคิดว่าเป็นคำบัญชาจากเทพเจ้า
ความเจ็บปวดเช่นนี้จึงมีเพียงคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปเท่านั้นถึงจะรู้ได้
อู๋เจี๋ยต้องการเกณฑ์ผู้คนในเมืองอวิ๋นเฟิงด้วย แต่อวิ๋นเทาปฏิเสธ อู๋เจี๋ยไม่พอใจมาก เขาจึงส่งเหยาจู้มาเก็บภาษี นี่แค่เป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปภายหน้ายังไม่รู้จะเจออะไรตามมาอีก
“เราไม่อาจอัญเชิญเทพเจ้าลงมาโดยการเต้นรำบวงสรวงได้” หวังหยูกล่าว เขาจำคำพูดของอาจารย์ได้เป็นอย่างดี เดิมทีเผ่าของเขานับถือลัทธิบูชาดวงจันทร์ ภายใต้แสงจันทร์ พลังวิญญาณของสวรรค์และใต้หล้าได้มาบรรจบ จนเทพเจ้าได้ถือกำเนิดขึ้นมา พ่อมดศักดิ์สิทธิ์ ได้เคยอัญเชิญธิดาเทพแห่งจันทราเสด็จลงมาเยือนโลกมนุษย์ แต่เมื่อพันปีผ่านไป ธิดาเทพแห่งจันทราได้สูญหายไป จากนั้นพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจอัญเชิญธิดาเทพแห่งจันทราลงมาอุบัติได้อีกเลย
“เทพองค์นี้ก็แค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น หาได้มีตัวตนจริงไม่!”
จ้าวจิ่งซวนอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ หวังหยูเหลือบมองเขา
“เทพเจ้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมนุษย์”
จ้าวจิ่งซวนมีความรู้สึกว่าหวังหยูเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาสง่างามจนทำให้จ้าวจิ่งซวนหุบปากและไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีก
ไม่ว่าจะมีเทพเจ้าจริงหรือไม่มีจริงก็ตาม แต่นั่นเป็นความเชื่อของชนเผ่าอู๋ สิ่งที่เขาพูดอาจทำให้ผู้คนขุ่นเคืองได้ จ้าวจิ่งซวนคิดอยากตบหน้าตนเองขึ้นมาทันที
หัวใจของอวิ๋นเทาจมดิ่งลง เขาตื่นเต้นเมื่อเห็นหวังหยู คิดว่าอย่างน้อยจะมีผู้ที่สื่อสารถึงความทุกข์ยากของราษฎรไปสู่เทพเจ้าได้ แต่ตอนนี้กลับได้รับคำตอบที่ว่า เทพเจ้าไม่อาจจะแทรกแซงโชคชะตาของมนุษย์ได้
ทันใดนั้นเอง อวิ๋นเทาคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ประกายแห่งความหวังจุดขึ้นในดวงตาของเขา
“อู๋เจี๋ยได้ขโมยตำแหน่งพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ของท่านไป ตำแหน่งนั้นควรจะตกเป็นของท่าน” เทพเจ้าไม่อาจก้าวก่ายชะตาของมนุษย์ได้ พวกเขาจึงได้แต่พึ่งพระองค์เท่านั้น
อู๋เจี๋ยขึ้นดำรงตำแหน่งพ่อมดศักดิ์สิทธิ์มาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องตามครรลอง เขาควรจะเป็นผู้ดูแลเหตุการณ์ให้สงบ แต่กลับนำไปสู่ความวุ่นวาย !
แต่ผู้สืบทอดคนนี้ได้ถูกคัดเลือกมาโดยอู๋โม่ไป๋ เขาน่าจะทำให้ผู้คนในเผ่าอู๋มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ท่านผู้สืบทอด ข้ายินดีจะติดตามท่าน” อวิ๋นเทาพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หวังหยูไม่ตอบ หากแต่มองไปยังซานเป่าด้วยสายตาแน่วแน่ หากเขาเลือกที่จะหวนคืนไปยังสถานะผู้สืบทอดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ เขาย่อมต้องเข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้ หลังจากนั้นเขาจะต้องรับภาระของเผ่าอู๋อีกด้วย เขาจะไม่ได้ติดตามนายหญิงของเขาอีกต่อไป! แต่ถ้าหากเขาเลือกที่จะติดตามนาง..เจ้านายจะถูกลอบฆ่า ถูกใส่ร้าย ทำให้เสียชื่อเสียง ธิดาเทพต้องพึ่งพาเจ้าหัวขโมยผู้นั้น คนในเผ่าอู๋จะทุกข์ยากตกที่นั่งลำบาก เขาจะนั่งดูเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้หรือ?
หวังหยูรู้สึกถึงมือสองฝ่ายที่ต้องการฉุดรั้งเขาเอาไว้ เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“หวังหยู ไม่ว่าเจ้าจะเลือกหนทางไหน ข้ายินดีสนับสนุนเจ้า”
ซานเป่าพูดอย่างจริงจัง หวังหยูมีทีท่าขัดเขินเมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของเจ้านาย ความปรารถนาที่แท้จริงของเขาคือการได้ติดตามนายหญิงเท่านั้น
อวิ๋นเทาเห็นความลังเลในแววตาของหวังหยู เขาจึงพูดขึ้นว่า
“ไม่ว่าอย่างไรตัวตนของผู้สืบทอดย่อมไม่ควรที่จะถูกเปิดเผย ทางที่ดีข้าจะส่งพวกท่านออกจากเมืองอวิ๋นเฟิงไปก่อน”
ตอนนี้เผ่าอู๋ทั้งหมดถูกควบคุมโดยอู๋เจี๋ย เมื่อเรื่องถูกเปิดเผยขึ้นมา พวกเขาย่อมต้องถูกฆ่าปิดปากอย่างแน่นอน ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องซ่อนผู้สืบทอดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
“การเผาทั้งเป็นจะเกิดขึ้นในยามเที่ยงของพรุ่งนี้ คืนนี้จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหลบหนี ข้าจะไปเตรียมการ หลังจากนี้จะมีคนมาช่วยท่านออกจากเมืองอวิ๋นเฟิง!” อวิ๋นเทาหยุดชะงักไป จากนั้นจึงได้พูดขึ้นว่า
“สำหรับการตัดสินใจที่จะเป็นผู้สืบทอดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์หรือไม่นั้น ขอให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเอง” อวิ๋นเทาทำความเคารพหวังหยูตามธรรมเนียมของเผ่าอู๋ จากนั้นจึงได้หันหลังเดินจากไป
ตกกลางคืนที่มืดมิด
อวิ๋นเทาเรียกสองพี่น้องสกุลเฟิง เฟิงเยว่ และเฟิงเหยียน เข้ามาพบ เล่าเรื่องโดยย่อให้พวกเขาฟัง และตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ทั้งคู่ได้เอ่ยปากคัดค้าน
“เฟิงเหยียน เจ้าไปส่งผู้สืบทอดออกไปจากเมืองอวิ๋นเฟิง จำไว้ให้ดี เจ้าและผู้คุ้มกันทุกคนของเมืองอวิ๋นเฟิงจะต้องจงรักภักดีต่อผู้สืบทอดผู้นี้”
“เฟิงเยว่ เจ้าพาภรรยาและบุตรของข้าออกไปจากเมืองอวิ๋นเฟิงด้วย”
เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว “ท่านเจ้าเมือง…”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว รีบไปทำตามคำสั่งของข้า ไปเตรียมตัวให้พร้อม” อวิ๋นเทาพูดอย่างเด็ดขาด
สองพี่น้องรับคำสั่งแล้วรีบไปปฏิบัติตาม อวิ๋นเทากลับไปที่ห้อง เขาปลุกภรรยาและลูกทั้งสองคนขึ้นมา
“รีบเก็บของแล้วออกจากเมืองอวิ๋นเฟิงไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของเขา ภรรยาจึงได้รีบลุกขึ้นจัดแจงเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว บุตรทั้งสองของเขาอายุประมาณเจ็ดแปดขวบทั้งคู่งัวเวียลุกขึ้น เขาอุ้มเด็กๆ ไปขึ้นรถม้า บุตรทั้งคู่แหงนมองบิดา
“ท่านพ่อ…”
อวิ๋นเทามองใบหน้าของลูกทั้งสอง เขาจูบที่หน้าผากของเด็กน้อยอุ้มเด็กๆ ที่กำลังงัวเงียไปขึ้นรถม้า
“ทำตัวดีๆ เชื่อฟังท่านแม่..” เมื่อภรรยาของเขาได้ยิน นางไม่สบายใจขึ้นมาในทันที คว้าแขนเขาเอาไว้
“ให้พวกเราไป แล้วท่านเล่า?”
“เจ้าไปก่อน ข้าจะตามไปภายหลัง” อวิ๋นเทาตบแขนภรรยาเบาๆ อย่างปลอบใจ เขาให้นางปล่อยมือ ก้าวถอยหลังหันไปพูดกับเฟิงเยว่ที่เป็นคนขับรถม้าว่า
“รีบไปให้เร็วที่สุด” รถม้าออกเดินทางหายไปในราตรีที่มืดสนิทนั้น
ในอีกด้านหนึ่ง ถังหลี่ หวังหยู และคนอื่นๆ ถูกนำออกมาจากคุกใต้ดิน พวกเขาพากันขึ้นรถม้าและรีบออกจากเมืองอวิ๋นเฟิง ในยามที่ท้องฟ้าเป็นสีพุงปลาทางทิศตะวันออก ใกล้จะรุ่งสางแล้ว
“ถ้าหากเราหนีไปเช่นนี้ อู๋คูจะทำให้ท่านเจ้าเมืองเดือดร้อนหรือไม่?”จ้าวจิ่งซวนถาม อู๋คูต้องการเผาพวกเขาทั้งเป็นโดยบอกว่าเป็นบัญชาจากเทพเจ้า หากพวกเขาไม่อยู่แล้วอู๋คูจะปล่อยท่านเจ้าเมืองไปหรือ?” นั่นเป็นสิ่งที่หวังหยูกำลังคิดอยู่เช่นกัน เขามองที่เฟิงเหยียนถามว่าบราวนี่ออนไลน์
“ท่านเฟิงแผนของท่านเจ้าเมืองเป็นอย่างไรหรือ?”
“แค่เรียกชื่อข้าเท่านั้นก็พอขอรับ” เฟิงเหยียนกล่าวด้วยความเคารพ
“ท่านเจ้าเมืองมีแผนของเขาเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง” แม้เฟิงเหยียนจะพูดเช่นนั้น หากเขาก็ไม่อาจซ่อนใบหน้าที่แสดงอาการวิตกไว้ได้ เขาไม่ใช่คนโง่เขลาเหมือนเฟิงเยว่ ยามที่ท่านเจ้าเมืองขอให้เขาจงรักภักดีต่อผู้สืบทอดและขอให้เฟิงเยว่พาภรรยาและบุตรของเขาออกนอกเมืองไป เขาคาดเดาความคิดของท่านเจ้าเมืองได้อยู่แล้ว
ท่านเจ้าเมืองจะไม่จากไปไหน เขาตั้งใจจะอยู่ที่อวิ๋นเฟิงจัดการเรื่องนี้ตามลำพังแต่ผู้เดียว การจากกันในครั้งนี้อาจจะไม่ได้พบกันอีกชั่วชีวิต… เขาหายใจแทบไม่ออก ทั้งอึดอัดและหนักใจเป็นอย่างมาก หวังหยูเปิดม่านหน้าต่างรถ มองออกไป เขารู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่ หวังหยูกวาดสายตามองจากนั้นจึงเห็นนกตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่กิ่งไม้ นกเอียงคอกำลังจ้องมองมาที่เขา หวังหยูเม้มปาก หยิบหน้าไม้ยิงไปที่นกอย่างรวดเร็ว นกตัวนั้นตกลงมาจากกิ่งไม้ลงมานอนตายที่พื้น
“หวังหยู เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ซานเป่าเห็นการกระทำเช่นนั้นของเด็กหนุ่ม นางจึงอดถามไม่ได้ คงไม่ใช่เพราะเขาหิวจนอยากจะกินนกสักตัวขึ้นมาในเวลาคับขันเช่นนี้หรอกนะ
“เรากำลังถูกติดตาม เผ่าพ่อมดมีวิชาที่ลับ พวกเขาใช้ทั้งตาและหูของนกเพื่อมองเห็นและได้ยิน” สีหน้าของเขาเคร่งขรึม
“เป็นอู๋คูนั่นเอง!”
พ่อมดศักดิ์สิทธิ์จะส่งต่อวิชาลับของเขาให้ศิษย์ที่ได้รับเลือกเท่านั้น นกตัวนี้ถูกใช้แทนดวงตาของพ่อมด
ใบหน้าของถังหลี่เปลี่ยนไป
“เผ่าพ่อมดมีวิชาเร้นลับเช่นนี้ด้วย” นั่นหมายถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขาย่อมตกอยู่ในสายตาของอู๋คูทุกอย่าง?
อู๋คูต้องรู้จักตัวตนของหวังหยูจึงใช้นกติดตามเขา? แต่ในเมื่อรู้ตัวตนของหวังหยูแล้ว เหตุใดจึงได้ให้พวกเขาออกจากเมืองอวิ๋นเฟิงล่ะ?
เมื่อเงาร่างของคนหลายสิบคนออกจากที่ซ่อนจากชายป่า เข้ามาขวางทางรถม้า ถังหลี่จึงได้รู้เหตุผลที่ว่า หากต้องการทำร้ายพวกเขาในเมืองอวิ๋นเฟิงย่อมถูกขัดขวางจากทหารและเจ้าเมืองอวิ๋นเฟิงอย่างแน่นอน อู๋คูจงใจปล่อยพวกเขาออกจากเมืองจากนั้นจึงได้ลอบโจมตี เขาต้องการลอบฆ่าหวังหยูซึ่งเป็นภัยคุกคามสถานะของเขาอย่างเงียบๆ อู๋คูได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้อยู่แล้ว!