ภาค 4 ตอนที่ 17 สงครามเป็นสิ่งน่ากลัว

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ผู้ลี้ภัยเกือบร้อยคนนอกเมืองเข้าไปในเมืองทุกคนแล้ว เหลือเพียงซากศพหลายร่างทอดกายอยู่นอกประตูเมือง

นี่คือคนที่กระทำชั่วช้าผิดกฎมายซึ่งถูกยิงสังหารเดี๋ยวนั้นเมื่อครู่

นอกจากห้าคนแรก ต่อมายังมีอีกสองคนที่ผู้ลี้ภัยซึ่งเคยถูกข่มเหงชี้ตัวยันยืนจึงถูกยิงสังหารอย่างไม่ปราณีสักนิดเช่นกัน

เด็กสาวนุ่งผ้าคนนี้เ**้ยมทีเดียว

หลี่กั๋วรุ่ยยืนดูอยู่บนกำแพงเมืองตลอดกระบวนการจากนั้นก็คลึงปลายจมูก

ยังไม่ต้องพูดถึงฝีมือการยิงศรสูงส่ง การฆ่าคนตาไม่กะพริบนี่ไม่ใช่ใครก็ตามจะทำได้

ทหารมากมายยามสังหารคนยังไม่เด็ดขาดปานนี้ สังหารโจรจินยังพอว่า สังหารคนของตนเอง….

“นี่จะเรียกคนของตนเองได้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ย “คนเหล่านี้ฉวยโอกาสยามวุ่นวายรังแกข่มเหงเพื่อนร่วมชาติผู้อ่อนแอ คุณธรรมเหลวแหลก อนาคตหากรบกับชาวจินก็คงกลับหอกย้ายฝ่าย ทำร้ายการป้องกันเมืองของพวกเรา ภัยร้ายซ่อนเร้นเช่นนี้เก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด บางครั้งความเมตตาก็คือความโหดเ**้ยม”

ถูกสาวน้อยนุ่งผ้าคนหนึ่งสั่งสอนแล้ว หลี่กั๋วรุ่นยิ้มเฝื่อนทีหนึ่ง

เพราะนอกเมืองตอนนี้ไม่มีผู้ลี้ภัยแล้ว ประตูเมืองจึงปิดสนิทลงช้าๆ แต่เชื่อว่าไม่นานก็จะมีผู้ลี้ภัยจากป้าโจวที่ได้ข่าววิ่งมา

“เพิ่มการป้องกันเมือง” หลี่กั๋วรุ่ยตะโกนกับบนกำแพงล่างกำแพง เขามองดูคุณหนูจวินทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสริมอีกประโยค “ถ้ามีผู้ลี้ภัยมา ตรวจสอบตัวตนให้เข้มงวดแล้วปล่อยพวกเขาเข้ามาได้”

นายทหารบนกำแพงล่างกำแพงขานรับพร้อมเพรียง กำลังใจฮึกเหิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อครู่ทหารกองหนุนเหล่านี้นำสุรากับเนื้อมา ให้พวกเขากินเนื้อที่ไม่ได้เห็นมานานมื้อหนึ่ง รู้สึกเพียงทั้งร่างพละกำลังเต็มเปี่ยม จิตใจฮึกเหิม

แน่นอนสุรากับเนื้อเป็นด้านหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดก็คือเฉิงกั๋วกงส่งทหารกองหนุนมาแล้ว

พวกเขาไม่ได้ยืนหยัดปกป้องลำพังไร้กองหนุน

คำสั่งเช่นนี้ไม่ใช่แค่ที่ฉางเฟิง แต่กระจายไปทั้งแนวเขตแดนเหอเจียน นอกจากป้องกันแน่นหนากวาดเสบียงนอกเมืองแล้ว ไม่อาจปฏิเสธผู้ลี้ภัยที่มาจากแดนเหนือเหล่านี้ไว้นอกประตูไม่สนใจได้

เรื่องที่เกิดขึ้นฝั่งนี้แพร่ไปถึงเมืองเหอเจียนอย่างรวดเร็วยิ่ง

เทียบกับฉางเฟิง ตัวมืองเหอเจียนสิบกว่าลี้ กำแพงเมืองสูงหนายิ่งกว่า ในจวนว่าการที่ตัวเมืองมีผู้ตรวจการท้องถิ่น มีกองกำลังป้องกันรักษาของเหอเจียน มีทหารม้าเกือบหมื่นนายที่ถอนกำลังกลับมาจากด้านหน้าปกป้องตัวเมืองที่เป็นเมืองศูนย์กลางสำคัญของมณฑลเหอเป่ยซีแห่งนี้ แม้ทหารจินมารุกราน อาศัยตัวเมืองก็เพียงพอปลอดภัยไร้อันตราย

นอกจากนี้จะเจรจาสงบศึกแล้ว หยุดสงครามแล้ว

แต่ขุนนางฝ่ายพลเรือนกับขุนนางฝ่ายทหารในจวนที่ทำการขุนนางเวลานี้ล้วนไม่ผ่อนคลาย แต่หัวคิ้วขมวดสีหน้าเคร่งขรึม

“ทำเช่นนี้ เหอเจียนจะวุ่นวายหรือไม่” ใต้เท้าเถียนผู้ตรวจการท้องถิ่นที่เป็นหัวหน้าใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

“ข้าไม่รู้สึกว่ารับผู้ลี้ภัยจะวุ่นวาย” แม่ทัพคนหนึ่งหน้าแดงเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว หากพวกเราถอยกลับมา พวกขี้ขลาดพวกนั้นคงเอาแต่ปิดประตูหดหัว พวกเราไม่อยากถอยเลยจริงๆ…”

พูดถึงตรงนี้ก็กลืนลงไป

ทว่าราชโองการทำให้คนลำบาก

เฉิงกั๋วกงกล้าขัดโองการ พวกเขาไม่กล้าจริงๆ

“กองทหารชิงซานนี่คืออะไร? ในทัพของเฉิงกั๋วกงมีกองทหารกองนี้รึ?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเอ่ยถาม

บรรดาแม่ทัพที่นั่นล้วนส่ายศีรษะ

“หรือจะเป็นกองกำลังส่วนตัว?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นสงสัยเอ่ยถามขึ้น

บรรดาแม่ทัพทั้งหลายพากันส่ายศีรษะ

“ไม่มีทาง” พวกเขาต่างเอ่ยขึ้นเป็นเสียงเดียวอย่างไม่ลังเลสักนิด “เฉิงกั๋วกงกระทั่งข้ารับใช้ในตระกูลยังไม่เลี้ยงไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองกำลังส่วนตัวแล้ว”

แม้ในราชสำนักมักมีคนโจมตีกล่าวโทษเฉิงกั๋วกงอยู่เสมอ แต่เลี้ยงกองกำลังส่วนตัวจุดนี้ไม่มีหลักฐานอย่างใดจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกแล้ว คงไม่ใช่ตัวปลอมหรอกนะ?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นสันนิษฐานเอ่ย “อย่างไรตราประทับก็เป็นสิ่งของไร้ชีวิต”

“ก็ไม่แปลกอะไรนะ เฉิงกั๋วกงใจเมตตารักประชาชน คงต้องการคุ้มครองประชาชนแน่ ไม่มีทางปล่อยให้ประชาชนถูกโจรจินเหยียบย่ำไม่สนใจ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม

ยกแผ่นดินให้ ทอดทิ้งประชาชนเป็นเรื่องขายหน้ายิ่งนักจริงๆ ผู้ตรวจการท้องถิ่นถอนหายใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อฟังคำสั่งของพวกเขาเถอะ ปกป้องประชาชน อย่างไรก็ไม่นับว่าขัดขืนราชโองการ” เขาเอ่ย

นี่ก็คือยอมรับการกระทำของกองทหารชิงซานแล้ว บรรดาแม่ทัพล้วนพยักหน้าเห็นด้วย

เดิมทีที่ถอยก็ไม่ยินดีไม่ยินยอม

“ใต้เท้า ใต้เท้า” นอกประตูมีทหารส่งสารรีบร้อนพุ่งเข้ามา ในมือชูสาส์นฉบับหนึ่ง “กองทหารป้องกันของฉางเฟิงด้านนั้นเข้าไปในเขตป้าโจวแล้ว”

ป้าโจว!

ขุนนางฝ่ายพลเรือนขุนนางฝ่ายทหารที่นั่นล้วนตกใจยกใหญ่

“ทำอะไร?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นหลุดปากตะโกน “คำสั่งใครให้พวกเขาข้ามเขต? พวกเขาต้องการทำอะไร?”

ได้ข่าวว่าทหารจินเข้าไปในเขตป้าโจวแล้ว ทหารฉางเฟิงเหล่านี้คิดจะสู้กับชาวจินหรือ?

นี่จะฝ่าฝืนราชโองการหรือเปล่า

อีกอย่างบ้าไปแล้วรึ? พวกเขามีแค่สามพันคนเองไหม? นี่จะไปตายรึ!

“ตราประทับนี่ต้องเป็นของปลอมแน่นอน” ผู้ตรวจการท้องถิ่นเอ่ย สีหน้าโกรธเกรี้ยวลังเลไม่มั่นใจ ท้ายที่สุดก็ตบโต๊ะทีหนึ่ง “กองทหารชิงซานนี่เป็นสายลับจินหรือเปล่า!”

ในโถงที่ทำการขุนนางวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง ทุกคนหน้าถอดสี

ถ้าอย่างนั้นทหารของฉางเฟิงใยไม่ใช่จบสิ้นแล้ว!

กองทหารฉางเฟิงจบสิ้น เมืองเหอเจียนก็เปิดอ้าซ่าแล้ว!

……………………………………….

บนผืนดินกว้างใหญ่เวิ้งว้างในเดือนหนึ่งวังเวงไปหมด กลางท้องนภาสีเทาขมุกขมัวแสงสว่างสายหนึ่งพลันทะลุลงมา

ใต้หญ้าแห้งในร่องน้ำคนที่ซุ่มซ่อนอยู่ฉับพลันกระโดดออกมา ก้าวเร็วรี่วิ่งไปด้านหลัง

ข้ามผ่านร่องน้ำก็มองเห็นทหารกลุ่มหนึ่งยืนขึงขังอยู่ในทุ่งกว้าง มีถึงพันคน

“ด้านหน้ามีทหารจิน” ทหารสอดแนมที่พุ่งเข้ามาเอ่ยเสียงดัง

คำพูดนี้ทำให้ทหารที่ยืนขึงขังอยู่วุ่นวายพักหนึ่ง

แต่ในขบวนแถวมีคนแถวหนึ่งขยับก็ไม่ขยับ ขี่ม้ายืนตรง

หลี่กั๋วรุ่ยรู้สึกขายหน้าอยู่บ้าง

“ก็ไม่ใช่ไม่เคยเห็นทหารจิน ก็ไม่ใช่ไม่เคยรบเสียหน่อย” เขาด่าเสียงเบา

ผนวกกับเพราะขบวนแถวด้านนั้นยังคงเคร่งครัด บรรดานายทหารที่วุ่นวายจึงสงบลงอย่างรวดเร็ว

ในเมื่อออกมาแล้วย่อมต้องพบเรื่องเช่นนี้แน่ แม้คิดไม่ถึงว่าจะพบเร็วปานนี้ก็ตาม หลี่กั๋วรุ่ยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กำลังจะพูดว่าเตรียมรบ คุณหนูจวินด้านนั้นก็เอ่ยปากก่อนแล้ว

“กี่คน?” นางเอ่ยถาม

ควันไฟเสียงเกราะส่งข่าวบอกได้ว่าพวกที่มามีเท่าไรได้ แต่เมื่อครู่มองไม่เห็นควันไฟนะและยิ่งไม่มีเสียงตีเกราะด้วย หลี่กั๋วรุ่ยมองไปยังท้องฟ้าอีกครั้ง สีเทาขมุกขมัวว่างเปล่าทั้งผืน

พวกนางส่งข่าวกันอย่างไร?

“ราวหนึ่งพันห้าร้อยคน” ทหารสอดแนมเอ่ย

คำพูดนี้ออกจากปาก หลี่กั๋วรุ่ยก็ไม่มีเวลาสนใจคิดว่าพวกเขาส่งข่าวอย่างไรแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปมาก ส่วนขบวนแถวที่เพิ่งสงบลงเมื่อครู่ก็วุ่นวายอีกครั้ง

พวกเขามีแค่ไม่ถึงเก้าร้อยคน รบกับทหารจินหนึ่งพันห้าร้อยกว่าคน ทั้งยังไม่มีป้อมปราการให้อาศัย นี่เอาไข่มากระแทกหินโดยแท้

“รีบหนี รีบหนี” หลี่กั๋วรุ่ยร้อง

“ไม่อนุญาตให้หนี” คุณหนูจวินก็ตะโกนเช่นกัน “เตรียมพร้อมรบ”

เสียงเด็กสาวไม่ดังเท่าหลี่กั๋วรุ่ย แต่นาทีต่อมาก็มีบุรุษสองคนก้าวออกมา สะบัดโบกธงในมือ

“ตั้งกระบวนทัพ!” พวกเขาตะโกน

ตั้งกระบวนทัพ หลี่กั๋วรุ่ยไม่ใช่ไม่คุ้น หลังจากตัดสินใจนำทหารมาในเขตป้าโจว คุณหนูจวินคนนี้ก็ให้คนของกองทหารชิงซานอบรมทหารสามพันนายของกองทหารฉางเฟิงสั้นๆ หลายรอบ หลักๆ คือการตั้งกระบวนทัพ การเข้าใจสัญญาณธงของพวกเขา ทำตามความต้องการของพวกเขา

“พวกเราเชิญพวกเจ้ามาช่วยงาน ดังนั้นพวกเจ้าต้องเชื่อฟังพวกเรา” สองคนที่ชื่อหยางจิ่งกับเซี่ยหย่งนั่นเอ่ยเช่นนี้

พูดจาวางโตหน้าไม่อายจริงๆ พวกเขามีไม่ถึงสี่สิบคน ในนั้นยังมีผู้หญิง ถึงกับบอกว่ากำลังพลสามพันของฉางเฟิงมาช่วยงานพวกเขา

ใครช่วยงานใครหึ

แม้บ่นในใจ แต่เพราะตราประทับของเฉิงกั๋วกง หลี่กั๋วรุ่ยจึงไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่คิดวุ่นวายอยู่รูปกระบวนทัพก็ตั้งเสร็จแล้ว รถสัมภาระที่เดิมทีอยู่ท้ายขบวนถูกขับมาด้านหน้าสุด

พูดถึงรถสัมภาระ หลี่กั๋วรุ่ยก็ก่นด่าในใจ บุกลึกเข้ามาในสถานที่อันตรายเช่นนี้แน่นอนต้องม้าเร็วว่องไวคล่องตัว กองทหารชิงซานเหล่านี้ยังต้องเอารถสามคันมาด้วย

ที่บรรทุกอยู่บนรถนี้ก็แค่หม้อไหจานชาม ตั้งหม้อทำอาหารได้ตลอดเวลา หลี่กั๋วรุ่ยได้ลิ้มรสอาหารที่ทั้งทำได้รวดเร็วและอร่อยจากรถแบบนี้มาแล้ว พร้อมกันนั้นผู้ลี้ภัยที่ได้พบระหว่างทางที่มาก็เพราะข้าวต้มร้อนชามหนึ่งต่อชีวิตมุ่งไปข้างหน้าได้

รู้ว่าพวกเขาทำเพื่อช่วยผู้ลี้ภัย แต่ช่วยเหลือก็ไม่อาจเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กน้อยได้ ไม่ควรพารถเข้ามาในเขตป้าโจวถ่วงความเร็วการเคลื่อนที่ให้ช้าลงด้วย

ดูท่าวันนี้คงจะจบสิ้นอยู่ที่นี่แล้ว หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้านิ่งเฉยอยู่บ้าง หวาดกลัวจนไม่กลัวแล้ว ตายเช่นนี้ตรงกันข้ามกลับโล่งใจ

ฝุ่นควันคละคลุ้งขึ้นมาในสายตาพร้อมกับกีบเท้าม้าเหยียบย่ำผืนดินและเสียงร้องประหลาดดังวุ่นวาย ในเวลาเดียวกันยังมีเสียงตะโกนร่ำไห้ของชาวบ้านด้วย

ใกล้เข้ามาทุกที กั้นขวางด้วยร่องน้ำก็มองเห็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งรี่อยู่บนทุ่งรกร้างได้ชัดเจน ส่วนด้านหลังพวกเขาคือทหารจินยั้วเยี้ยเป็นแถบกลุ่มหนึ่ง

ทหารจินสิบกว่านายวิ่งออกมาจากกองพลที่เคลื่อนที่ ชูแส้ม้าหวดใส่ประชาชนเหล่านี้พร้อมส่งเสียงหัวเราะประหลาด

นี่ย่อมไม่ใช่พวกเขาสังหารประชาชนเหล่านี้ไม่ได้ พวกเขาแค่กำลังเล่นสนุกอยู่เท่านั้น

ประชาชนทั้งหลายแม้สิ้นหวัง แต่นอกจากวิ่งเร็วรี่ไปข้างหน้าก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก

ประชาชนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้เฒ่าคนเจ็บเด็กสตรี พวกเขาวิ่งจนรองเท้าหลุด บนตัวบนหน้าถูกหวดตีจนรอยเลือดเป็นลายพร้อย ขากะเผลก ฉับพลันก็มีสตรีคนหนึ่งล้มคว่ำกับพื้น

ด้านหลังมีทหารจินควบม้าออกมาทันที เขาหัวเราะลั่นย่ำไปที่ศีรษะของผู้หญิงคนนั้น

ภาพตรงหน้ากำลังจะโหดร้ายจนไม่อาจทนมองกลับได้ยินเสียงฟิ้วทีหนึ่ง ทหารจินที่ควบม้าโผออกมาคนนั้นร้องเสียงประหลาดทีหนึ่งฉับพลันร่วงหล่นจากบนหลังม้า กีบเท้าม้าที่ร่วงลงมาเหยียบลงบนศีรษะของเขาพอดี

กีบเท้าม้าเหยียบศีรษะแหลก รอยเลือดสาดเป็นแถบ ทหารจินรอบด้านส่งเสียงร้องตกใจนิ่งอึ้งไปแล้ว ตอนนี้ถึงมองเห็นกระบวนทัพสี่เหลี่ยมที่ยืนนิ่งสงบอยู่เบื้องหน้า

ด้านหน้าสุดของกระบวนทัพสี่เหลี่ยมคือนายทหารที่ผอมบางคล้ายเด็กสาวเห็นใบหน้าไม่ชัดคนหนึ่งยืนเดียวดายอยู่เบื้องหน้า ยกคันศรเล็งมาด้านนี้

เห็นใบหน้าไม่ชัดแต่เห็นชุดเกราะเสื้อผ้าชัดเจน ทหารโจว

ระยะทางไกลปานนี้ยังเล็งลำคอจุดเดียวที่ไม่มีสิ่งปิดบังของทหารจินได้อย่างแม่นยำ นายทหารคนนี้ฝีมือธนูดีจริงๆ

แต่ทหารจินย่อมไม่เอ่ยชมฝีมือธนูนี่ว่าดี พวกเขาหยุด สีหน้าโกรธเกรี้ยวแต่ก็ประหลาดใจ

ทหารโจวของป้าโจวไม่ใช่ล้วนถอนกำลังไปแล้วหรือ?

ส่วนประชาชนทั้งหลายประหนึ่งมองเห็นแสงแรก ตะโกนร่ำไห้ดีใจพุ่งมาด้านนี้

“แบ่งซ้ายขวา ไปด้านหลัง” ในขบวนแถวของเหล่าทหารโจวด้านนี้เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบ

เสียงขึงขังข่มขวัญทำให้ประชาชนทั้งหลายที่สติกระเจิดกระเจิงไม่ทันรู้ตัวโซเซแยกซ้ายขวาวิ่งไปด้านหลังทหารโจวกลุ่มนี้ตามคำบอก

พวกทหารจินก็ไม่ได้ไล่ตามมา ทหารจินที่นำหน้าสิบกว่าคนควบม้าวนหลายรอบ ส่งเสียงด่าโกรธเกรี้ยวหลายคำใส่ทหารโจวด้านนี้แล้ววิ่งกลับไปในขบวนแถว

บรรยากาศบนทุ่งกว้างกลายเป็นชะงักนิ่ง ทำให้คนหายใจไม่ออก

ทหารจินก็เริ่มตั้งขบวน นอกจากนี้เคลื่อนมาข้างหน้าด้วย

หลี่กั๋วรุ่ยหอบหายใจถี่กระชั้น กำดาบยาวในมือแน่น

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารบบนทุ่งเปิดโล่งกับทหารจินมากปานนี้ บอกว่าไม่กลัวย่อมเป็นการโกหก ทว่าเมื่อปลายหางตาเขามองเห็นเด็กสาวสองคนในกระบวนทัพรวมถึงผู้หญิงหลังรถสัมภาระด้านหน้าของกระบวนทัพก็รู้สึกน่าขันอยู่บ้าง

รถสัมภาระถูกหันกลับหลัง ผู้หญิงหลายคนกึ่งนั่งยองอยู่ด้านหลังรถ มือกดแผ่นไม้แผ่นหนึ่งไว้แน่น ก็มองไม่ชัดว่าเป็นของอะไร

ผู้หญิงเหล่านั้นไม่มีสีหน้าหวาดกลัว เด็กสาวสองคนในกระบวนทัพยิ่งสีหน้านิ่งสงบ

ที่แท้พวกนางรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดเรียกสงคราม? รู้หรือไม่ว่าทำสงครามอย่างไร?

ทหารจินยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เวลานี้พลธนูควรโจมตีระลอกแรกได้แล้ว

ทหารจินด้านนั้นยกคันศรขึ้นแล้ว แต่ด้านนี้ยังไม่เคลื่อนไหวสักนิด

สามร้อยก้าว สองร้อยก้าว หนึ่งร้อยก้าวแล้ว….

เป็นเช่นนี้ต่อไป รอเอาคันศรออกมาก็สายไปแล้ว คงถูกคนยิ่งกลายเป็นรวงผึ้ง

หลี่กั๋วรุ่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป ยกคันศรขึ้นกำลังจะตะโกนเสียงดัง

“ยิง!” มีเสียงบุรุษก้องกังวานดังขึ้นก่อนก้าวหนึ่ง

ในที่สุดก็ยิงแล้ว ยิงช้าไปหน่อยแล้ว!

คันศรยังไม่เอาขึ้นมาเลย หลี่กั๋วรุ่ยตะโกนคลุ้มคลั่งในใจ แต่นาทีต่อมาก็ยังไม่เห็นเหล่านายทหารยกคันศรขึ้นมา แต่พวกผู้หญิงหลังรถสัมภาระฉับพลันตะโกนร้องพร้อมเพรียง กดแผ่นไม้ลงไป ส่วนรถสัมภาระฉับพลันก็มีแผ่นไม้ชิ้นหนึ่งพลิกหมุนกะทันหัน ด้านบนมีบางสิ่งบินออกไปด้านหน้า

ก้อนหิน? รถสัมภาระคันนี้ที่แท้ก็คือเครื่องยิงหินหรือ?

แต่เวลานี้ก็ไม่ใช่รบที่กำแพงเมือง บนที่ราบเขวี้ยงก้อนหินมีประโยชน์อะไร!

เขวี้ยงอีกฝ่ายให้หัวแตกเลือดไหลยังได้ผลไม่สู้ธนู

หลี่กั๋วรุ่ยกำลังจะตะโกนคำหนึ่ง แต่นาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงบึ้มบึ้มหลายครั้งในหู แผ่นดินสะเทือนวูบหหนึ่ง เบื้องหน้าแสงไฟ ควันขโมงลอยขึ้นมาพักหนึ่ง

ทหารจินที่บีบเข้ามาใกล้เหล่านั้นส่งเสียงกรีดร้องล้มกลิ้งอยู่กับพื้น

“ยิง!”

พวกผู้หญิงสิบคนออกแรงกดแผ่นไม้ด้านหลังรถสัมภาระอีกครั้ง ก็มีก้อนหินสีดำปิดปี๋หลายลูกบินออกไปอีกหน

เสียงบึ้มดังหลายครั้ง ทหารจินพริบตาก็ล้มลงเป็นแถบอีกหน เสียงโอดโอยเสียงกรีดร้อง ควันทึบแสบจมูก แสงไฟลุกวาบขนาบด้วยเลือดเนื้อปลิวกระจายรอบด้าน

ขบวนแถวของทหารจินที่เดิมทีเป็นระเบียบเคร่งครัดตกสู่ความโกลาหลไปแถบหนึ่ง บนพื้นศพหลายสิบร่างนอนอยู่ ยิ่งมีหลายสิบคนพลิกกลิ้งกรีดร้อง

นี่แค่ยิงสองครั้งก็กำจัดได้ร้อยคนแล้ว

หลี่กั๋วรุ่ยหูแทบดับ นิ่งประหนึ่งไก่ไม้

น่ากลัว

นี่ที่แท้คือสิ่งใดกัน?

กระสุนหินระเบิดได้อย่างไร?