แม่น้ำจิ้งฮวา

ชายฝั่งอู๋จื่อ

วันเชิญ

คนในรายชื่อที่ได้รับเชิญ ไม่ว่าในใจจะหอบความคิดชนิดใดไว้ ทั้งหมดมาถึงในเวลาที่กำหนด และที่พูดจาข่มขู่ หานแสเจ้าของเรือแห่งความสิ้นหวังที่จะไม่ลากศพคนจากนอกแผ่นดินมาที่นี่เด็ดขาด วันนี้กลับมาเร็วเป็นพิเศษ

หานแสยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือ

ข้างกายคือหลานเยาเยาที่สวมเสื้อผ้าสีอ่อนทั้งตัว นางมัดผมที่ดำสนิทครึ่งหนึ่ง เครื่องประดับบนศีรษะสวยงามเรียบง่าย และไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่เมื่อมองไป เหมือนกับชายหนุ่มที่สง่างามดั่งหยก

เหมือนกับว่าทั้งสองจะพูดคุยถูกคอกันเป็นอย่างมาก

ขณะที่เรือแห่งความสิ้นหวังหยุดเทียบท่า หานแสมองไปยังเงาคนฝูงชนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างของแม่น้ำนั่นด้วยความยั่วยุ

นั่นคืออ๋องเย่ที่นำเหล่าองครักษ์ลับกลุ่มหนึ่ง รวมทั้งฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งประเทศก่วงส้าเย่หลีเฉินที่รีบมาจากสถานที่ไกลเป็นพันลี้ พวกเขาล้วนเห็นสายตาที่ยั่วยุของหานแส

เย่หลีเฉิน: “เขาโง่จริงๆหรือว่าแกล้งโง่?”

อุบายสาวงามเห็นได้ชัดเจนมาก

ไม่ต้องแสดงความสามารถเต้นระบำ ไม่ต้องทำการยั่วยวนใดๆ เพียงแค่หลานเยาเยาอยู่บนเรือ ก็ยังแล่นเรือแห่งความสิ้นหวังมาถึงที่นี่อย่างว่านอนสอนง่ายแล้ว

ท่านชายหยิ่งผู้สูงส่งที่ผีเข้าผีออกก็ยังหลบเลี่ยงด่านของสาวงามได้ยากนะ!

บางทีเป็นฮ่องเต้นานๆแล้ว เย่หลีเฉินก็ปลงตกเป็นอย่างมากแล้ว

และเย่แจ๋หยิ่งเหลือบมองเงาคนทั้งสองบนเรือแวบหนึ่ง เปล่งเสียงไม่พอใจเสียงหนึ่งในที่สุด สะสมความหึงหวงไว้เต็มท้อง แต่ปากกลับกล่าวอย่างเบาๆสบายๆว่า:

“ไม่โง่จะสามารถชื่อหานแสได้หรือ?”

ความหมายก็คือ ชื่อหานแสก็คือโง่

ฮ่องเต้องค์ใหม่เย่หลีเฉินมองเสด็จอาของตัวเองแวบหนึ่ง ปิดปากลงเงียบๆ

เขากลัวนี่!

ก็กลัวกว่าเสด็จอาจะมีน้ำโหแต่ไม่มีที่ระบาย จะระบายบนตัวของตัวเอง

อย่างไรเสียเวลานี้บนตัวของเสด็จอากำลังมีพลังเย็นยะเยือกที่ไร้รูปร่างกระจายออกมา ทำให้เขาขนลุกทั้งตัวแล้ว หากว่าประโยคไหนพูดไม่ดี เขาเกรงว่าจะประสบกับหายนะทำลายล้าง

อันที่จริงทั้งสองคนล้วนเข้าใจ

หานแสไม่โง่ ทั้งยังฉลาดเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียเรื่องคนจากนอกแผ่นดินไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ทั้งนี้พวกเขายังรู้สึกได้เป็นรางๆว่า ความคงอยู่ของเรือแห่งความสิ้นหวัง มีความเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกับคนจากนอกแผ่นดิน

บนเรือแห่งความสิ้นหวัง หลานเยาเยาเห็นเย่แจ๋หยิ่งแล้ว แววตาเปล่งประกายทันที หลังจากพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับหานแสไม่กี่ประโยค ก็อดทนรอไม่ได้ที่จะลงจากเรือ มากอดกับเย่แจ๋หยิ่งแน่นๆอย่างหนำใจ

เย่หลีเฉินเหลือบมองแวบหนึ่ง สายตาอยู่บนหน้าของหลานเยาเยาครุ่นคิดถึงอดีตครู่หนึ่ง หมุนตัวไปด้านข้างอย่างเงียบๆแล้ว

และหานแสบนเรือก็เพ่งมองทั้งสองกอดกัน บนใบหน้าเหมือนดั่งปกติ เหมือนกำลังดูละคร แต่มือที่จับอยู่บนราว จับจนราวแทบจะแตกแล้ว สุดท้ายมือสองข้างคลายออกทันที สะบัดแขนเสื้อเข้าไปในห้องโดยสารของเรือแล้ว

ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง

ฮ่องเต้ที่มาถึงเป็นคนแรกในวันนี้ เพราะนิสัยขี้ระแวง ประเทศเชียนหลิงที่เพิ่งจะเปิดศึกกับประเทศก่วงส้าไม่นาน

ไม่เพียงฮ่องเต้ประเทศเชียนหลิงมาแล้ว เขายังพาแค่เฉิงเสี้ยงมาคนหนึ่งกับนายพลผู้หนึ่ง และองครักษ์ยี่สิบกว่าคน

หลานเยาเยาเลิกคิ้ว

ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวนี้ทำให้คนชื่นชม

จากการมาถึงของแต่ละประเทศ ริมฝั่งที่โล่งกว้างเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ

แต่ทว่า!

นอกเหนือความคาดหมายคือ สหพันธรัฐบางกลุ่มที่ไม่ได้รับเชิญ กลุ่มราชวงศ์ ชนเผ่าก็ทยอยมาอย่างต่อเนื่องบ้างแล้ว พวกเขาได้ยินเรื่องราวของคนจากนอกแผ่นดิน ล้วนอยากเห็นหน้าตาที่แท้จริงของคนจากนอกแผ่นดิน

อย่างไรเสีย!

นี่ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของแผ่นดินใหญ่ผืนนี้

ศพของคนจากนอกแผ่นดินสองศพได้ย้ายลงจากเรือแห่งความสิ้นหวังล่วงหน้าแล้ว วางไว้บนริมฝั่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด ใช้ผ้าสีดำผืนใหญ่มากๆคลุมไว้ กลุ่มคนของแต่ละประเทศทยอยกันชะโงกหน้าดู

เมื่อเห็นผ้าสีดำเปิดออกนาทีนั้น ฮ่องเต้แต่ละประเทศล้วนตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้ว่าจะมีการเตรียมใจมาแล้ว ก็ยังถูกทำให้ตกใจแล้ว

ต่อสู้กับคนจากนอกแผ่นดินเช่นนี้

คนที่ตัวเล็กอ่อนแออย่างพวกเขาจะมีโอกาสชนะหรือ?

เวลานี้หลานเยาเยายืนอยู่บนเรือแห่งความสิ้นหวัง สายตาจ้องมองไปยังฝูงชนที่นั่งและยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ เย่แจ๋หยิ่งที่น่าเกรงขามทรงอำนาจก็ยืนอยู่ข้างศพของคนจากนอกแผ่นดิน ออกนั่งบัญชาการรักษาการณ์ให้ประเทศก่วงส้า

มีเขาอยู่ ความสามารถในการใช้วาทศิลป์อย่างชัดเจนของฮ่องเต้องค์ใหม่เย่หลีเฉิน พูดจาจนทำให้ทุกประเทศตะลึงงัน

สุดท้าย ทุกประเทศล้วนบรรลุข้อตกลง ต้องมีศัตรูคู่แค้นคนเดียวกัน ร่วมกันต่อต้านคนจากนอกแผ่นดิน

เหตุการณ์นี้

ทำให้หลานเยาเยานึกถึงยุคแรก ก่อนที่คนจากนอกแผ่นดินจะเข้ามาโจมตี เย่แจ๋หยิ่งก็เป็นเช่นนี้ จากนั้นบัญชาการผู้นำแต่ละคนป้องกันการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าของคนจากนอกแผ่นดิน

เวลานั้น!

คนบนแผ่นดินเดิมทีก็ไม่ได้มากมายนัก

สงครามใหญ่ฉากแล้วฉากเล่า จำนวนคนลดลงครึ่งหนึ่งแล้วอีกครึ่งหนึ่ง สุดท้ายภายใต้ความยากลำบาก ยังคงโจมตีทำให้คนจากนอกแผ่นดินล่าถอยไป

เพียงแต่ไม่รู้ว่าครั้งนี้ พวกเขาจะสามารถต้านทานได้สำเร็จหรือไม่

ฉับพลันนั้น!

ไม่รู้ว่าคนด้านล่างพูดอะไร

บรรดาผู้คนล้วนมองมาทางเรือแห่งความสิ้นหวัง พูดให้ถูกต้องคือมองมาทางนางที่อยู่บนเรือแห่งความสิ้นหวัง

หลานเยาเยาพยักหน้าเล็กน้อย

นางควรแสดงออกมาแล้ว

ดังนั้นเมื่อมือใหญ่โบก ส้งเย่นกุยที่อยู่ด้านหลังก็ปรากฏตัวอย่างฉับพลัน ทำมือเคารพต่อหลานเยาเยา แล้วในชั่วพริบตาบนพื้นผิวของแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล

ท่าทางที่สะอาดสะอ้านของเขา ล่องลอยอย่างเลือนราง ราวกับว่าไม่ใช่การกระทำของคนบนโลก ทำให้ผู้คนชื่นชมว่าดีที่สุดเท่าที่พบเห็นมา

แต่ทว่า!

ไม่เพียงเท่านี้ ไม่รู้เขาทำอะไรกับพื้นผิวของแม่น้ำ ต่อจากนั้นในแม่น้ำก็ปรากฏความเคลื่อนไหวผิดปกติ สิ่งของดำทะมึนทั้งผืนรวมเข้าด้วยกัน พุ่งทะลุผิวน้ำอย่างฉับพลัน เส้นแล้วเส้นเล่า กลุ่มหนึ่งต่อด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนดั่งงูเหลือมขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง โจมตีไปทางส้งเย่นกุย

ฉานสุน!

ขนาดรูปร่างไม่ใหญ่นัก เหมือนปลาคาร์ปหนักสองถึงสองกิโลครึ่ง แต่ทั้งร่างกลับมีหนาม ในหนามซ่อนพิษ และรวมเป็นกลุ่ม กินเนื้อดิบเป็นอาหาร น่ากลัวที่สุดคือ พวกมันเฉลียวฉลาดอีกทั้งการดีดกระโดดแข็งแกร่งเป็นที่สุด ยังสามารถมีชีวิตบนบกได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เป็นสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในแม่น้ำ

ก็เหมือนปลาปิรันย่าในปัจจุบัน แต่กลับทำให้คนได้ยินก็ขวัญผวายิ่งกว่าปลาปิรันย่า

ไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีไปจากฉานสุนเหล่านี้ได้

แต่สำหรับส้งเย่นกุยแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องแค่นั้น แต่เพื่อทำให้กลุ่มฮ่องเต้ที่มีความคิดแต่ละอย่างกลุ่มนั้นไม่ดูถูกความสามารถเจ้านายของตัวเอง และไม่เชื่อฟังปฏิบัติตามสิ่งที่ให้แยกย้ายไปทำ เป็นธรรมดาที่เขาจะต้องแสดงรอบหนึ่ง

ฉานสุนเหมือนดั่งงูที่ลอยขึ้นมาพันล้อมเช่นนั้น แต่กลับไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายได้สักนิด

เขาเพียงแค่ดีดนิ้วเล็กน้อย ลมปราณรอบๆตัวที่เหมือนดั่งกำลังภายในแต่ก็ไม่ใช่กำลังภายใน เหมือนดั่งแสงสว่างเช่นนั้นกระจายออก ทำให้ฉานสุนแหลกสลายเป็นชิ้นๆ จากนั้นพลิกตัวลงไปในแม่น้ำอีก ทำให้ฉานสุนฝูงใหญ่ในแม่น้ำเป็นสะเทือนเป็นเศษอย่างราบคาบ เขาเหาะออกมา ขณะที่หยุดอยู่ด้านบนพื้นผิวของแม่น้ำ กลับไม่เปียกน้ำสักหยด

เหตุการณ์เช่นนี้ อีกทั้งมหัศจรรย์ขนาดนี้

ทุกคนตะลึงงันไปแล้ว!

“เขาเป็นผู้ใด? ทำไมไม่เคยพบเห็นมาก่อน?”

“หรือว่าบุคคลผู้นี้จะกลายเป็นเทพเซียน? ต่อสู้กับฝูงฉานสุนที่ดุร้ายเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ต้องออกแรงมากมาย ทำให้คนมองด้วยความน่าทึ่งจริงๆ”

“นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นเพียงผู้ช่วยที่เก่งกาจของเทพธิดาเท่านั้น ก็ถูก เทพธิดาสามารถพอที่จะตายแล้วฟื้นชีพได้ ฝีมือวิชาการรักษาเกินธรรมดานานแล้ว แน่นอนว่าจะต้องเป็นผู้ช่วยที่เก่งกาจ”

“มีพวกเขาอยู่ด้วยได้ พวกข้าก็มีพลังที่จะต่อสู้นะ!

แสดงจบ

ส้งเย่นกุยกลับไปข้างกายของหลานเยาเยาอย่างเชื่อฟัง ยืนอย่างดีเงียบๆ

เมื่อครู่ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ทำตามความประสงค์ของอ๋องเย่ เอาเรื่องที่หลานเยาเยาเป็นเทพธิดาพูดออกมา อีกทั้งพูดให้นางแฝงด้วยสีสันความเป็นเทพนิยาย ใช้ความสามารถในการตายแล้วฟื้นนี้ของนางเป็นการมอบหมายงาน

กลายเป็นเสาหลักของพลังกายพลังใจในการต่อต้านกับคนจากนอกแผ่นดินที่น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด

นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาได้หารือกันล่วงหน้า!

มีการแสดงที่น่าตื่นใจในตอนแรกของส้งเย่นกุย ต่อจากนั้นไม่ว่าหลานเยาเยาจะแสดงออกอย่างมหัศจรรย์เพียงไร น่าเหลือเชื่อเท่าไหร่ กระทั่งแปลกเกินธรรมดาทำให้คนตกใจเพียงใด ก็ไม่เกินไปแล้ว

อย่างไรเสีย!

ในแผนการที่กำหนด การดำรงอยู่ของพวกเขาแทบจะกลายเป็นเทพเซียน

แน่นอน บรรดาฮ่องเต้ไม่ใช่คนโง่ พวกเขามีหัวสมองของตัวเอง เพียงคิดว่าประเทศก่วงส้าตั้งใจบรรยายให้เป็นจิตวิญญาณของผู้นำ

พวกเขาก็ไม่ได้เปิดโปง

เพราะว่าผู้นำก็คือผู้ที่ต้องพุ่งเข้าไปอยู่ด้านหน้าสุดในการทำสงครามกับคนจากนอกแผ่นดิน ไม่มีความสามารถไม่ได้

แต่หลังจากเห็นฝีมือที่มหัศจรรย์เช่นนั้นของส้งเย่นกุย จิตใจของบรรดาฮ่องเต้ก็หวั่นไหวแล้ว

หรือว่าบนโลกมีเซียนดำรงอยู่จริง?

อดีตราชครูเทียนเวิงที่แข็งแกร่งจนไม่มีศัตรูจะเทียบได้ ก็ไม่ได้เก่งกาจเช่นนี้ เห็นได้ว่าเทพธิดาผู้นี้เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาลึกลับมหัศจรรย์ถึงขีดสุด

หลานเยาเยายืนเอามือไขว้หลัง

เดินลงมาจากเรือแห่งความสิ้นหลังทีละก้าวๆ นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเย็นชา ภายใต้สายตาของทุกคน เดินมาช้าๆ…..