บทที่ 694 ช่วยชีวิตท่านเจ้าเมือง

ผู้คนที่พากันกรูจะเข้ามาจับหวังหยูต่างพากันงุนงงเมื่อเห็นเขาทำท่าประหลาดเช่นนี้

ถอดรองเท้าแล้วยื่นฝ่าเท้ามาให้พวกเขาดู จะฆ่าพวกเขาด้วยฝ่าเท้าพิฆาตหรือ?

หวังหยูยืนด้วยขาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยกขึ้นให้เห็นฝ่าเท้าของเขาโดยทั่วกัน มีเส้นบางๆ ที่ฝ่าเท้าของเขา มองแวบแรกอาจจะไม่ทันได้สังเกต แต่ภายใต้แสงแดด เส้นบางๆ ที่ว่ากลับเรืองแสงชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดจึงกลายเป็นภาพดอกบัวเพลิง

คนเหล่านั้นชะงักหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างงงัน

ดอกบัวเพลิง! พวกเขางุนงง สับสนมากขึ้น มีดอกบัวเพลิงถึงสองดอก! เกิดอะไรขึ้น?

“เขาเป็นศิษย์ของอู๋โม่ไป๋ คนทรยศของเผ่าเรา จับเขาซะ!” อู๋คูพูดเสียงดัง

คนเหล่านั้นได้สติ พากันวิ่งเข้าไปจะจับหวังหยู

“ช้าก่อน! ดูที่ดอกบัวนั่นสิ ดอกบัวหกกลีบ อีกดอกห้ากลีบเห็นหรือไม่?” อวิ๋นเทาพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น เขาไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย เป็นเพราะไม่มีใครกล้าที่จะจ้องมองดอกบัวเพลิง ด้วยเกรงว่าจะเป็นการลบหลู่เทพเจ้า ตอนนี้ผู้สืบทอดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ได้แสดงให้เห็นดอกบัวเพลิงของพวกเขาทั้งคู่โดยพร้อมกัน จึงได้เห็นว่าสัญลักษณ์มีความแตกต่าง

คนเหล่าพากันเบนสายตามองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง ฝ่าเท้าของหวังหยูมีดอกบัวเพลิงหกกลีบ ในขณะที่ของอู๋คูมีเพียงห้ากลีบเท่านั้น

ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวเอาไว้ว่า ธิดาเทพจันทราชอบลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ในยามที่พระจันทร์เต็มดวง ครั้งหนึ่งธิดาเทพได้เสด็จลงมาเที่ยวเล่นเหมือนเช่นเคย นางได้พบกับเด็กกลุ่มหนึ่ง นางได้เล่นกับพวกเขาจนเกือบรุ่งสาง พวกเขายังสนุกและอยากเล่นด้วยกันอีก จึงได้ตกลงว่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้า นางจะลงมาเล่นกับพวกเขาใหม่ เพื่อที่จะได้พบเด็กๆ กลุ่มนั้นอีกครั้ง ธิดาเทพจันทราจึงได้ทำสัญลักษณ์ดอกบัวเพลิงไว้ที่เด็กๆ แต่ละคน แต่ไม่นานตราสัญลักษณ์ก็เลือนหายไป สุดท้ายแล้วเหลือเด็กเพียงคนเดียวที่ยังมีตราประทับหลงเหลืออยู่ ธิดาเทพจึงตรัสกับเด็กคนนั้นว่า

เขาเป็นผู้มีชะตาถูกกำหนดเอาไว้กับนาง

ดอกบัวเพลิงจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของโชคชะตาที่ผูกพันไว้กับธิดาเทพ อีกทั้งยังเป็นการแสดงความโปรดปรานที่ธิดาเทพมีต่อบุคคลผู้นั้นอีกด้วย

ในเผ่าอู๋ ตราสัญลักษณ์จึงเป็นการแสดงสถานะและกำหนดเคารพศรัทธาของราษฎรอีก

ผู้ที่ต้องการจับหวังหยูคือคนที่อู๋คูเป็นผู้พามา ส่วนทหารรักษาเมืองอวิ๋นเฟิงนั้น ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาล้วนมีความนับถือในเทพเจ้า พวกเขารู้จักประวัติและความเป็นมาของดอกบัวเพลิงมากกว่าผู้สืบทอดพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ ด้วยเหตุนี้สายตาที่มองหวังหยูจึงเต็มไปด้วยความเคารพบูชา

หวังหยูวางเท้าลงท่าทางจริงจัง เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและเย็นขา

“อู๋คูเป็นพวกหลอกลวง เสแสร้งว่าได้รับโองการมาจากเทพเจ้า ใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ กำจัดคนเห็นต่าง เขาเป็นภัยร้ายต่อเผ่าเรา จับเขา!” ทันทีที่หวังหยูพูดจบ คนเหล่านั้นรีบเข้าไปจับกุมอู๋คูทันที เขาไม่อาจหลบหนีไปได้ สีหน้าเขาน่าเกลียดดูไม่ได้เลย

เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าตราสัญลักษณ์ของอู๋หลี่จะเป็นดอกบัวเพลิงหกกลีบ เขาศึกษามาอย่างหนัก ใช้ตำราลับเพื่อสักดอกบัวเพลิงห้ากลีบลงบนฝ่ามือของตน เดิมทีเขาคิดว่าแค่มีห้ากลีบก็เพียงพอแล้ว แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนผู้นี้จะมีรอยสักถึงหกกลีบ!

ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด ก็ไม่อาจจะเอาชนะคนผู้นี้ได้อยู่ดี เขาเกลียดมัน! หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความคับแค้นอย่างยิ่งยวด

หวังหยูเผชิญหน้ากับสายตาโกรธเกรี้ยวของอู๋คูด้วยสีหน้าปกติ

“เอาตัวเขาไป!” หวังหยูสั่ง

เหยาจู้ที่กำลังยืนมองพิธีอยู่เนื่องจกาอยากดูจุดจบของอวิ๋นเทาที่จะต้องโดนเผาทั้งเป็น แต่การเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ ทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริดพูดไม่ออกไปเลย อู๋คูถูกจับ ผู้สนับสนุนเขาต่างจากไปแล้วเช่นกัน เขากำลังจะตาย ! ไม่ได้ เขาต้องรีบหนีไป!

เหยาจู้ลุกจากที่นั่ง หันหลังกลับ อยากแอบหนีไปไม่ให้ผู้ใดเห็น ทว่าเมื่อเขาก้าวเท้าไปสองก้าว จู่ๆ ก็ถูกคว้าคอเอาไว้ เหยาจู้หันกลับมาเห็นใบหน้าเล็กๆ ที่สวยงาม เป็นซานเป่านั่นเอง

“คิดหนีหรือ?” ซานเป่าเลิกคิ้ว กำหมัดต่อยเข้าที่หน้าของเหยาจู้

“เจ้าอันธพาลไปอยู่ในคุกเสียเถอะ”เหยาจู้หมดสติไปในทันที

ถังหลี่และตู้เย่ยืนอยู่บนที่สูงทั้งคู่เห็นฉากนี้ก็พากันหัวเราะออกมาอย่างอดใจไม่อยู่

“สาวน้อยมีความแค้นเป็นส่วนตัว!”

“ลงโทษคนพาล บริบาลคนดี” ตู้เย่รีบแก้ไขคำพูดของถังหลี่ รอยยิ้มของนางกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าตู้เย่ปกป้องลูกศิษย์ของเขาเป็นอย่างดี

…….

ณ จวนเจ้าเมือง

เมื่ออวิ๋นเทาได้ย่างเท้าเข้าไปในจวนของตนอีกครั้ง เขายังคิดว่าตนเองฝันไป เขายังคงมีชีวิตอยู่ รอดพ้นจากการถูกเผาทั้งเป็น แต่ที่มีความสุขก็คือได้รับการช่วยเหลือจากผู้สืบทอด

ผู้สืบทอดอู๋หลี่ยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งดีไปกว่านั้นก็คือท่านอู๋หลี่มีตราสัญลักษณ์ของดอกบัวเพลิงหกกลีบอีกด้วย ดอกบัวเพลิงหกกลีบมีสถานะเป็นรองแค่พ่อมดศักดิ์สิทธิ์และธิดาเทพเท่านั้น อวิ๋นเทาเดินดักหน้าดักหลังตามหวังหยู พลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ถ้าหากเขาไม่กลัวว่าจะเป็นการดูหมิ่นเทพเจ้าแล้ว เขาใคร่อยากเอื้อมมือไปแตะต้องผู้สืบทอดดูสักทีจริงๆ

หวังหยู “…….”

“ท่านเจ้าเมือง ใจเย็นๆ” อวิ๋นเทาสูดลมหายใจเข้าให้ลึกสองสามครั้ง

“ใจเย็นๆ”

“ท่านอู๋หลี่ อู๋คูและเหยาจู้ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน ท่านมีแผนการจะทำอย่างไรต่อไปหรือ?”

อวิ๋นเทาถาม

“ข้าจะไปหาธิดาเทพที่เมืองเยว่เฉิง” หวังหยูตอบ ก่อนที่พ่อมดศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นอาจารย์ของเขาจะเสียชีวิต ท่านขอร้องให้เขาปกป้องธิดาเทพ เขาเกิดมามีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องดูแลนางด้วยชีวิตของเขา

แต่ตอนนี้ ซานเป่ามีความสำคัญแก่เขามากเช่นกัน คนหนึ่งฝังลึกอยู่ในวิญญาณ แต่อีกคนเป็นความภักดีที่มาจากใจ ทั้งสองมีความสำคัญแก่เขามากทั้งคู่ บางครั้งหวังหยูอยากแบ่งร่างของตนเป็นสองส่วน เพื่อทำตามหัวใจของเขา ส่วนหนึ่งจะติดตามซานเป่าและอีกส่วนหนึ่งปกป้องธิดาเทพ ถ้าทำเช่นนั้นคงจะดีมาก

“เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองอวิ๋นเฟิงในวันนี้ จะล่วงรู้ไปถึงหูของอู๋เจี๋ยในไม่ช้า หากไปที่เมืองเยว่เฉิงท่านจะตกอยู่ในอันตราย” อวิ๋นเทาขมวดคิ้ว

“ถึงจะมีอันตรายข้าก็จำเป็นต้องไป ข้าต้องไปกระชากโฉมหน้าที่แท้จริงของอู๋เจี๋ยให้ได้ หากธิดาเทพเชื่อในตัวข้า ทุกอย่างคงจะง่ายขึ้น”

อวิ๋นเทาคิดอยู่สักพัก แม้จะเป็นการเสี่ยงแต่นั่นเป็นหนทางเดียวเท่านั้น หากนานไปท่านอู๋หลี่จะมีอันตรายมากขึ้น

อย่างไรเสียจำต้องถอนฟืนออกจากใต้กระทะ[1]เท่านั้น

“เปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของอู๋เจี๋ยเพื่อกลายเป็นตำนานสืบไป!” อวิ๋นเทาพูดพลางโค้งคำนับหวังหยูด้วยความเคารพบราวนี่ออนไลน์

“ท่านอู๋หลี่ อวิ๋นเทาอยู่ในกำมือของท่าน สุดแต่จะเรียกใช้”

“เตรียมม้า เสบียงและใบปลอมตัวตนในการเข้าเมือง ข้าจะเดินทางไปเมืองเยว่เฉิงทันที ทางที่ดีควรไปตะครุบตัวเขาก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”

หวังหยูตัดสินใจท่าทางแน่วแน่

“หวังหยู เจ้ายังมีพวกเรา” ซานเป่าเดินเข้ามาพร้อมด้วยถังหลี่และตู้เย่ หวังหยูขมวดคิ้ว

“แต่ที่เมืองเยว่เฉิงอันตรายมาก เจ้าเมืองอวิ๋นเฟิงส่งทหารมาอารักขาข้าแล้ว”

หวังหยูไม่อยากให้ใครต้องมาเสี่ยงชีวิตกับเขา

“เราสัญญากันเอาไว้หวังหยูเราไม่อาจจะผิดสัญญาได้” ใบหน้าเล็กๆ ของซานเป่าจริงจัง

“ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางไหน ข้าจะสนับสนุนเจ้า นี่ไม่ใช่แค่ลมปาก”

ถังหลี่ปกป้องหวังหยู นางถือว่าเขาเป็นคนในครอบครัวของตน เมื่อหวังหยูตัดสินใจว่าจะกลับมายังเมืองอวิ๋นเฟิง นางก็ได้ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะทำภารกิจนี้ให้จบ

นางไม่ต้องการให้เมืองอวิ๋นเฟิงและราษฎรต้องตกเป็นเมืองร้างเหมือนเช่นในนิยายเรื่องนั้น ถังหลี่รู้ดีว่าตนเองไม่ใช่แม่พระ นางเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่นางมีความเห็นอกเห็นใจผู้คนที่ต้องมาล้มตายเหมือนในนิยาย ตอนนี้ตัวละครที่เคยโลดแล่นในหนังสือกลับกลายเป็นคนมีเลือดเนื้อ จะให้นางทนดูพวกเขาตายไปเฉยๆได้อย่างไร

ตู้เย่ไม่พูดอะไร เพียงแต่มองพวกเขาด้วยดาบในมืออย่างไร้ความรู้สึก แต่ท่าทางเขาบ่งบอกความคิดที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับถังหลี่

หวังหยูมองคนทั้งสามที่ยืนอยู่ตรงหน้าทั้งฮูหยินและนายหญิงที่ได้เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ รวมไปถึงท่านตู้เย่ที่ได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เขา ถ้าหากไร้ซึ่งพวกเขา หวังหยูจะยืนหยัดเพียงลำพังได้อย่างไร?

หวังหยูเปรี้ยวฝาดในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

“ท่านเจ้าเมือง ข้าขอเสบียงและม้าสำหรับคนสี่คน รวมถึงทะเบียนราษฎ์ปลอมของพวกข้าทั้งสี่คนด้วย” อวิ๋นเทาหันไปมองหวังหยู เขาพยักหน้าให้ อวิ๋นเทาจึงได้หันกลับไปเพื่อสั่งการ

ถังหลี่และทั้งคนทั้งสี่ทานอาหารกันอย่างง่ายๆ จากนั้นจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมเดินทาง

อวิ๋นเทาจัดการทุกอย่างได้อย่างเรียบร้อย คนหนี่งคนต่อม้าหนึ่งตัวและห่อเสบียง

“นี่เป็นป้ายเจ้าเมือง ท่านนำติดไปด้วยเผื่อว่าจะได้ใช้” อวั๋นเทายื่นป้ายหยกให้หวังหยูรับไป

“ท่านอู๋หลี่ ท่านต้องระวังตัวให้ดี” อวิ๋นเทาอดเตือนไม่ได้

“ไม่ต้องเป็นห่วง” หวังหยูกล่าวตอบ คนทังสี่พากันขี่ม้าไปตามถนนมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง อวิ๋นเทามองตามหลังพวกเขาไป ในใจภาวนาอธิษฐานขอให้ท่านอู๋หลี่ได้เจอธิดาเทพอย่างราบรื่น และขอให้ธิดาเทพเชื่อมั่นในตัวของท่านอู๋หลี่ด้วยเถอะ!

[1] เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการพิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำศึกสงคราม ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าควรพึงหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ความฮึกเหิมของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง