บทที่ 695 คนสกุลเยว่

สิบวันต่อมา ที่เมืองเยว่เฉิง ในตอนเช้า ทันทีที่ประตูเมืองเปิด คนทั้งสี่ก็ได้ยื่นทะเบียนราษฎร์ปลอมให้ที่ด่านตรวจ คนเหล่านี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นถังหลี่และคนอื่นๆนั่นเอง

“มาจากเมืออวิ๋นเฟิงหรือ?” เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดูทะเบียนราษฎร์ของพวกเขา เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงได้ปล่อยพวกเขาเข้าเมืองไป

เมื่อเห็นว่าผ่านการตรวจสอบเข้าเมืองไปได้อย่างไม่มีปัญหา พวกเขาถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก คาดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองอวิ๋นเฟิงคงจะถูกปิดเอาไว้เป็นอย่างดี อู๋คูคงยังไม่ได้ส่งข่าวเรื่องอู๋หลี่ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้อู๋เจี๋ย

ทั้งสี่คนเข้าไปในเมือง

“ไปบ้านสกุลเยว่ก่อนเถอะ” หวังหยูเอ่ยปาก

ธิดาเทพอยู่ในวิหาร และเป็นไปได้สูงว่านางจะถูกคนของอู๋เจี๋ยอารักขาอยู่อย่างแน่นหนา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พบกับนาง

พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากสกุลเยว่ หวังหยูเป็นคนในสกุลเยว่ เขาจึงคิดพึ่งพาคนในสกุลเดิมของเขา

ระหว่างการเดินทาง ถังหลี่ได้ฟังเรื่องราวของชนเผ่าอู๋จากหวังหยูในหลายแง่มุม เด็กที่มีตราประทับดอกบัวเพลิงหกกลีบในคัมภีร์นั้นเป็นบรรพบุรุษของเขาเอง ในคัมภีร์เขียนเอาไว้ว่าธิดาเทพจันทราโปรดปรานชื่นชอบเด็กผู้นั้นมาก ถึงกับให้เขาใช้นามสกุลว่าเยว่ (แปลว่า ดวงจันทร์)

สกุลเยว่ได้สืบเชื้อสายรุ่นต่อรุ่นและได้กลายเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเผ่าอู๋ หากสกุลเยว่เป็นตระกูลเก่าแก่ สกุลเหยาก็เป็นสกุลใหม่ที่เกิดขึ้นในภายหลัง

เมื่อประมาณสามร้อยปีมาแล้ว บรรพบุรุษของสกุลเหยาเป็นคนขุดแร่หยกในป่า เขาได้ช่วยเหลือธิดาเทพที่หลงทางเอาไว้ จึงได้เป็นผู้มีพระคุณของธิดาเทพ จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น สกุลเหยาจึงได้เติบใหญ่ขึ้น หลังจากผ่านไปสามร้อยปี จึงได้กลายเป็นสกุลที่มีชื่อเสียงพอๆ กับสกุลเยว่

ทั้งสี่คนขี่ม้าไปตามถนนในเมืองเยว่เฉิง ซานเป่ามองทุกอย่างรอบตัวอย่างอยากรู้อยากเห็นด้วยดวงตากลมโตของนาง

ถังหลี่ก็อยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกัน นี่คือเมืองเยว่เฉิง เป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเผ่าอู๋

อาคารบ้านเรือนล้วนเป็นกำแพงสีแดงและมีกระเบื้องสีดำ ที่ราวบันไดมีการแกะสลักลวดลายทาสีดูแล้วแปลกใหม่กว่าที่เคยเห็น

ชาวเมืองพากันตื่นแต่เช้า ผู้คนออกมาเดินขวักไขว่ตามท้องถนน เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเรียบง่ายเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มของถังหลี่ ภาษาที่ใช้คล้ายคลึงกับภาษาที่ใช้กันทั่วไป นอกจากนั้นแล้วสถาปัตยกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันยังมีความคล้ายคลึงกับโลกภายนอก

ถังหลี่ได้ยินหวังหยูเล่าว่าร้อยปีก่อนหน้า มีคนนอกเผ่าได้บังเอิญเดินทางเข้ามายังเผ่าอู๋อย่างไม่ตั้งใจ เขาเป็นหมอและรักษาโรคระบาดที่เกิดขึ้นในเผ่าอู๋ แม้ว่าเผ่าอู๋จะไม่ต้อนรับคนภายนอก แต่ทว่าคนผู้นี้กลับเป็นข้อยกเว้น พ่อมดศักดิ์สิทธิ์ได้ประกาศต่อสาธารณชนว่า เทพเจ้าได้ทรงกรุณาส่งคนผู้นี้มาเพื่อช่วยเหลือคนในเผ่าอู๋ ต่อมาเขาได้กลายเป็นสหายคนสนิทของพ่อมดศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอู๋ และได้รับความเคารพและศรัทธาจากชาวเมืองเป็นอันมาก

ภาษาพูดของชนเผ่าอู๋มีความซับซ้อนแต่พวกเขาไม่มีภาษาเขียน คนผู้นี้จึงได้ประดิษฐ์ตัวอักษรให้พวกเขา

เดิมทีเนื้อหาในคัมภีร์มีการถ่ายทอดกันแบบปากต่อปาก ต่อมาเมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรเกิดขึ้นจึงได้มีการบันทึกตามมาในภายหลัง

“พ่อมดศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว” มีเสียงคนตะโกนขึ้น ผู้คนที่เดินไปมาในตลาด ต่างแหวกทางให้มีทางสัญจรไปมาตรงกลางแล้วพากันนั่งคุกเข่าลง

ถังหลี่มองเห็นรถม้าเทียมกวางแล่นช้าๆ มาตามถนน หลังคารถม้าเป็นสีแดงเข้มมีผ้าม่านทั้งสองฝั่ง ภายในมีคนนั่งอยู่

ชายผู้นั้นสวมหน้ากากเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน รู้เพียงว่าเขามีท่าทางสง่างามและสูงส่ง ถังหลี่เหลือบมองชั่วครู่ จากนั้นจึงได้ดึงซานเป่าให้คุกเข่าลง หวังหยูและตู้เย่เองก็พากันนั่งคุกเข่าด้วยเช่นกัน พวกเขาสี่คนดูกลมกลืนไปกับชาวเมือง ไม่ได้ดูแปลกแยกแต่อย่างใด

หวังหยูกำหมัดแน่น เขาคิดถึงอาจารย์ของตนที่นอนจมกองเลือดเสียชีวิตไปอย่างน่าอนาถ ชายผู้นี้เป็นคนสังหารอาจารย์ ธิดาเทพและบิดามารดาของเขารวมไปถึงคนในสกุลเยว่อีกมากมาย!

เขาพยายามที่จะระงับอาการเกลียดชังที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงจนทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาถึงกับบิดเบี้ยว

ตราบจนกระทั่งมีมือเล็กๆมาตบที่บ่าของเขาอย่างปลอบประโลม ทำให้หวังหยูสงบจิตใจอาฆาตพยาบาทของเขาลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขามองซานเป่าส่งยิ้มให้นาง

“หวังหยู เราจะล้างแค้นให้อาจารย์ของเจ้าอย่างแน่นอน” ซานเป่าโน้มตัวเข้าไปใกล้กระซิบที่หูของเขา

ใบหูของหวังหยูแดงขึ้น เขาไม่กล้าสบตาซานเป่าได้แต่พยักหน้ารับ

“อืม!”

พวกเขาเดินทางไปยังจวนสกุลเยว่ หลังจากอู๋เจี๋ยก้าวขึ้นสู่อำนาจ สกุลเหยาเฟื่องฟู สกุลเยว่ล่มสลาย ทุกคนต่างพากันรู้ดี แต่ถังหลี่ไม่ได้คาดคิดเลยว่า สกุลเยว่จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้

ป้ายหน้าจวนเยว่หายไป ประตูถูกปิดสนิท มีบ่าวเกียจคร้านผู้หนึ่งนั่งเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู

หวังหยูมองประตูบ้านสกุลเยว่ เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความทรงจำ

ตอนที่เขายังเป็นเด็กมาก เขาถูกส่งตัวไปอยู่กับอาจารย์ ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากนัก บิดามารดาจะพาเขากลับไปเยี่ยมเยียนสกุลเยว่เป็นบางครั้ง

ในความทรงจำยามเยาว์วัย จวนสกุลเยว่มีชีวิตชีวามาก มีแขกเหรื่อไปมาหาสู่อย่างสม่ำเสมอ แม้สกุลเยว่จะไม่ใคร่ต้อนรับแขกมากนักก็ตามที

สิบปีผ่านไป สิ่งต่างๆ ล้วนผันแปร ผู้คนล้วนเปลี่ยนไปเช่นกัน

ถังหลี่สังเกตเห็นอารมณ์ที่เศร้าหมองของเขา นางตบไหล่เขาเบาๆ

หวังหยูสุดลมหายใจ หันไปยิ้ม

“ข้าไม่เป็นอะไร”

หวังหยูเดินตรงไปยังประตู หาบ่าวที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า คนผู้นั้นแปลกใจเมื่อเห็นคนเดินเข้ามาหา

“เจ้ามาหาใครหรือ? มาผิดบ้านหรือเปล่า?”

สกุลเยว่ ได้เปลี่ยนสถานะเป็นสกุลต้องโทษ ญาติสนิทมิตรสหายหรือผู้คนในสกุลอื่นที่แต่เดิมมีความสัมพันธ์อันดีต่อสกุลเยว่ก็พากันหลบลี้หนีหาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้จึงแทบไม่มีใครไปมาหาสู่กันเลย บ่าวที่เฝ้าหน้าประตูจึงได้เอ่ยคำถามนี้ออกมา

“ข้ามาจากเมืองอวิ๋นเฟิง ท่านเจ้าเมืองให้ข้านำของขวัญมาแสดงความยินดีให้กับสกุลเยว่” หวังหยูกล่าว

หัวหน้าสกุลเยว่คนปัจจุบันคือท่านยายของหวังหยู ผู้เฒ่าเยว่ในความทรงจำของหวังหยูเป็นหญิงชราตัวเล็กๆ ท่าทีเคร่งครัด ไม่ค่อยยิ้มแย้ม ตอนที่เขายังเด็กจึงอดกลัวนางไม่ได้

ในคัมภีร์ที่ได้เขียนเอาไว้ เด็กที่ธิดาเทพจันทราทิ้งสัญลักษณ์ดอกบัวเพลิงเอาไว้ เป็นเด็กผู้หญิง ด้วยเหตุนี้ หัวหน้าสกุลเยว่จึงได้เป็นผู้หญิงมาตลอด

แต่เดิมหัวหน้าสกุลเยว่เป็นท่านป้าของเขา แต่นางได้เสียชีวิตไปเมื่อสิบปีที่แล้วในฃ่วงที่เกิดเหตุวุ่นวาย ในตอนนั้นสกุลเยว่มีคนบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก ผู้เฒ่าเยว่จึงได้เป็นคนแบกรับสกุลเยว่ที่ตกต่ำเอาไว้ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

“มาจากเมืองอวิ๋นเฟิงหรือ?” บ่าวที่มาต้อนรับมีความประทับใจกับเจ้าเมืองอวิ๋นเฟิงไม่น้อย เขาเป็นแขกเพียงไม่กี่คนที่ได้ไปมาหาสู่กับสกุลเยว่มาโดยตลอดสิบปีที่ผ่านมา

“ขอบคุณ” หวังหยูกล่าว

พวกเขาพากันเดินตามเข้าไปในจวนสกุลเยว่ ภายในจวนรกร้างและทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ราวบันไดเริ่มเปลี่ยนสี ทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องเว้าแหว่ง ลำธารที่เคยมีน้ำใสไหลรินแห้งเหือด วัชพืชขึ้นจนรกเต็มไปหมด…

หวังหยูมองไปรอบๆ ความทรงจำมากมายในวัยเด็กผ่านเข้ามา เขาอดขมวดคิ้วและเศร้าใจไม่ได้เมื่อเห็นซากปรักหักพังของสกุลเยว่ที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสายตาของเขา

“ท่านผู้มาเยือน ที่นี่เป็นโถงรับรองแขก ท่านกรุณารออยู่ที่นี่สักครู่ขอรับ” บ่าวที่พามาเชื้อเชิญให้พวกเขาเข้าไปรอ จากนั้นจึงได้หันหลังเดินจากไป

ทั้งสี่คนนั่งรออยู่ในห้องโถงรับรอง ระหว่างทางที่เดินมาถังหลี่ไม่ค่อยเห็นบ่าวนับใช้มากนัก คาดว่าสกุลเยว่อาจจะเหลือบ่าวไม่มาก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีใครมารับรองพวกเขา

ซานเป่ากระสับกระส่าย นางชะเง้อมองไปรอบๆ

“ท่านแม่ ข้าขอไปเดินเล่นได้หรือไม่เจ้าคะ?” นางหันไปถามมารดา

“ฮูหยิน ข้าจะเป็นคนพานางไปเอง” หวังหยูอาสา เขาเป็นคนสกุลเยว่ ถังหลี่จึงไม่ต้องกังวล นางพยักหน้าอนุญาต เด็กทั้งสองจึงออกไปจากโถงรับรอง

จวนสกุลเยว่มีขนาดใหญ่มาก หากหวังหยูไม่ได้เป็นคนพามาเอง ซานเป่าอาจจะหลงทางไปแล้ว ทั้งคู่เดินไปจนถึงลานบ้านแห่งหนึ่ง เห็นประตูลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนามีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากภายในบ้าน

“เสิ่นหลาง ท่านอยู่ไหน? เหตุใดจึงไม่มาหาข้า”

“ลูกของข้า ได้โปรดเถอะ ให้ข้าได้เห็นลูกของข้าด้วย”

เสียงร้องไห้คร่ำครวญ ดังก้องไปทั่วลานบ้านแห่งนั้น ซานเป่าแอบมองช่องว่างของประตู นางเห็นหญิงเสียสติอายุประมาณสี่สิบปี ใบหน้ามีริ้วรอยลึกเป็นร่องน้ำตา ราวกับว่านางหลั่งน้ำตามากเกินไปจนทำให้เกิดรอยเหล่านั้น ดูแล้วน่าเวทนายิ่งนัก

เสิ่นหลางคือใคร? เขาเป็นสามีของนางหรือ? เกิดอะไรกับลูกของนาง เหตุใดนางถึงไม่ได้เจอพวกเขา? ซานเป่าจินตนาการถึงเรื่องราวโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับหญิงยากไร้ผู้หนึ่งที่ถูกสามีทอดทิ้งและพาลูกๆ ของนางไป ไม่อนุญาตให้นางได้เจอลูกของตนเอง หญิงสาวผู้นี้ช่างน่าเวทนา

“เจ้าเป็นใครกัน? มาที่นี่ได้อย่างไร?” เสียงตวาดดังขึ้นที่เบื้องหลัง ซานเป่าหันกลับมา หากหวังหยูก้าวเข้ามาปกป้องนางเอาไว้ที่ด้านหลังของเขา

ผู้ที่ส่งเสียงเป็นชายชราที่มีใบหน้าเคร่งขรึม จ้องมองพวกเขาอย่างไร้อารมณ์

หวังหยูจ้องชายชราที่อยู่ตรงหน้า พลันรู้สึกลำคอแน่น และเจ็บจมูกขึ้นมาในทันใด

ชายชราผู้นั้นมองหวังหยูเช่นกัน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ราวกับคิดถึงบางอย่าง

“ท่านชื่ออะไร?” น้ำเสียงชายชราคาดหวังและตื่นเต้นไม่น้อย เขาคือลุงหรง เป็นพ่อบ้านของสกุลเยว่

ลุงหรงไม่มีบุตร เขาจึงดูแลหวังหยูเป็นอย่างดี เมื่ออาจารย์พาเขากลับบ้านสกุลเยว่ ลุงหรงจะมาหาเขา แอบเอาขนมอร่อยๆให้เขากิน สิบปีผ่านไปลุงหรงอายุมากขึ้น ผมของเขาขาวโพลนไปทั้งศีรษะ

ลุงหรงถามเขาว่าเขาเป็นใคร เขาอยากบอกตัวตนของเขากับพ่อบ้านชราผู้นี้ แต่ภาระที่ยิ่งใหญ่บนบ่าของเขาทำให้เขาไม่อาจที่จะเอ่ยปากบอกความจริงไปได้ ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไหร่ เขาจะมีหนทางในการรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น

“พวกเราเป็นคนที่ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นเฟิงส่งมามอบของขวัญให้ท่านหัวหน้าสกุลเยว่” ความคาดหวังในสายตาของลุงหรงเลือนหายไป ในชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่านายน้อยกลับมาแล้ว แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? อู๋เจี๋ยจะปล่อยให้นายน้อยรอดชีวิตไปได้หรือ?

หัวใจของลุงหรงจมดิ่ง น้ำเสียงกลับไปเย็นชาเช่นเดิม

“ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นช่างใส่ใจยิ่ง แต่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนภายนอกจะมาเที่ยวชม ข้าจะพาพวกท่านกลับไปยังโถงรับรองเอง”

ซานเป่าและหวังหยูถูกพาตัวกลับไป ลุงหรงขอให้บ่าวนำชามารับรอง จากนั้นจึงได้เดินหันหลังจากไป

“หวังหยู ผู้หญิงคนนั้นคือใครหรือ?” ซานเป่ากระซิบถามเสียงเบาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“นางเป็นท่านป้าของข้าเอง” หวังหยูตอบเสียงทุ้มลึก

มารดาของเขามีพี่น้องผู้หญิงสี่คน ท่านแม่เป็นคนที่สาม ป้ารองเป็นผู้สืบทอดจวนสกุลเยว่ นางเสียชีวิตลงไปเมื่อสิบปีก่อน เดิมทีป้าใหญ่ของเขาต้องเป็นคนสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสกุลเยว่ แต่ท่านป้าของเขากลับตกหลุมรักทายาทสกุลเหยา ทั้งๆ ที่สกุลเหยาและสกุลเยว่มีความขัดแย้งกันมาตลอด สามีของหัวหน้าสกุลเยว่จะต้องแต่งเข้าสกุลเยว่ แต่สกุลเหยาจะยอมให้ทายาทของสกุลแต่งเข้าสกุลเยว่ได้อย่างไร

ความรักของพวกเขาจึงถูกคัดค้านอย่างรุนแรง

คู่รักทั้งคู่จึงได้หนีไปด้วยกัน เหตุการณ์ในครั้งนี้ นำมาซึ่งความอับอายและอัปยศอดสูแก่ทั้งสองสกุล พวกเขาจึงได้ตกลงที่จะเก็บเป็นความลับเอาไว้

ว่ากันว่าทั้งคู่ได้พากันหนีไปยังแดนไกล และให้กำเนิดบุตร แต่สุดท้ายก็โดนจับได้

หลังจากที่ทั้งคู่ถูกจับแยกกัน นางไม่ได้พบหน้าสามีและบุตรอีก ป้าของเขาได้รับความกระทบกระเทือนใจเป็นอย่างมาก นางจึงได้เสียสติไป หวังหยูเล่าเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ซานเป่าได้แต่ถอนหายใจ สงสารในความรักของคนทั้งคู่

……