เจียงซื่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
นางไม่อยากร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนอื่น เคยมีคำกล่าวไว้ว่าน้ำตาแห่งความสุขที่ไหลเอ่อออกมา จะควบคุมได้อย่างไรเล่า
เดิมเชื่อว่าพี่ชายได้ตายในสนามรบไปแล้วแต่ตอนนี้กลับมีชีวิตอยู่ตรงหน้า ความปิติยินดีท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจนาง
ผู้อาวุโสฮวากระแอมเสียงออกมาเบาๆ “ไปเถอะอาฮวา”
เจียงซื่อไม่ขยับเขยื้อน
ผู้อาวุโสฮวากดเสียงต่ำลง “อาฮวา เจ้าบอกว่าแค่ได้เห็นเขาแล้วก็จะไป”
เจียงซื่อเช็ดหางตา น้ำเสียงกลับมาสงบนิ่งตามปกติ “แต่ว่าข้าไม่แน่ใจว่าคนที่นอนอยู่ตรงนั้นใช่พี่ชายของข้าหรือไม่”
“เจ้าคงไม่มีทางไม่รู้จักพี่ชายตัวเองหรอกนะ” ผู้อาวุโสฮวาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
พระชายาเยี่ยนอ๋องได้คืบจะเอาศอกนี่นา คงไม่ปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปหรอกใช่ไหม
เจียงซื่อยกมือขึ้นมาชี้หน้าตัวเอง ไม่พูดไม่จา
ทว่าผู้อาวุโสฮวาเข้าใจได้ทันทีว่านางหมายถึงอะไร
ในเมื่อนางแปลงกายจากพระชายาเยี่ยนอ๋องกลายเป็นอาฮวาได้ หากพระชายาเยี่ยนอ๋องจะเกิดความสงสัยต่อคนที่นอนอยู่บนเตียงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ผู้อาวุโสฮวาฝืนยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา “วิชาแปลงกายไม่ใช่ว่าอยากจะแปลงกายผู้ใดให้กลายเป็นอีกคนได้เสมอ…”
“ข้าไม่สน ข้าจะต้องแน่ใจก่อนว่าคนผู้นี้เป็นพี่ชายของข้าแน่หรือไม่” เจียงซื่อพูดขัดคำอธิบายยาวเหยียดของผู้อาวุโสฮวา
ถึงแม้นางจะไม่เชี่ยวชาญวิชาแปลงกายของเผ่าอูเหมียว แต่ก็มีความเข้าใจไม่น้อย เวลานี้จึงไม่มีอารมณ์มาฟังผู้อาวุโสฮวาพูดจู้จี้จุกจิก
“เช่นนั้นเจ้าอยากจะทำอย่างไร” ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสฮวาจะกัดฟันถามออกมา
อดทนไว้ ต้องยอมก้มหัวให้เพราะมีเรื่องขอร้อง รอเสร็จเรื่องแล้ว ต้องมีเวลาให้โต้กลับแน่
เจียงซื่อชำเลืองมองผู้อาวุโสฮวา สาวเท้าก้าวไปยังเตียงไม้ไผ่
ผู้อาวุโสฮวาอ้าปากอยากจะเอ่ยห้าม แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร
หากห้ามก็คงห้ามไม่อยู่ นางคอยดูดีกว่าว่าพระชายาอ๋องจะยืนยันได้อย่างไร
เจียงซื่อเดินมาถึงข้างเตียงไม้ไผ่แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ จ้องไปที่คนบนเตียง
หากจะแยกด้วยกลิ่นนั้นลำบากเล็กน้อย
ภายในห้องมีลูกตุ้มเผาเครื่องหอม คนที่นอนอยู่บนเตียงจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นยาทั้งตัว มันกลบกลิ่นเดิมไว้
เจียงซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคว้ามือเจียงจั้นขึ้นมาวางไว้ใกล้จมูก
ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสฮวาดวงตาเบิกโพลง สีหน้าแปลกประหลาดใจ
พระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังทำอะไร นาง นางดูเหมือนกำลังจูบมือพี่ชายของนาง
เจียงซื่อไม่สนใจว่าผู้อาวุโสฮวาจะคิดอย่างไร นางแน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือพี่ชายอย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่กำลังจะปล่อยมือ จู่ๆ เจียงจั้นก็ลืมตาขึ้น
พี่น้องทั้งสองสบตากัน เจียงซื่อตาเป็นประกายขึ้นมาทันที
ทว่าเจียงจั้นหลุบตาลงมองมือที่ถูกอีกฝ่ายจับไว้ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นก็สลัดมือเจียงซื่อออกราวกับจับโดนเตารีด ตะเบ็งเสียงลั่น “เจ้าเป็นใคร!”
เมื่อได้ยินเสียง เจียงซื่อก็ยิ่งมั่นใจ
เป็นพี่รองแน่ไม่มีผิด
แค่กๆ ผู้อาวุโสฮวากระแอมเสียงออกมาได้ทันท่วงที
เจียงซื่อกลืนคำที่อยากจะพูดลงไป มองเจียงจั้นตาใสแป๋ว
เพียงแค่เจียงจั้นคิดว่าขณะที่ตัวเองหลับไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้าทำอะไรลงไปบ้าง กกหูก็ร้อนผ่านขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทั้งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกและโมโห
แค่เกิดมาหน้าตาดีหน่อยเอง อันตรายเกินไปแล้ว!
เมื่อมีความคิดเช่นนี้ เจียงจั้นรู้สึกว่าหากจะนอนคงนอนไม่ได้แล้ว จึงหันมองผู้อาวุโฮวาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “พวกเจ้าหมายความว่ายังไงกันแน่ ปากบอกว่าช่วยข้า วันนี้อาการข้าดีขึ้นกว่าครึ่งแล้ว เหตุใดถึงยังขวางข้าไว้อีก”
เขาจำเป็นต้องติดต่อกับคนของเขาโดยเร็ว เดาว่าตอนนี้พวกเขาคงคิดว่าเขาตายไปแล้วแน่
แต่จะเข้าใจผิดว่าเขาตายหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ยังไงเขาก็ไม่ถือเรื่องนี้ แต่ว่าจะต้องจับตัวคนคนหนึ่งออกมาให้ได้
ตอนนั้นเป็นช่วงที่ต่อสู้กับศัตรูอย่างดุเดือด เดิมเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็กน้อย ทว่ามีลูกธนูลูกหนึ่งปักลงที่ไหล่ของเขา จึงทำให้อีกฝ่ายใช้มีดฟันลงมา จนเขาตกลงไปในแม่น้ำ
ธนูลูกนั้นพุ่งมาจากทางด้านหลัง
ถึงแม้ว่าเจียงจั้นจะเป็นคนมีความคิดที่เรียบง่าย แต่เขาก็รู้ว่าลูกธนูที่ยิงมาจากทางด้านหลังนั้นหมายความว่าอะไร
มีคนในฝ่ายตัวเองอยากให้เขาตายแน่นอน!
ทำไมกันนะ
เขาไม่เคยทำให้ใครไม่พอใจ และไม่ได้แย่งคุณงามความดีใคร ใครกันที่แอบซุ่มลงมือทำร้ายเขา
ถูกคนลอบกัดเช่นนี้ เจียงจั้นยอมไม่ได้จริงๆ
ทว่าเขากลับถูกกักขังไว้ที่นี่…
ลืมตาตื่นขึ้นมาก็มีหญิงสาวหลายคนเดินเพ่นพ่านเข้าๆ ออกๆ ทั้งอายุมาก ทั้งอายุน้อย…อย่างไรก็ตามยังไม่เคยเห็นผู้ชายเลยสักคน
พวกนางบอกว่าช่วยเขาขึ้นมาจากในน้ำ รอให้เขารักษาตัวจนดีขึ้น ทว่าตอนนี้อาการก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่พอเขาอยากจะไปกลับไม่ให้เขาไป
เขาเคยขอร้องด้วยวาจาที่ดีแต่แรก จนตอนนี้หงุดหงิดและเริ่มระวังตัว
มีเหตุผลแบบนี้ที่ไหนกันเล่า หรือว่าอยากจะรั้งเขาไว้ที่นี่เป็นลูกเขย
เขาเหลือบตามองสตรีสวมเสื้อคลุมลายดอกบางๆ เจียงจั้นรู้สึกได้ถึงความอันตรายขึ้นมา
เจียงซื่อเบ้ปาก
สายตาเช่นนั้นของพี่รองหมายความว่าอย่างไรกัน
ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสฮวาก็เอ่ยปากพูดออกมา “คุณชายอย่าได้ใจร้อนไป รออาการบาดเจ็บของท่านหายสนิทก่อน พวกเราจะปล่อยท่านออกไปแน่”
เจียงจั้นโมโหจนอยากจะกลอกตาใส่ “ท่านป้า ข้าขยับตัวได้แล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเบ้ปาก “คุณชายตอนนี้ท่านยืนแทบไม่อยู่ด้วยซ้ำ นี่เรียกว่าขยับตัวได้แล้วหรือ”
เจียงจั้นดูอืดอาดไม่คล่องตัว
“คุณชายอย่าได้รีบร้อนใจไปเลย เรื่องใหญ่ขนาดไหนก็ต้องรักษาตัวเองให้ดีก่อน ช่วยชีวิตคนจนถึงที่สุดเป็นกฎของพวกเรา เช่นนั้นจึงไม่อาจให้ท่านออกไปได้” ผู้อาวุโสฮวาหันไปขยิบตาให้เจียงซื่อ พูดเสนอออกมาด้วยรอยยิ้มอันไม่เป็นมิตร “ถ้าหากคุณชายรังเกียจอาหลานที่ปรนนิบัติรับใช้ได้ไม่ดี เช่นนั้นจากนี้ไปให้อาฮวาเป็นผู้คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านดีหรือไม่”
เจียงซื่อมองผู้อาวุโสฮวาด้วยความประหลาดใจ
ไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสฮวาจะมีจิตใจที่ดีเช่นนี้ด้วย
ผู้อาวุโสฮวาแอบยิ้มเยาะเงียบๆ
พระชายาเยี่ยนอ๋องปรียบเหมือนหนามแหลม สู้เสนอออกมาเองก่อนที่นางจะเรียกร้องออกมาหลังเดินพ้นประตูแล้วไม่ดีกว่าหรือ เพราะหากถูกพี่ชายตัวเองปฏิเสธออกมาตรงๆ พระชายาเยี่ยนอ๋องก็จะล้มเลิกความคิดนี้
ผู้อาวุโสฮวาฉลาดเป็นกรด ดูออกแต่แรกแล้วว่าเจียงจั้นระวังตัวจากอะไร
และก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสฮวาเดาไว้ไม่มีผิด เมื่อเจียงจั้นได้ยินข้อเสนอสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รีบเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็น อาหลานน่ะดีแล้ว”
หญิงสาวคนก่อนหน้านี้ประพฤติตัวดี ทว่าสตรีตรงหน้านี้อันตรายเกินไปแล้ว เมื่อ…เมื่อครู่ยังอยากจะลวนลามเขา!
เจียงซื่อหรี่ตามอง สายตาอันตรายขึ้นมา
พี่รองพูดว่าอะไรนะ เป็นอาหลานดีแล้วงั้นหรือ
นางรับปากผู้อาวุโสฮวาไว้ก่อนแล้ว อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนต่อพี่รองได้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พี่รองหลุดพิรุธออกมาจนถูกผู้อาวุโสฮวาจับจุดอ่อนได้
แต่ไม่คิดเลยว่า พี่รองคนโง่จะปฏิเสธนางเพื่ออาหลาน!
นี่เพิ่งจะผ่านไปนานเท่าไหร่เอง หรือว่าพี่รองจะหลงไหลในตัวอาหลานแล้ว
เจียงซื่อรู้สึกโกรธอยู่ในใจ เบิกตาโพลงจ้องเจียงจั้น
เจียงจั้นเบนสายตาออกไปด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
หึ เป็นสตรีที่ดุขนาดนี้ ถ้าเกิดอาศัยโอกาสตอนที่เขาเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้แล้วใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเขาล่ะ
ประมาทไม่ได้จริงๆ
เพื่อแสดงออกถึงความหนักแน่นว่าอยากใช้สาวรับใช้คนก่อนนี้ เจียงจั้นกระแอมเสียงเอ่ยขึ้น “อาหลานนั้นไม่เลวเลย แถมชื่อก็ยังเรียกง่ายกว่าอาฮวาเยอะ”
เจียงซื่อทำหน้าขรึมลง อยากจะเอาอะไรสักอย่างมายัดปากเจียงจั้นให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ผู้อาวุโสฮวาหัวเราะคิกคักออกมา หันไปมองเจียงซื่อแล้วพูดออกไป “ในเมื่อคุณชายยืนหยัดเช่นนี้ ก็ให้อาหลานดูแลท่านเถอะ”
เจียงจั้นโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“อาฮวาพวกเราไปกันเถอะ”
เจียงซื่อบังคับควบคุมไม่ให้ตัวเองบุ่มบ่ามเข้าไปฟาดพี่ชายอย่างหนัก แล้วพยักหน้าออกมาเล็กน้อย
รอจนผู้อาวุโสฮวาพาเจียงซื่อออกไป เจียงจั้นเพิ่งออกแรงยันตัวลุกออกจากเตียงเดินไปไม่กี่ก้าว อาการวิงเวียนศีรษะที่คุ้นเคยก็จู่โจมเข้ามาทันที