ลี่หุยได้ยินคำตำหนิของลี่เจี้ยนหวารู้สึกโกรธมาก ตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเขาแย่งลี่ซื่อมาได้ลี่เจี้ยนหวาคงจะดีใจมาก คิดไม่ถึงว่าหลังจากกลับมาถึงบ้าน มีแต่คำตำหนิ ไม่มีคำชมเลย
เพื่อลูกที่ดื้อรั้นสองคนนั้น แล้วมาด่าลูกชายที่กตัญญูอย่างเขา ลี่หุยรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ผมทำเกินไป?ผมบังคับพวกเขา?เมื่อก่อนพวกเขาทำกับผมยังไง พ่อไม่รู้เหรอ ลี่จุนถิงกับลี่จุนซินไม่ยอมรับในตัวผม เป็นเพราะว่าผมเป็นลูกนอกสมรส ถึงผมจะเป็นลูกนอกสมรส แต่ผมก็เป็นสายเลือดของตระกูลลี่”
“พวกเขาไม่ยอมรับในตัวผม มาตอนนี้พ่อจะให้ผมมีเมตตาต่อพวกเขาเหรอ?ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ ตอนนี้คนที่จะถูกขับไล่ออกไปก็คงจะเป็นผม เมื่อก่อนพ่อพูดตลอดว่าทำผิดต่อผมกับแม่มายี่สิบกว่าปี ตอนนี้ผมก็แค่ขับไล่พวกเขาออกไป ยังไม่ได้ตัดขาดความเป็นอยู่ของพวกเขาด้วยซ้ำ”
“ถ้าผมตัดชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาออกทุกอย่าง พ่อคงจะตัดขาดความสัมพันธ์กับแม่และผมสินะ พ่อคิดจะเปลี่ยนใจใช่ไหม?ลี่เจี้ยนหวา ก่อนหน้านี้พ่อพูดตลอดว่าจะช่วยผม ตอนนี้ล่ะ ไม่เพียงแต่ไม่คิดจะไม่ช่วย ยังจะมาขัดขวางอีก พ่อคิดยังไงกันแน่!”
ลี่เจี้ยนหวาถอนหายใจออกมา ความเข้มงวดบนใบหน้าของเขาจางหายไป ตอนนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ลี่หุย พ่อไม่ได้หมายความแบบนั้น พ่อก็แค่คิดว่าพวกเขาเป็นพี่ชายเละพี่สาวแท้ๆ ของแก ก็น่าจะ……เห้อ ไม่พูดละ แกอยากทำยังไงก็ทำอย่างนั้นเถอะ พ่อไม่ยุ่งแล้ว แก… แกแค่อย่าทำเกินไปก็แล้วกัน”
ลี่เจี้ยนหวาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง จากนั้นลุกขึ้นแล้วกลับเข้าห้องไป ถึงแม้ในใจเขาจะรู้สึกผิดต่อลี่หุยแม่ลูก แต่ในใจเขายังเป็นห่วงลี่จุนถิง เพราะถึงยังไงลี่จุนถิงก็เป็นคนรับช่วงของลี่ซื่อต่อจากเขา และพัฒนาขยายลี่ซื่อจนได้ดีขนาดนี้
อีกอย่าง ช่วงนี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับพวกเขามากมาย เขาไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลย เพราะถึงยังไงลูกในท้องของหยุนเอ๋อก็เป็นหลานแท้ๆ ของเขา เขาก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน จึงรีบโทรศัพท์ให้ลี่จุนซินทันที
“จุนซินอ่ะ พวกแกเป็นยังไงบ้าง?แกรู้ไหมว่าตอนนี้จุนถิงเป็นยังไงบ้าง”
ลี่จุนซินกำลังเที่ยวสนุกอยู่ที่ต่างประเทศ จู่ๆ ก็เห็นลี่เจี้ยนหวาโทรมา เบ้ปากเล็กน้อย และตัดสินใจจะตัดสายของเขาทิ้ง แต่เมื่อเวียร์เห็นท่าทีนี้ของเธอ จึงห้ามเธอไว้
“รับหน่อยเถอะ เผื่อมีเรื่องอะไร”
สรุป เมื่อรับโทรศัพท์ขึ้นมา ลี่จุนซินได้ยินเสียงห่วงใยจากพ่อ ยิ่งทำเธอทำหน้าเย้ยหยันออกมา
“โอ๊ย ลมอะไรหอบคุณมาเหรอ ถึงมีเวลามาห่วงใยพวกเราได้ คุณยังจำได้อีกเหรอว่ายังมีลูกชายและลูกสาวอีกคน ลูกนอกสมรสที่เก่งกาจคนนั้นของคุณล่ะ เขาเป็นคนให้คุณมาสืบเรื่องของพวกเราเหรอ?เคอ ยังคงไม่มีสมองเหมือนเดิมเลยนะ?”
“นี่เป็นพฤติกรรมที่แกใช้คุยกับพ่อแกเหรอ?” เมื่อลี่เจี้ยนหวาได้ยิน อารมณ์โกรธขึ้นมาทันที
“นี่เสแสร้งไม่ไหวแล้วสิ เมื่อกี้ยังเสแสร้งเป็นห่วงพวกเราอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
ลี่จุนซินยังคงเถียงเขาต่อ เธอต้องการยั่วโมโหเขาให้โกรธ
ลี่เจี้ยนหวาก็รู้ว่าตัวเองผิด จึงยอมให้ลี่จุนซินพูดจาประชดในโทรศัพท์
เมื่อโม่เสี่ยวฮุ่ยกลับมาจากข้างนอก ก็เห็นใบหน้าของลี่จุนซินที่พูดโทรศัพท์อยู้เต็มไปด้วยท่าทีประชด ส่วนเวียร์ที่อยู่ข้างๆ ก็ปลอบเธออยู่ตลอดเวลา
“เวียร์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?ทำไมท่าทางของจุนซินถึงเป็นแบบนี้?”
เวียร์คลายมือของจุนซินออก ยืนอยู่ข้างโม่เสี่ยวฮุ่ย เล่าเรื่องเคร่าวๆ ด้วยน้ำเสียงที่เบาให้เธอฟัง หลังจากฟังจบแล้ว สีหน้าของโม่เสี่ยวฮุ่ยเปลี่ยนไปทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วพูดเสียงดังกับลี่จุนซินว่า
“จุนซิน ลูกบอกคนอีกฝั่งหนึ่งไป หลังจากวันนี้เป็นต้นไปเรื่องความเป็นความตายของพวกเรา ไม่เกี่ยวข้องกับเขา บอกเขาอย่าโทรศัพท์มารบกวนพวกเรา พวกเราอ่ะ ไม่กล้าไปเทียบบารมีของพวกเขาหรอก”
โม่เสี่ยวฮุ่ยพูดเสียงดังขนาดนั้น ลี่เจี้ยนหวาที่อยู่อีกฝั่งได้ยินชัดเจน จึงถอนหายใจออกมา รู้ว่าไม่ว่าตัวเขาจะพูดยังไง พวกเธอก็คงไม่สนใจอีก จึงตัดสินใจวางสายลง
หลังจากที่ลี่จุนซินด่าเขาไปหนึ่งฉาก รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย จากนั้นบอกกับโม่เสี่ยวฮุ่ยเสร็จ ก็ดึงเวียร์ออกไปเที่ยวข้างนอกต่อ
ทางด้านของลี่จุนถิง หลังจากสืบหาไปได้สามวัน ในที่สุดก็หาที่พักพิงของเจียงหยุนเอ๋อเจอจนได้ แต่ว่าสถานที่นั้นผู้คนค่อนข้างหลากหลาย อีกอย่างตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคนของอาเธอร์แท้จริงแล้วมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่
และเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนั้นมีผู้คนหลากหลายนั่นเอง ดังหนั้นที่ตรงนั้นจึงมีคนของอาเธอร์อยู่ไม่น้อย ดังนั้นความเคลื่อนไหวของลี่จุนถิง อาเธอร์จึงรับรู้โดยธรรมชาติอยู่แล้วเช่นกัน
นับตั้งแต่ที่ลี่จุนถิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ อาเธอร์ก็รู้แล้ว และได้จัดคนให้เฝ้าดูติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาตลอดเวลา
อาเธอร์เห็นพวกเขาไล่ล่าไม่ยอมหยุด ในใจรู้สึกหงุดหงิดมาก วันนี้ คนของเขาเข้ามารายงาน ว่าลี่จุนถิงสืบหาฐานที่ตั้งของพวกเขาเจอแล้ว
อาเธอร์โกรธมาก เอามือกวาดเหล้าและแก้วที่อยู่ตรงหน้าเขา ตกใส่พื้น และแตกละเอียดในทันที
“ไอ้พวกวิญญาณผีพวกนี้ ทำไมมันช่างน่ารำคาญแบบนี้ พวกมันไม่ยอมจบไม่ยอมสิ้นเลยจริงๆ !”
“แต่ว่า ถึงยังไงในต่างประเทศก็เป็นถิ่นของฉัน ถ้าคิดจะจับฉัน เคอ ฝันไปเถอะ”
หลังจากที่อาเธอร์สงบสติอารมณ์แล้ว เรียกคนเข้ามาเก็บสภาพห้องด้านใน จากนั้นหันหลังเดินออกไปที่ห้องทดลอง
เนื่องจากดอกเตอร์คูลี่เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมพูดวิธีรักษาก่อนหน้านี้ออกมา ดังนั้นช่วงเวลานี้ ทีมแพทย์ของอาเธอร์จึงกำลังวิจัยวิธีการรักษาอยู่ ดังนั้นตอนที่อาเธอร์ไปนั้น จึงไม่ได้ให้ใครไปแจ้งข่าวก่อน เพราะเขาแค่ต้องการไปดูเบ็ตตี้สักครู่ก็กลับ
ผลสรุปคือ เมื่อเขาก้าวขาเข้าไปในห้องทดลอง ก็ได้ยินทีมแพทย์กำลังพูดเรื่องตลกกัน เนื่องจากจุดที่อาเธอร์ยืนอยู่เป็นมุมบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เห็นเงาของอาเธอร์ และเนื่องจากคุยกันอย่างสนุกปาก เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรดังมาจากหน้าประตู
“คุณพูดดีสิ คุณนายเบ็ตตี้ตอนนี้กลายเป็นศพมีชีวิตไปแล้ว ทำไมนายท่านยังจะต้องให้ช่วยเหลือเธออีก?อีกอย่างบนโลกนี้มีผู้หญิงที่สวยและอ่อนโยนกว่าคุณนายเบ็ตตี้อีกมากมาย ทำไมถึงคิดไม่ได้เสียที?”
“ก็นั่นนะสิ ไม่ต้องพูดถึงการรักษาคุณนายเบ็ตตี้นั้นจะยากแค่ไหน ถึงแม้เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราจะช่วยรักษาได้แล้ว แต่อาการป่วยของคุณนายกำเริบง่ายมาก ถ้าหากรักษาไม่ทัน คุณนายเบ็ตตี้ก็ต้องเสียชีวิตอีก ไม่รู้ทำไมนายท่านถึงต้องเสียกำลังมากมายขนาดนี้ในการช่วยศพมีชีวิตแบบนี้ด้วย”
“ถึงแม้ว่านายท่านจะรักคุณนายเบ็ตตี้มาก แต่ผู้หญิงที่รักนายท่านก็มีอยู่ไม่น้อย รอให้หลังจากที่คุณนายเบ็ตตี้ตายแล้ว มีผู้หญิงที่ฉลาดเข้ามาอยู่ในใจของนายท่าน ผ่านไปสักระยะหนึ่งนายท่านก็ลืมคุณนายเบ็ตตี้ไปเอง นายท่านจำเป็นต้องทำแบบนี้ยังไงเล่า?”
อาเธอร์อยู่หน้าประตูได้ยินที่พวกเขาคุยกันทั้งหมด ใบหน้าโกรธเคือง และกุมหมัดไว้ ดวงตามีประกายไฟร้อนแรงฉายออกมา ลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังนายท่าน สังเกตเห็นถึงอาการโกรธของนายท่านของเขาแล้ว ถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวโดยปริยาย
วินาทีต่อมา ใบหน้าของอาเธอร์เปลี่ยนไปทันที หยิบปืนที่เขาพกติดตัวออกมา จากนั้นเดินยิ้มแย้มเข้าไปข้างใน แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
“ทั้งสองคน คุยกันอย่างสนุกเนี่ยนะ”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินเสียงของอาเธอร์ หันตัวกลับมาด้วยอาการสั่น กำลังจะพูดจาแก้ตัวให้ตัวเอง ก็ถูก อาเธอร์ใช้ปืนยิงตายทันที