บทที่ 520 เจียวเจียวเดือด (1)
อีกฟากหนึ่ง จิ้งจอกเงินกำลังพุ่งตัวไปหากู้เจียวด้วยแรงแค้น เหล่าทหารลาดตระเวนพอเห็นดังนั้นก็ถึงกับสะดุ้งไปตามๆ กัน ถึงขนาดไม่กล้าที่จะแม้แต่จะเอ่ยแสดงความเคารพ
แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะโมโหเช่นนี้ จิ้งจอกเงินผู้รอบคอบคราวนี้เกิดพลาดท่าให้กับเด็กเมื่อวานซืนจนได้!
เขาไม่อยากยอมรับความเขลาของเขา อีกทั้งไม่คิดเสียใจด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาฟังยี่อ๋องแต่แรกแทนที่จะเอาแต่ใจตัวเอง
อย่างไรเสีย รู้อะไรก็ไม่สู้รู้อย่างนี้ สิ่งที่เขาต้องยอมรับมีเพียงแค่จุดจบและผลลัพธ์ก็เท่านั้น
เขาโกหกตัวเองไม่ได้ เขาไม่น่ามาเจอกับทหารแคว้นเจาผู้นั้นตั้งแต่แรกเลย!
ถ้าเขามีโอกาสอีกครั้ง คงลงมือฆ่าเขาอย่างไม่ลังเล!
เขารู้ว่าตอนนี้อาจสายเกินไป แต่ความโกรธอันไร้ซึ่งที่ระบายมันสั่งให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง!
แต่สิ่งที่จิ้งจอกเงินไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเขาเตะเปิดประตูห้องของกู้เจียว สิ่งที่รอเขาอยู่กลับกลายเป็นห้องที่ว่างเปล่า
“หายไปไหนหมด”
“หมอ!”
ไม่มีหมออยู่ที่นี่
“ใต้เท้าขอรับ!” เหล่าทหารที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้เคียงเข้ามาตามเสียงและโค้งคำนับให้จิ้งจอกสีเงิน
“พวกมันหายไปไหนกันหมด” จิ้งจอกเงินเอ่ยเสียงแข็งพลางชี้นิ้วไปทางห้อง
ทหารที่โดนถามแสดงสีหน้างุนงง พลางตอบ “ใต้เท้าถามถึงหมอหรือขอรับ มิใช่ท่านหรือขอรับที่มีรับสั่งให้หมอถงไปรักษาองค์หญิงน่ะขอรับ”
“ข้าไปสั่งแบบนั้นตอนไหน…” จิ้งจอกเงินยังไม่ทันเอ่ยจบ พลันหันไปมองห้องที่ว่างเปล่า สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนหลังจากนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นเขาผลักร่างของทหารออกแล้วรีบกระทืบเท้าพุ่งตัวไปยังตำหนักของตัวเอง
พอเดินมาเกือบถึง เขาได้ยินความเคลื่อนไหวบางอย่าง และไม่นานเขาก็เห็นกลุ่มควันโขมงลอยขึ้นฟ้า
“เร็วเข้า เร็วเข้า! เอาน้ำมา!”
เป็นเสียงหัวหน้าทหารนายหนึ่งกำลังสั่งให้ลูกน้องวิ่งไปตักน้ำ สถานการณ์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จิ้งจอกเงินคว้าร่างของทหารที่กำลังไปตักน้ำมาซักถาม
ทหารคนนั้นทำหน้าผวา “ใต้เท้า! ไฟไหม้ตำหนักของท่านแล้วขอรับ!”
ตำหนักของเขาอย่างนั้นรึ
สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนพร้อมกับเขวี้ยงร่างของทหารคนนั้นให้กระเด็นไปไกล
ต้นเพลิงเริ่มมาจากห้องหนังสือของเขา ตอนแรกพวกทหารไม่ได้เอะใจจนกระทั่งไฟเริ่มลุกลามจนใหญ่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหรือของสำคัญต่างๆ ล้วนถูกเผาวอด
สมุดล่ะ
สมุดจารึกของราชวงศ์ที่สืบทอดรุ่นต่อรุ่น!
มรดกตกทอดอันล้ำค่าของวงศ์ตระกูลหวงฝู่!
รายนามทายาทของราชวงศ์ทุกคนจะถูกบันทึกไว้ในนั้น ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสืบหาตัวตนของพวกเขาได้!
หากไม่มีแล้ว ใครจะรู้ว่าลูกหลานของวงศ์ตระกูลที่เหลืออยู่ และใครจะรู้ว่าเขา หวงฝู่เจิง เป็นใครลำดับที่เท่าไหร่ของราชวงศ์!
ถ้าเป็นพระลัญจกรหยก หากสูญหาย ยังพอตามหาได้ หากชำรุด สามารถซ่อมแซมได้ แต่สำหรับสมุดที่จารึกลำดับวงศ์ตระกูลของราชวงศ์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี หากสูญไป จะไม่สามารถเรียกคืนได้อีกต่อไป
เหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สมุดที่ถูกทำลาย แต่เป็นลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลหวงฝู่
สิ้นแล้ว ลำดับวงศ์ตระกูลของราชวงศ์…
หวงฝู่เจิงเฝ้าดูเพลิงที่กำลังเผาผลาญสมบัติตระกูลของเขาทั้งหมดอย่างไม่เชื่อสายตา ทะเลแห่งความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งภายในใจ!
ร่างของเขาสั่นราวกับกำลังจะยืนไม่อยู่
เขาปฏิเสธที่จะยอมรับความคิดที่ปรากฏเข้ามาในหัวของเขา! ดาบในมือของเขาเริ่มสั่นเล็กน้อย!
“องค์หญิงล่ะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เขาเอ่ยถามทหารที่ยืนอยู่ด้านข้าง
นายทหารตอบ “องค์หญิงทรงออกไปแล้วขอรับ”
“ออกไปแล้วรึ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หวงฝู่เจิงย่นคิ้ว
“องค์หญิงตรัสว่าออกไปเดินเล่นขอรับ”
หวงฝูเจิงไม่เคยจำกัดเสรีภาพขององค์หญิงที่จะออกจากตำหนัก ตราบใดที่อยู่บนภูเขานางสามารถเดินเล่นได้อย่างอิสระ
แต่วันก่อน นางบอกเขาอยู่เลยว่าเท้าของนางมีปัญหา วันนี้กลับออกไปเดินเล่นได้แล้วอย่างนั้นรึ
หวงฝู่เจิงเพิ่งนึกที่ทหารลาดตระเวนเล่าได้ว่าองค์หญิงได้เรียกนายหมอถงมารักษานาง เขารีบมาเพราะเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เมื่อเขาเห็นไฟเขาก็ลืมว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่สิ เรื่องใหญ่สุดในตอนนี้คือสมุดของเขาถูกทำลายต่างหาก
ทว่าในเมื่อมันถูกเผาไปแล้ว เขามิอาจรวบรวมเศษซากของมันแล้วประกอบขึ้นใหม่ได้อีก
หวงฝู่เจิงมุ่งหน้าไปยังตำหนักขององค์หญิงหนิงอัน ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่หลังจากค้นหาอย่างระมัดระวัง เขาพบว่าตราของนางหายไปแล้ว รวมถึงขนมและอาหารแห้งบนโต๊ะก็หายไป
หวงฝู่เจิงค่อยๆ หรี่ตาลง หนิงอัน เจ้าอย่าได้คิดทรยศข้าเป็นอันขาด!
ขณะเดียวกัน ณ ป่าหลังภูเขา องค์หญิงหนิงอันซึ่งอยู่ในอาภรณ์เสื้อคลุมสีดำเกิดพลัดลื่นและล้มลงอย่างแรง
“องค์หญิง!” เหลียนเอ่อร์พยุงร่างของนางขึ้นมา
“ข้าไม่เป็นอะไร” องค์หญิงหนิงอันส่ายหัว
ทั้งองค์หญิง เหลียนเอ่อร์ หมอถง และกู้เจียว พวกเขาสี่คนกำลังเดินลัดเลาะป่าเขาพร้อมกับฝ่าลมหนาว
พวกเขาทั้งหมดล้วนสวมหน้ากาก
องค์หญิงหนิงอันมิใช่คนอ่อนแออย่างที่ใครเขาลือกัน อย่างน้อยวันนี้นางไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว
องค์หญิงอาศัยอยู่ที่ชายแดนอันขมขื่นมานานหลายปี และมักคลุกคลีกับคนเลี้ยงสัตว์ นางทั้งต้อนฝูงแกะ ขุดดินปลูกพืชผัก และทำงานหนักสารพัด มือของนางไม่ได้อ่อนนุ่มและเรียวยาวอีกต่อไป อีกทั้งใบหน้าก็โทรมไปตามสภาพอากาศ สูญเสียผิวใสราวหยกเนื่องจากโดนแดดบ่อย
แต่ความเป็นผู้ดีจากราชวงศ์ยังคงมีอยู่ในตัวนาง
“อ้ะ”
องค์หญิงลื่นล้มอีกครั้ง
สักพัก นายหมอถงก็ล้มตาม
ช่วยไม่ได้ พื้นหิมะหนาเกินไป
“องค์หญิง! ขึ้นหลังหม่อมฉันเถิดเพคะ!” เหลียนเอ่อร์เอ่ยอย่างเห็นใจ
องค์หญิงโบกมือปัด “เจ้าแบกข้าไม่ไหวหรอก ข้าตัวหนักเกินไป”
องค์หญิงเอ่ยพลางมองหันหลังกลับไปทางที่เดินมา
แม้จะเป็นเวลากลางคืน ภูเขาด้านหลังทั้งหมดก็ยังสว่างไสวเนื่องจากแสงจันทร์ที่สะท้อนจากหิมะขาว จนเผยให้เห็นพื้นหิมะที่เต็มไปด้วยรอยเท้าด่างๆ เต็มไปหมด
“รีบไปกันเถอะ ไม่นานพวกมันคงตามมาจนทัน!”
องค์หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
กู้เจียวนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันไปถามองค์หญิง “อุโมงค์ลับอยู่ที่ใด”
องค์หญิงหนิงอันค่อยๆ ยกมือที่เจ็บร้าวขึ้นแล้วชี้ไปทางด้านหลังป่า “ผ่านป่าดงนี้ไปจะเจอบ่อน้ำโบราณ ในนั้นมีอุโมงค์ลับซ่อนอยู่… ถ้าข้าจำไม่ผิดนะ”
ประโยคสุดท้ายทำเอาหนังตาของนายหมอถงกระตุก “ที่องค์หญิงตรัสว่าถ้าจำไม่ผิดนั้นทรงหมายความเช่นไรขอรับ ทรงจำได้หรือจำไม่ได้ขอรับ”
องค์หญิงเอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจ “ข้าแค่เคยเห็นแผนที่ทางลับที่อยู่ในห้องหนังสือก็เท่านั้น…คร่าวๆ นะ”
“เอ่อ…” หมอถงถึงกับพูดไม่ออก
แล้วถ้าทรงจำผิดขึ้นมาล่ะ เกิดพวกเขาหลงขึ้นมา ทุกอย่างจะไม่พินาศไปกว่าเดิมรึ