บทที่ 696 ยายหลานจำกันได้

ทั้งสี่คนนั่งรออยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเที่ยงวัน

“ผู้มาเยือน ท่านหัวหน้าสกุลเยว่มาถึงแล้วขอรับ” หลังจากลุงหรงพูดจบ หญิงชราตัวเล็กๆ ถือไม้เท้ามีสาวใช้สองคนคอยพยุงเดินเข้ามาในห้องโถง

หวังหยูมองนางด้วยอารมณ์ซับซ้อนพลุ่งพล่านอยู่ในใจ หญิงชราอายุมากแล้ว ผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่ดวงตายังคงกร้าวแกร่ง ท่าทางสง่างามเช่นที่เขาเคยเห็น

แม้จะรู้ดีว่าเป็นการไร้มารยาท แต่หวังหยูไม่อาจละสายตาที่จะมองนางอย่างโหยหาได้ ลุงหรงขมวดคิ้วในขณะที่เขากำลังจะกล่าวเตือน ผู้เฒ่าเยว่ก็ได้กระแอมไอออกมาเสียก่อน

นางอารมณ์เสียเมื่อได้รับสายตาจ้องมองไร้มารยาทเช่นนี้ แต่กลับไม่มีอาการโกรธเคือง เด็กหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

ผู้เฒ่าเยว่และเด็กหนุ่มมองหน้ากันในที่สุดนางก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมา

“พวกท่านมาจากเมืองอวิ๋นเฟิงหรือ?” ผู้เฒ่าเยว่เอ่ยถาม

“ขอรับ ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นส่งพวกเรามาเพื่อมอบของขวัญแสดงความปรารถนาดีแก่ท่านหัวหน้าสกุลเยว่ขอรับ” หวังหยูกล่าวตอบ

“ท่านเจ้าเมืองช่างใส่ใจ แต่ข้าไม่อาจรับความปรารถนาดีของเขาได้ โปรดนำของขวัญกลับคืนไปเสียจะดีกว่า ต่อไปภายหน้าอย่าได้มาเยี่ยมเยียนข้าอีก” ผู้เฒ่าเยว่เอ่ยปาก น้ำเสียงนางไม่ค่อยดีนัก หวังหยูรู้ดีว่านางไม่อยากติดต่อกับท่านเจ้าเมืองอวิ๋น อู๋เจี๋ยจะโกรธ หากรู้ว่าเจ้าเมืองอวิ๋นยังติดต่อกับสกุลเยว่อยู่ อู๋เจี๋ยจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ

“ข้าจะแจ้งคำพูดของท่านผู้เฒ่าเยว่ให้ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นได้ทราบภายหลังขอรับ แต่ในเมื่อครั้งนี้ข้าได้มาถึงที่นี่แล้ว ขอให้ท่านผู้เฒ่าเยว่ได้โปรดรับของขวัญชิ้นนี้เอาไว้ด้วย” หลังจากหวังหยูพูดจบ ผู้เฒ่าเยว่ยังคงมีสีหน้าที่บึ้งตึง ทว่าน้ำเสียงของนางกลับดูสนิทชิดเชื้ออย่างไม่รู้ตัว

“เมืองอวิ๋นเฟิงอยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองเยว่ พวกเรารอนแรมมาถึงสิบวันสิบคืนเลยทีเดียว ท่านหัวหน้าสกุลเยว่ขอให้ท่านรับของขวัญในครั้งนี้เอาไว้เพื่อเห็นแก่การทำงานหนักของพวกเราได้หรือไม่?”

ผู้เฒ่าเยว่ใจอ่อนเมื่อได้ยินคำพูดของหวังหยู นางพยักหน้ารับ หวังหยูจึงนำกล่องของขวัญมามอบให้

ผู้เฒ่าเยว่รับกล่องไปย้ำว่า

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะรับของขวัญนะ” หวังหยูพยักหน้า

“ท่านกรุณาเปิดออกดูหน่อยเถิด” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมองด้วยสายตาวิงวอนขอร้อง ผู้เฒ่าเยว่ทำใจให้สงบลง นางเปิดกล่องของขวัญออกดูข้างในมีหวีไม้ธรรมดาๆ แต่กลับทำให้ผู้เฒ่าเยว่ตกตะลึง ความทรงจำของนางย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อนหน้า เด็กน้อยวิ่งมาเกาะที่ขาของนางยื่นหวีไม้แบบเดียวกันนี้ให้

“ท่านยาย อาหลี่ทำของขวัญให้ท่านยาย” เด็กตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างกระตือรือร้น ใบหน้าเล็กเยาว์วัยซ้อนทับกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า

อาหลี่… หลานชายตัวน้อยของนาง นางเยว่มองหวังหยูอย่างเหม่อลอย จมูกของนางเจ็บ ดวงตาเป็นสีแดง นางแทบไม่เชื่อและประหลาดใจเป็นอันมาก ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรด้วยซ้ำ ไม่นานนักนางจึงได้สติ

“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของพวกท่าน มาดื่มน้ำชากับข้าในห้องสักถ้วยเถอะ”

นางพาหวังหยูและคนอื่นๆ เข้าไปในยังเรือนด้านใน

ถังหลี่จูงมือซานเป่าตามหวังหยูไปไม่ห่าง ในขณะที่เดินไปรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ ลานระหว่างด้านนอกและด้านในดูไม่ใหญ่มากนักแต่กลับใช้เวลาเดินค่อนข้างนาน ถังหลี่อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองตู้เย่

ค่ายกลหรือ? ถังหลี่ส่งสัญญาณถาม

ตู้เย่พยักหน้าให้ หลังจากเดินไปสักพักจึงถึงเรือนด้านใน ดวงตาของท่ายผู้เฒ่าเยว่จับจ้องไปยังถังหลี่และคนอื่นๆ อย่างระมัดระวัง

“พวกเขาล้วนเชื่อถือได้ พวกเขาช่วยข้าเอาไว้ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รอดชีวิต …. เขามาเมืองเยว่เฉิงตั้งใจจะมาช่วยข้าขอรับ” หวังหยูเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสายตาระแวดระวังของท่านผู้เฒ่า

นางพาพวกเขาเข้าไปในห้อง ถังหลี่ปิดประตูตามหลัง

“นั่งลงเถอะ โม่ไป๋เป็นคนสร้างค่ายกลเอาไว้ในลานนี้ ‘ตา’ ของอู๋เจี๋ยไม่สามารถมองเห็นที่นี่ได้” ผู้เฒ่าเยว่เอ่ยขึ้น

ถังหลี่นั่งลงพร้อมกับซานเป่าและตู้เย่

ดวงตาของท่านผู้เฒ่าเยว่จับจ้องไปที่หวังหยู เขาคุกเข่าลงต่อหน้าของนาง ผู้เฒ่าเยว่กอดเขาเอาไว้

“ท่านยาย..”

นางลูบศีรษะของเขาเรียกเขาเสียงเบา

“อาหลี่..”

ใบหน้าของนางยังเข้มงวดและเคร่งขรึมทว่าน้ำเสียงเจือสะอื้น อาหลี่ยังมีชีวิตอยู่!

ช่างดีเหลือเกิน!

เมื่อสิบปีที่แล้วสกุลเยว่ตกต่ำ จากสกุลอันดับหนึ่งในเผ่าอู๋ กลับกลายเป็นอาชญากรถูกผู้อื่นเยาะเย้ยดูหมิ่นภายในชั่วคืน ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาสกุลเยว่เริ่มเสื่อมถอยลง จนกระทั่งไม่อาจจะเลี้ยงบ่าวไพร่เอาไว้ได้ คนเหล่านั้นล้วนจากไป เนื่องจากไม่มีเงินจ้าง จนกระทั่งเหลือคนรับใช้ที่ภักดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พวกเขาต้องจำนำและขายสมบัติส่วนตัวออกไป นับวันยิ่งยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ

หากนางออกไปข้างนอก แล้วมีใครรู้ว่านางมาจากสกุลเยว่พวกเขาจะปาผักและผลไม้เน่าใส่รถม้าของนาง สกุลเยว่มีความเป็นอยู่ราวกับหนูวิ่งข้ามถนน แต่นางไม่อาจจะล้มได้ หากนางล้มลงสกุลจะถูกทำลายลงไปในพริบตา

บุตรสาวทั้งสามคนได้จากไปแล้ว ลูกสาวคนโตเป็นบ้า ไม่มีใครจะสนับสนุนหรือพยุงสกุลเยว่เอาไว้ได้ นางต้องการที่จะหาทายาทสกุลเยว่

นางออกจากเรือนไปสกุลเหยาแต่เช้าเพราะเหตุนี้ เมื่อสองวันก่อนมีเด็กสองคนมาตามหาญาติ พวกเขาถือรูปบิดามารดา เร่ถามหาไปทั่วรูปบิดาของเขาคือน่าเหยา หูตาของคนสกุลเหยามีอยู่ทุกที่ในเมืองเยว่เฉิง ไม่ช้าข่าวตามหาญาติของพวกเขาจึงได้รู้ไปถึงหูสกุลเหยา

กว่าผู้เฒ่าเยว่จะรู้ เด็กทั้งสองได้ถูกจับตัวไปยังสกุลเหยาแล้ว พวกเขามีสายเลือดของสกุลเหยาและสกุลเยว่ไหลเวียนอยู่ตัว!

แม้ท่านผู้เฒ่าจะไม่อยากมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนสกุลเหยาอีก แต่สถานะของสกุลเยว่ในตอนนี้ได้ขาดผู้สืบทอดสกุลไร้ซึ่งทายาท…

ผู้เฒ่าเยว่ฟังเสียงร้องไห้คร่ำครวญของบุตรสาวคนโตมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดจึงได้ตัดสินใจไปหา เพื่อนำเด็กๆเหล่านั้นกลับมา อย่างน้อยก็เพื่อบุตรสาวของนาง

แต่เมื่อไปหาสกุลเหยาในเช้าวันนี้ นางไม่เจอใครเลย ซ้ำสกุลเหยายังหยิ่งผยองจนทำให้นางอับอายกลับมา ผู้เฒ่าเยว่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจจนรู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป

โชคดีเหลือเกินในที่สุดนางก็ได้รับข่าวที่น่ายินดี อาหลี่ยังมีชีวิตอยู่ สกุลเยว่ของนางมีผู้สืบทอดและมีความหวังแล้วบราวนี่ออนไลน์

“อาหลี่ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หลายปีมานี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา? เจ้าต้องทุกข์ทรมานมากหรือไม่?” ผู้เฒ่าเยว่ถามอย่างร้อนใจ หวังหยู่เล่าให้ฟังว่าอาจารย์ของเขาและธิดาเทพถูกสังหารหลังจากการบูชา

ตามธรรมเนียม จะมีการร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน อู๋เจี๋ยได้ใส่ยาพิษลงไปในอาหาร แม้กระทั่งอาจารย์ยังตรวจไม่พบ หลังจากที่ธิดาเทพและคนสกุลเยว่ถูกวางยาพิษ อู๋เจี๋ยจึงได้เริ่มสังหารหมู่

หวังหยูเป็นคนรับผิดชอบดูแลเครื่องบวงสรวงที่แท่นบูชา เขาจึงไม่ได้เข้าไปร่วมรับประทานอาหารเย็น เขารู้สึกถึงความผิดปกติจึงรีบไปยังห้องอาหาร ที่นั่นเขาเห็นอาจารย์นอนอยู่ในแอ่งเลือด…

“ข้ารู้ว่าโม่ไป๋จะไม่ใช่คนฆ่าธิดาเทพ แต่เป็นอู๋เจี๋ยที่ใส่ร้ายเขา และใส่ร้ายคนสกุลเยว่!” น้ำเสียงของนางสั่นสะท้าน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางกัดฟันพูดว่า

“อาจารย์ของเจ้า ธิดาเทพ หรือแม้แต่บิดามารดาของเจ้ารวมไปถึงท่านป้าทั้งสองคนของเจ้า ล้วนเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของเขา นี่เป็นความเกลียดชังที่ข้ารับไม่ได้!”

“ท่านยาย ข้ากลับมายังเยว่เฉิงในครั้งนี้ เป็นเพราะข้าอยากเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของอู๋เจี๋ย และล้างมลทินให้อาจารย์ของข้า!” หวังหยูพูดอย่างจริงจัง

……………….