บทที่ 640 ลู่เหยามีแผนไม่มากนัก

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 640 ลู่เหยามีแผนไม่มากนัก

บทที่ 640 ลู่เหยามีแผนไม่มากนัก

“ไม่รู้ทำไมข้าต้องมีลูกที่ไม่ได้เรื่องอย่างเจ้าด้วย วัน ๆ เอาแต่คะนึงหาแต่องค์รัชทายาท ข้าเห็นแล้วนอกจากองค์รัชทายาท เจ้าไม่คิดถึงใครเลย ข้าไม่รู้จะพูดอย่างไรกับเจ้าดี”

ตู้เหิงจับจ้องลู่เหยา อยากจะตีก็ตีไม่ได้ เห็นท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงของบุตรสาวแล้ว นางก็ได้แต่ปวดรวดอยู่ในใจ แต่แล้วก็นึกถึงบุตรสาวของเหยาซูที่คอยเอาแต่ปั่นหัวองค์รัชทายาท

ส่วนบุตรสาวของตัวเองก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อองค์รัชทายาท แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังสละได้ ไม่รู้ว่าเหยาซูทำบุญด้วยสิ่งใด ถึงได้มีลูกสาวที่เชื่อฟังมากเพียงนี้

“ขออภัย ที่ลูกไม่เอาไหน ทำให้ท่านแม่ต้องเป็นกังวล”

ลู่เหยาทนเห็นสายตาของมารดาที่เอาแต่ตำหนิตนไม่ไหว สีหน้าจึงเคร่งขรึมลง

“เอาละ เจ้าพักผ่อนเถอะ ช่วงนี้เจ้าคงจะเหนื่อยมาก ถ้าองค์รัชทายาทไม่เสด็จมาหาเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องเข้าวังแล้ว บุตรสาวตระกูลลู่ไม่ใช่คนไร้วาสนา ถึงต้องเอาตัวเองไปแขวนอยู่กับองค์รัชทายาท” ตู้เหิงไม่ได้ใช้น้ำเสียงในเชิงปรึกษากับลู่เหยา

หลังจากกล่าวจบไม่นานก็รู้สึกไม่สบายตัว ราวกับกระเพาะกำลังปั่นป่วน ครั้นสาวใช้ที่อยู่ข้างกายเห็นสถานการณ์นี้ ก็รีบกระโจนหยิบกระโถน แต่นางก็แค่คลื่นไส้ไประลอกหนึ่ง

“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร?” ลู่เหยาอยากจะตอบโต้ แต่ครั้นเห็นตู้เหิงคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน ไฉนเลยจะนึกเรื่องอื่น

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าพักผ่อนเถอะ” หลังกล่าวจบ ตู้เหิงก็ออกไป

นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย ช่วงนี้นางไม่ได้อยู่กับลู่เย่ ถ้าเป็นจริงขึ้นมา บางทีอาจจะเป็นเพราะคืนนั้น

แม้ว่าจะเมาไม่ได้สติ แต่ตู้เหิงมีความประทับใจแรกไม่มากก็น้อย จึงรีบให้สาวใช้ไปตามหมอหลวงมาทันที

โชคดีที่หมอหลวงช่วยตรวจชีพจรให้นาง หลังจากตรวจเรียบร้อยก็ได้รับคำตอบที่ตรงกับที่ตู้เหิงคาดการณ์ไว้

“ยินดีด้วยฮูหยินลู่ ท่านมีเรื่องน่ายินดี” หมอหลวงก็คาดไม่ถึงเช่นกัน ตู้เหิงและลู่เย่ที่มีข่าวเล่าลือว่าไม่ลงรอยกันอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ฮูหยินลู่มีข่าวดีแล้ว คงจะหักหน้าผู้อื่นจนหมดหนทางไม่ได้แล้วกระมัง?

“ขอบใจหมอหลวงมาก ได้โปรดหมอหลวงช่วยเก็บไว้เป็นความลับก่อน ข้าจะบอกเรื่องนี้กับเขาเอง”

“ฮูหยินลู่โปรดวางใจ ข้าจะปิดปากเงียบไม่พูดแน่นอน”

“งั้นก็ดี” ตู้เหิงให้สาวใช้ไปหยิบตำลึงเงิน และส่งหมอหลวง

ตู้เหิงไม่สามารถตกตะกอนข่าวนี้ได้ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากคืนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางและลู่เย่ค่อนข้างอบอุ่นมากขึ้น แต่ข่าวนี้มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป

“ฮูหยิน ท่านมีข่าวที่น่ายินดีเพียงนี้ควรต้องบอกนายท่านนะเจ้าคะ?” สาวใช้เห็นท่าทางเช่นนั้นของตู้เหิง จึงเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง ในตระกูลลู่ ทุกคนต่างรู้ดีว่านายท่านและฮูหยินไม่ค่อยลงเอยกันดีนัก แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีต่อตระกูลลู่อย่างมาก

“เรื่องบอกข้าบอกแน่ แต่ข้าอยากบอกเหยาเหยาก่อน”

“ฮูหยินพูดถูก ถึงอย่างไรคุณหนูก็โตเพียงนี้แล้ว ถ้านางรู้ว่าฮูหยินกำลังตั้งครรภ์จะต้องดีใจแทนฮูหยินแน่นอน”

“อาจจะ” ตู้เหิงไม่ได้มองโลกในแง่ดีเช่นนี้

หากมีบุตรตอนนี้จริง ๆ ตู้เหิงยังไม่รู้เลยว่าจะบอกเรื่องนี้กับบุตรสาวแก้วตาดวงใจอย่างไร

“บัดนี้ฮูหยินตั้งครรภ์แล้ว ต้องพักผ่อนเยอะ ๆ ให้ข้าประคองฮูหยินกลับห้องดีกว่าเจ้าค่ะ”

“ไฉนต้องทะนุถนอมเพียงนั้น เจ้าต้องไปดูแลคุณหนูให้ดีแทนข้าถึงจะถูก”

“เจ้าค่ะ” หลังกล่าวจบ ตู้เหิงก็จากไป ตอนนี้นางกำลังสับสนอยู่ในใจ ใครเลยจะคิดว่าเด็กคนนี้จะโผล่ขึ้นมาในตอนนี้

“เป็นอย่างไรบ้าง ท่านแม่ได้พักผ่อนบ้างหรือไม่?” ลู่เหยาเห็นสาวใช้ของมารดาเดินเข้ามา จึงรีบเอ่ยถามขึ้น

แม้ว่านางกับลู่เหยาจะทะเลาะกันบ่อย แต่ในใจของลู่เหยาเป็นห่วงมารดาผู้นี้มาก สายเลือดย่อมข้นกว่าน้ำแน่นอน

“คุณหนูวางใจเถอะ ฮูหยินกลับไปพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ”

“งั้นก็ดี เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือไม่?” ครั้นได้ยินว่ามารดาของตนกลับไปพักผ่อนแล้ว ลู่เหยาก็วางใจ แม้ว่ามารดาจะเข้มงวดกับนางเสมอ แต่ก็ยังเป็นห่วงอีกฝ่ายด้วยใจจริง

วันนี้นางหลับไปเนิ่นนานเพราะยังตกอยู่ในอาการสลบไสล ตอนนี้นางจึงไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย ถ้ามารดาอยากอยู่กับนางจริง นั่นคือความผิดพลาดของนาง

ครั้นเห็นท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ของสาวใช้ ลู่เหยาเด็กสาวช่างสังเกต จึงเอ่ยถามออกไปทันที

“คุณหนู ข้าไม่กล้าพูด ฮูหยินบอกว่าจะมาบอกกับคุณหนูด้วยตัวเอง”

“งั้นเอาแบบนี้ เจ้าบอกข้ามาว่ามันคือข่าวดีหรือข่าวร้าย ได้หรือไม่?” ลู่เหยาไม่อยากสร้างความลำบากใจให้แก่สาวใช้ ดังนั้นเมื่อสาวใช้บอกว่านางพูดไม่ได้ ลู่เหยาจึงไม่เซ้าซี้ถามต่อ

ถึงอย่างไรที่มารดาไม่พูดนั้นหมายความว่านางมีเหตุผลของนาง ลู่เหยาจึงไม่อยากคาดเดาความคิดของมารดาอีก

“ข่าวดีเจ้าค่ะ เป็นข่าวดีต่อทั้งจวนลู่เลย”

“เช่นนี้ งั้นก็ดี ในเมื่อท่านแม่ไม่พูด นางคงมีเหตุผลของนาง เจ้าไม่ต้องทำท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าข้าหรอก ข้าไม่บังคับให้เจ้าพูดแน่นอน”

“ขอบคุณคุณหนูที่เข้าใจ” ดูเหมือนสาวใช้คนนั้นจะคาดไม่ถึงว่าลู่เหยาจะรู้จักกาลเทศะเช่นนี้ จึงรีบคุกเข่าทำความเคารพลู่เหยาเสียยกใหญ่

“เอาละ ลุกขึ้นเถอะ คุกเข่านานเดี๋ยวเจ้าก็ปวดเข่าหรอก ไม่ต้องอยู่เฝ้าข้าที่นี่แล้ว กลับไปพักผ่อนกันได้แล้วไป สาวใช้ในห้องของข้าก็มีไม่น้อย มีอะไรไว้ข้าค่อยเรียกพวกเจ้า”

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยขอตัวลา” ครั้นเห็นสาวใช้ออกไปแล้ว ลู่เหยาจึงได้ละสายตากลับมา

แม้ว่าวันนี้นางจะถูกส่งตัวกลับมาทั้ง ๆ ที่อยู่ในอาการสลบไสลไม่ได้สติ แต่หลังจากฟื้นมานานเพียงนี้ นางก็พอได้ยินข่าวคราวขององ์รัชทายาทไม่มากก็น้อย

“นางคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะทิ้งพี่หลินซือเพื่อตน ตอนนี้พี่หลินซือตกหน้าผาเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ จะทำอย่างไรดี? หวังว่าพี่หลินซือจะได้รับพรจากพระโพธิสัตว์ กระทั่งกลับมาอย่างปลอดภัย

ลู่เหยาคาดไม่ถึงจริง ๆ เรื่องวันนี้จะกลายเป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นนางคงจะรีบไปโน้มน้าวองค์รัชทายาทแล้ว ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทจะประทับอยู่ในวังเป็นอย่างไรบ้าง จะถูกองค์จักรพรรดิตำหนิบ้างหรือไม่

เรื่องอื่น ลู่เหยาพูดได้ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจองค์รัชทายาทเป็นที่สุด ย่อมเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทเป็นอย่างดี

องค์จักรพรรดิค่อนข้างเข้มงวดกับองค์รัชทายาทมาก บัดนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จะต้องไม่มีวันให้อภัยองค์รัชทายาทแน่ แต่ภายใต้สถานการณ์นี้ องค์รัชทายาทได้ส่งคนนำโสมร้อยปีมาให้ นั่นพิสูจน์ได้แล้วว่าในใจขององค์รัชทายาทยังมีความเป็นห่วงนาง

แม้ว่าตัวเองจะทัดเทียบพี่หลินซือไม่ได้ แต่ในใจขององค์รัชทายาท ตัวเองนั้นแตกต่างจากผู้อื่น เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว

ลู่เหยาไม่ค่อยร้องขอเว้าวอนมากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลที่องค์รัชทายาทชื่นชอบนาง