ภาค 4 ตอนที่ 18 นี่ทำสงครามประสาอะไรกัน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

พร้อมกับเสียงหวีดหวิว ก้อนหินสามก้อนวาดเป็นเส้นสมบูรณ์แบบร่วงลงตรงหน้ากระบวนทัพทหาร

เสียงบึ้มดังขึ้นสามหน

ในกระบวนทัพคนหงายม้าล้ม เสียงกรีดร้อง เสียงร้องโอดโอยทำให้กองหน้าที่พุ่งเข้ามาสังหารเบื้องหน้าล้มลงเป็นแถบ ส่วนในกระบวนทัพด้านหลังก็ไม่อาจโชคดีหลบเลี่ยง ในด้านกำลังใจ ในด้านจิตใจรวมถึงถูกม้าศึกวิ่งวุ่นวายรูปกระบวนทัพปั่นป่วน

หลังสามครั้งกระบวนทัพของทหารจินที่เดิมทีเป็นระเบียบน่าเกรงขามก็กลายเป็นโกลาหลไปหมด

นี่ที่แท้คือสิ่งใด?

ยังไม่ต้องพูดถึงความตื่นตะลึงของอีกฝ่าย พวกหลี่กั๋วรุ่ยก็มองอึ้งไปแล้ว ในหูเสียงดังวิ้งวิ้งวิ้งไม่หาย ในสมองก็สับสนไปหมด

แต่นี่ยังไม่จบ เห็นเพียงธงสะบัดไหวพรึบพรับ พวกผู้หญิงหมุนรถสัมภาระกลับมา หลังการเคลื่อนไหวพักหนึ่งชวนตาลายสับสน รถสัมภาระก็เปลี่ยนสภาพอีกหน ผู้หญิงสิบคนช่วยกันหมุนกว้านอันหนึ่ง เสียงกึกๆ ดังขึ้น แท่งยาวแท่งแล้วแท่งเล่าคล้ายหอกยาวที่เดิมทีวางอยู่ใต้รถยกเอียงขึ้นมา

นี่คือ…

หลี่กั๋วรุ่ยรู้สึกเพียงลำคอแห้งผาก

ความคิดเพิงเริ่มก็ได้ยินเสียงยิงอีกครั้ง เสียงหวีดหวิวฟิ้วๆ หอกยาวบนรถสัมภาระก็พุ่งไปทางกระบวนทัพของโจรจิน

หอกยาวเล่มหนึ่งพริบตาพุ่งทะลุทหารจินที่ชูดาบยาววิ่งมาคนหนึ่ง

ไม่ ยังไม่หยุด ไม่ใช่คนเดียว สองคน สามคน…

หลี่กั๋วรุ่ยกลืนน้ำลาย

หอกยาวเล่มหนึ่งทหารหนึ่งพวง หนึ่งพวง

หอกยาวประหนึ่งสายฝน กลบกระบวนทัพของทหารจินไว้ท่ามกลางสายลมคลั่งฝนกระหน่ำ

ที่แท้สงครามนี่ก็สู้เช่นนี้ได้รึ

นี่ยังสู้อะไรเล่า นี่ฆ่าล้างบางชัดๆ

……………………………………….

กองกำลังป้องกันบนกำแพงเมืองฉางเฟิงเคร่งเครียดกว่าวันวานมาก ประการแรกฟ้าเริ่มมึดแล้วคนด้านนอกยังไม่กลับมา ประการที่สองบรรดาใต้เท้าชุดขุนนางเต็มยศกลุ่มหนึ่งกำลังโกรธเทียมฟ้า

“ออกไปกี่วันแล้ว?” พวกเขาตะโกนโกรธเกรี้ยว “หนึ่งพันคนถึงกับกล้าบุกเข้าไปในเขตป้าโจว พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าป้าโจววันนี้มีทหารจินเท่าไร?”

ซุนซานเจี๋ยยื่นฝ่ามือหนึ่งออกมา

“เกือบห้าพันขอรับ” เขาเอ่ย

“เจ้ายังมีหน้าพูด” ผู้ตรวจการท้องถิ่นไม่สนมารยาทอีกต่อไป พ่นวาจาใส่หน้า

ซุนซานเจี๋ยรีบร้องข้าไม่ผิดนะขอรับ

“เดิมทีข้าบอกว่าให้พาไปสองพันคน แต่คุณหนูจวินคนนั้นบอกว่าหนึ่งพันคนก็พอแล้ว สองพันคนมากเกินไปถ่วงการเดินทาง นอกจากนี้บอกว่าปกป้องเมืองคนควรมากสักหน่อย หากทหารจินลอบจู่โจมมาจะได้อาศัยคนมากคว้าชัย” เขาเอ่ย

คำพูดนี้ฟังไปแล้วประหลาดอยู่บ้าง คล้ายจะบอกว่าพวกเขาสองพันคนนี้ยังสู้หนึ่งพันคนไม่ได้

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถกเถียงเรื่องนี้ ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นสบถ

“ใครถามเจ้าเรื่องนี้!” เขาตวาดเอ่ย “ข้าบอกว่าเจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่ หนึ่งพันคนก็กล้าวิ่งไปที่ๆ ชาวจินอยู่”

ซุนซานเจี๋ยสีหน้าจริงจัง

“ใต้เท้า คำสั่งของเฉิงกั๋วกง อันตรายไม่หวั่น เห็นความตายประหนึ่งที่พำนัก” เขาเอ่ย

พวกเขาไม่รู้ว่าอันตรายรึ? แต่อันตรายแล้วอย่างไร? ตัวเป็นแม่ทัพย่อมต้องฟังคำสั่งมุ่งไปข้างหน้า

นี่คือความเชื่อที่สิบปีมานี้ฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเขา

ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นพูดไม่ออกอีกครั้ง เพลิงโทสะก็ล้นปรี่

“พวกเจ้าเคยคิดบ้างไหมหากนี่ไม่ใช่คำสั่งของเฉิงกั๋วกงเล่า?” เขาตวาดเสียงเข้ม

ซุนซานเจี๋ยตะลึงไปวูบหนึ่ง

“กองทหารชิงซานอะไรนี่พวกเจ้าเคยได้ยินรึ?” ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นตวาดอีกครั้ง

ซุนซานเจี๋ยส่ายศีรษะ

“ไม่เคยได้ยินมาก่อนขอรับว่ามีกองทหารกองหนึ่งเช่นนี้ แล้วก็ไม่เคยได้ยินว่าในกองทัพของเฉิงกั๋วกงมีคนเหล่านี้ด้วย”

ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “หากคนเหล่านี้เป็นสายลับของชาวจินเล่า? หากครั้งนี้ไปแล้วไม่กลับมา หนึ่งพันคนของพวกเราก็เข้าปากสุนัขป่าแล้ว”

ซุนซานเจี๋ยส่ายศีรษะอีกครั้ง

“คงไม่หรอกขอรับ” เขาสีหน้าลังเลรีรอเอ่ยขึ้น “กองทหารชิงซานนั่นยังเหลือคนไว้ที่นี่นะขอรับ”

เหลือคนไว้? เหลือใครไว้?

“เป็นสตรีผู้หนึ่ง” ซุนซานเจี๋ยเอ่ย “เหมือนจะเป็น…แม่ของคุณหนูจวินคนนั้น?”

คุณหนูจวิน หลังผู้ตรวจการท้องถิ่นมาที่นี่ได้ยินหลายครั้งจนคุ้นเคยยิ่งนักแล้ว

คุณหนูจวินคนนี้ยังมีมารดาด้วย?

ผู้หญิงคนหนึ่งพาคนมาทำสงครามก็น่าขำพอแล้ว ยังพามารดามาด้วย?

เหลวไหลไร้สาระอะไรกัน

นี่ทำสงครามประสาอะไรกัน!

“อยู่ที่ไหน?” ผู้ตรวจการท้องถิ่นตวาดอย่างไม่สบอารมณ์

ซุนซานเจี๋ยรีบชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง

“อยู่ที่วัดเฉิงหวงด้านนั้นแจกข้าวต้มให้ผู้ลี้ภัยอยู่ขอรับ” เขาเอ่ย

……………………………………….

ตั้งแต่เริ่มเปิดประตูเมืองรับผู้ลี้ภัย ด้านในเมืองฉางเฟิงก็ชุมนุมคนไว้เกือบสี่ห้าร้อยคน

ทุกวันล้วนมีคนเดินทางไปสถานที่ใต้ลงไปจากเมืองเหอเจียน แต่ในเวลาเดียวกันก็มีผู้ลี้ภัยใหม่ๆ หนีมา

หม้อใหญ่สิบกว่าใบวางอยู่หน้าวัดเฉิงหวง ท่ามกลางฤดูหนาวควันร้อนลอยฉุยทำให้คนมองทั้งร่างอบอุ่น

เวลานี้เป็นเวลาทานอาหารพอดี ผู้ลี้ภัยทั้งหลายเรียงแถวเดินหน้าไปตามลำดับ แม้คนมากมายแต่เงียบสงบและเป็นระเบียบ

ขุนนางกลุ่มหนึ่งเช่นผู้ตรวจการท้องถิ่นเป็นต้นที่เร่งรีบเดินทางมาเห็นสถานการณ์นี้เข้าก็อดชะงักเท้าไม่ได้

ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เคยเห็นการแจกข้าวต้ม เคยเห็นผู้ลี้ภัยมามาก แต่สถานการณ์นั้นล้วนวุ่นวาย

ตอนนี้ตรงนี้ผู้ลี้ภัยเงียบสงบไม่โวยวายร้องไห้ กระทั่งกระต๊อบที่อาศัยก็สร้างขึ้นเป็นระเบียบเรียบร้อย ยิ่งไม่มีกลิ่นเหม็นสกปรกเละเทะของอุจจาระปัสสาวะตามที่ต่างๆ

แล้วก็…

ผู้ตรวจการท้องถิ่นชี้คนที่แจกข้าวต้มอยู่หน้าหม้อใบใหญ่

“พวกนี้เหมือนจะเป็นผู้ลี้ภัย?” เขาเอ่ยถาม

ซุนซานเจี๋ยรีบพยักหน้า

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ คุณหนูจวินบอกว่าทหารทั้งหลายต้องปกป้องเมือง เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็ให้พวกผู้ลี้ภัยจัดการกันเองก็พอแล้ว” เขาเอ่ย “พวกนี้ตั้งแต่ต้มข้าวต้มจนถึงแจกข้ามต้มไปจนถึงเก็บล้างชามตะเกียบล้วนเป็นพวกผู้ลี้ภัยทำเอง”

พวกผู้ลี้ภัยทำเอง?

พวกผู้ลี้ภัยจิตใจเป็นอย่างไร พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ในวงการขุนนางมองกระจ่างนานแล้ว คนในยามยากไม่มีระเบียบสักนิด

“มีกองทหารชิงซานอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนเชื่อฟังอย่างยิ่ง” ซุนซานเจี๋ยยิ้มเอ่ยพลางชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง

กองทหารชิงซานไม่ใช่ล้วนไปป้าโจวแล้วรึ? อีกอย่างนี่มีทหารที่ไหน? พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นขมวดคิ้วมองไปตามที่ชี้

หน้าวัดเฉิงหวงธงใหญ่ผืนหนึ่งรับลมโบกสะบัดพรึบพรับ ธงแดงอักษรทอง กองทหารชิงซาน

“มีธงนี่อยู่ ทุกคนล้วนรักษาระเบียบยิ่งนัก” ซุนซานเจี๋ยยิ้มเอ่ย

ธง?

ธงผืนหนึ่งก็รักษาระเบียบของผู้ลี้ภัยได้? ก่อนหน้านี้มีนายทหารหลายร้อยยังขวางผู้ลี้ภัยวุ่นวายแย่งไม่ได้เลย

นี่ทำได้อย่างไร?

“เพราะกองทหารชิงซานพิถีพิถันกับระเบียบยิ่งนัก” ซุนซานเจี๋ยปลงอยู่บ้างเอ่ยขึ้น “นอกจากนี้ยังพูดคำไหนคำนั้น”

นอกจากตอนแรกนอกประตูเมืองที่สังหารผู้ลี้ภัยที่เลวร้ายพวกนั้นตาย ต่อมาตอนแจกข้าวต้มก็สังหารผู้ลี้ภัยที่ก่อความวุ่นวายไม่กี่คนทันทีอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน

คนที่ไม่รักษาระเบียบบอกฆ่าก็ฆ่า เป็นการข่มขวัญแล้วก็เป็นการพิสูจน์ ขอแค่ทำตามระเบียบก็จะได้รับการปกป้องไม่ต้องกังวล

ทหารที่ไหนโหดเ**้ยมปานนี้? ต้องเป็นตัวปลอมแน่

พวกผู้ตรวจการท้องถิ่นคิ้วขมวดแน่น

“มารดาของคุณหนูจวินคนนั้นเล่า?” เขาเอ่ยถาม

ซุนซานเจี๋ยชี้ไปในวัด

“นายหญิงคนนั้นพักผ่อนอยู่ในวัดขอรับ” เขาเอ่ย

ใต้เท้าผู้ตรวจท้องถิ่นสีหน้าเคร่งขรึมพาคนก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในวัด

ไม่ว่ามันแสร้งเป็นเทพหรือทำเป็นผีก็จับมาสอบสวนก่อน

ด้านในวัดเฉิงหวงคนก็ไม่น้อย บ้างนั่งบ้างยืนล้วนเป็นผู้เฒ่าคนเจ็บเด็กสตรี เพราะที่นี่กันลมกันหิมะได้ดีกว่ากระต๊อบ ดังนั้นถึงให้คนเหล่านี้พักผ่อนอยู่ที่นี่รึ?

เมื่อเดินเข้าใกล้ ในวัดยังมีไอร้อนโถมมาอีก เห็นชัดยิ่งว่าด้านในจุดถ่านไฟไว้

ฟุ่มเฟือยพอตัวเชียวนะ ถ่านไฟถาดหนึ่งแลกข้าวสารได้เท่าไรล่ะ

ความลำบากเท่านี้ก็ทนไม่ได้ จะเป็นทหารได้อย่างไร

ความโกรธของใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นยิ่งลุกโหม หนึ่งก้าวก้าวเข้าไปในวัด เมื่อด้านนี้คนกลุ่มหนึ่งมาถึงพรึบพรับ คนในวัดก็ล้วนมองมา เห็นทุกคนล้วนสวมชุดขุนนาง ทุกคนก็เรียบลุกขึ้นกระวนกระวาย

ท่ามกลางความวุ่นวายนี้มีสตรีผู้หนึ่งนั่งทานข้าวต้มอยู่เงียบๆ เบื้องหน้าพระพุทธรูปย่อมแลดูสะดุดตายิ่งนัก

นางสวมเสื้อลาย พันผ้าโพกศีรษะไว้เพื่อรักษาความอบอุ่น ดูแล้วประหนึ่งหญิงชาวบ้านคนหนึ่ง

ตอนแรกซุนซานเจี๋ยก็คิดว่าสตรีคนนี้เป็นผู้ลี้ภัยที่กองทหารชิงซานนี่ช่วยมาตามทาง แต่บุคลิกไม่ธรรมดาทั้งยังได้รับความเคารพจากคุณหนูจวินอย่างยิ่ง ถึงแม้เงียบเชียบไม่เคยออกมาเบื้องหน้าผู้คนก็ตาม

ดังนั้นซุนซานเจี๋ยจึงคาดเดาว่านี่คือญาติผู้ใหญ่ของคุณหนูจวินคนนั้น

ผู้หญิงยังติดตามมาทำสงครามได้ พามารดามาด้วยก็ไม่แปลกอะไรแล้ว

นางคล้ายไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเอะอะด้านนี้ ยังคงทานข้าวต้มเงียบๆ

ซุนซานเจี๋ยชิงก้าวไปข้างหน้า

“นายหญิง นี่คือใต้เท้าเถียนผู้ตรวจการท้องถิ่นประจำเมืองเหอเจียน” เขาเอ่ยพลางกดเสียงเบา “ตั้งใจมาเพราะกองทหารชิงซาน”

วาจาเอ่ยเตือนเช่นนี้ สตรีคนนี้ควรจะรู้ว่าจะเผชิญหน้ากับพวกใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นอย่างไรแล้วกระมัง?

อย่างน้อยก็คงรู้จักคำนับกระมัง?

สิ้นเสียงคำของเขา ก็เห็นสตรีตรงหน้าวางช้อนลง ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากแล้วหันหน้ามา

“เถียนเหยารึ?” นางเอ่ย สายตามองไปทางพวกผู้ตรวจการท้องถิ่นที่ยืนอยู่ตรงประตูแล้วพยักหน้า “เจ้ามาแล้ว”

อั้ยย่ะ สตรีผู้นี้ ทำไมไม่ลุกขึ้นคำนับกลับเอ่ยนามของใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นตรงๆ!

ซุนซานเจี๋ยตกใจสะดุ้งโหยง แต่จากนั้นก็ตะลึง

สตรีผู้นี้ทำไมทราบนามของใต้เท้าเถียนได้?

ความคิดแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ทีหนึ่ง เขามองไปก็เห็นใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นที่เมื่อครู่ยังท่าท่างขึงขังใบหน้าโกรธเกรี้ยวกลับสีหน้าตะลึงงัน คนก็ก้มลงไปด้วย ถึงกับคำนับคารวะ

“ท่านหญิงเฉิงกั๋ว!” ใต้เท้าผู้ตรวจการท้องถิ่นเสียงสั่นระริกเอ่ยเรียก คารวะทีหนึ่งก็เงยศีรษะขึ้นมา “ท่านมาได้อย่างไร?”