ตอนที่ 629 ปกป้องประตูทิศตะวันออก

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 629 ปกป้องประตูทิศตะวันออก

เซียวหรงเหยี่ยนกำหมัดที่แนบข้างลำตัวแน่น หันไปโค้งกายคำนับหลูผิง “องครักษ์หลูโปรดส่งคนไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของประตูวังหลวงทั้งสี่ทิศไว้ด้วย หากมีความเคลื่อนไหวใดๆ ให้พวกเขารีบไปรายงานให้คุณหนูใหญ่ไป๋ทราบทันที”

หลูผิงมองออกแล้วว่าเซียวหรงเหยี่ยนผู้นี้คงไม่ใช่คนธรรมดา ทว่า ครั้งนี้ชายหนุ่มทำเพื่อตระกูลไป๋ อีกทั้งได้รับความไว้วางใจจากคุณหนูใหญ่เป็นอย่างมาก หลูผิงจึงรับคำอย่างไม่ลังเล

แม่ทัพเสี่ยวหวังพาคนไล่ตามไป๋ชิงเหยียนไปสักพักจึงตระหนักได้ว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้มุ่งหน้าออกจากเมือง ทว่า หญิงสาวกำลังมุ่งหน้าไปที่จวนองค์รัชทายาทต่างหาก!

บริเวณโดยรอบของจวนองค์รัชทายาทเต็มไปด้วยทหารหน่วยตรวจเมือง หากพวกเขาไล่ตามไป๋ชิงเหยียนไปที่นั่นไม่เพียงไม่อาจสังหารไป๋ชิงเหยียนไม่สำเร็จ เขาอาจสูญเสียกำลังคนไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วย

เมื่อได้สติ แม่ทัพเสี่ยวหวังข่มความเจ็บปวดกระตุกบังเหียนม้าให้หยุดลง จากนั้นส่งสัญญาณมือให้ทหารหยุดไล่ตาม ขอเพียงองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ออกไปจากเมืองหลวง หญิงสาวก็จะไม่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือคุ้มกันประตูเมืองทั้งสี่ทิศให้แน่นหนา ห้ามให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วออกจากเมืองไปได้เด็ดขาด เขาตระหนักรู้เรื่องนี้ดี คนของซิ่นอ๋องก็คงรู้ดีเช่นเดียวกัน

บัดนี้ไม่มีโอกาสสังหารไป๋ชิงเหยียน พวกเขาควรรีบกลับไปซ่อนตัวในตอนที่ยังไม่ถูกจับได้ รอเวลาที่ซิ่นอ๋องและองค์รัชทายาทต่อสู้กันจนไม่มีกำลังเหลือแล้ว พวกเขาค่อยลงมือ!

แม่ทัพเสี่ยวหวังใช้มือกุมบาดแผลที่เลือดสดไหลทะลักออกมาไม่หยุด กล่าวเสียงรอดไรฟัน “ส่งคนไปบอกให้ทหารที่มุ่งหน้าไปยังประตูทิศตะวันออกถอยทัพกลับมา”

กล่าวจบ แม่ทัพเสี่ยวหวังขี่ม้าย้อนกลับไปทางเดิม

วันนี้ถนนของเมืองหลวงเงียบสงบไร้ผู้คน ชาวบ้านต่างหลบอยู่ในบ้านของตัวเองเพราะกลัวจะถูกลูกหลงไปด้วย

ถนนสายยาวที่ปกติครึกครื้นที่สุดบัดนี้เงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เงาของมนุษย์สักคน ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง บรรดาบ้านเรือนต่างๆ ล้วนมืดสนิท ชาวบ้านและพ่อค้าต่างไม่กล้าจุดไฟในบ้านของตัวเอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงสู้รบและเสียงอาวุธกระทบกันดังมาจากวังหลวง ต่อมาประตูทิศตะวันออกก็เกิดเสียงสู้รบกันขึ้นอย่างกะทันหัน บรรดาชาวบ้านต่างหลบอยู่ในห้องเดียวกันในบ้านของตัวเองทั้งครอบครัว พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง กลัวว่าหากเกิดเสียงขึ้น เหล่าทหารจะรับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเขา

เหตุใดเมืองหลวงถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้นะ

ทุกคนเดาไม่ออกว่าผู้ใดเป็นคนก่อความวุ่นวาย ยิ่งคาดการณ์ไม่ได้ว่าหากผู้ที่ก่อความวุ่นวายชนะศึกครั้งนี้ ผู้ชนะจะสังหารทุกคนไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านอย่างพวกเขาหรือไม่

แม่ทัพเสี่ยวหวังหน้าซีดเพราะเสียเลือดมาก เขายังไม่ทันพาทหารกลับไปยังที่ซ่อนตัวก็ได้ยินว่าทหารกองทัพหนานตูที่เขาส่งไปดักไป๋ชิงเหยียนที่ประตูเมืองทิศตะวันออกปะทะกับทหารคุ้มกันเมือง พวกเขาขอให้แม่ทัพเสี่ยวหวังไปเสริมทัพ

ก่อนหน้านี้เสียนอ๋องได้ข่าวว่าคนของซิ่นอ๋องควบคุมประตูเมืองทั้งสี่ทิศไว้แล้วเพราะซิ่นอ๋องต้องป้องกันทหารค่ายผิงอันสองหมื่นนายที่อยู่นอกเมือง ดังนั้นคนที่แม่ทัพเสี่ยวหวังส่งไปล้วนแต่งกายเป็นคนของซิ่นอ๋อง

ทว่า เขานึกไม่ถึงเลยว่าคนขององค์รัชทายาทจะลอบเข้าไปแทนที่คนของซิ่นอ๋องอย่างเงียบเชียบเช่นนี้ เมื่อได้ยินว่าคนของซิ่นอ๋องมาดักรอไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่นี่ แม่ทัพคุ้มกันเมืองจึงสั่งให้คนตัดศีรษะของรองแม่ทัพของแม่ทัพเสี่ยวหวังทันที จากนั้นสั่งให้ทหารคุ้มกันประตูเมืองจับพวกกบฏไว้ทั้งหมด ประตูเมืองทางทิศใต้จึงเกิดการปะทะกันขึ้น

เมื่อแม่ทัพเสี่ยวหวังได้ยินดังนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องกำลังแย่ลงเรื่อยๆ …

หากทหารกองทัพหนานตูถูกจับเป็น พวกเขาต้องซักทอดไปถึงเสียนอ๋องอย่างแน่นอน แม่ทัพเสี่ยวหวังขบกรามแน่น พาทหารพลธนูหนึ่งร้อยนายมุ่งหน้าไปยังประตูทิศตะวันออก

แม่ทัพเสี่ยวหวังเห็นซากศพ กองเลือด เปลวไฟ เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วบริเวณประตูเมืองทิศตะวันออก

เมื่อเห็นทหารกองทัพหนานตูถูกล้อมอยู่ตรงกลาง แม่ทัพเสี่ยวหวังกัดฟันกรอดพลางตะโกนลั่น “พลธนูเตรียมพร้อม!”

พลธนูหยุดฝีเท้าลงทันที พวกเขาง้างสายธนูไปทางประตูเมืองทิศตะวันออกโดยพร้อมเพรียงกัน

แม่ทัพคุ้มกันประตูเมืองไม่ใช่คนอ่อนแอ เมื่อครู่เขาเห็นทหารเหล่านี้มุ่งหน้ามาทางประตูทิศตะวันออกอย่างมาดร้าย เขาจึงเตรียมพร้อมรับมืออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นผู้มาเยือนง้างสายธนูราวกับจะกำจัดพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียวกัน เขาจึงตะโกนลั่น “ถอย! เตรียมโล่กำบัง! พลธนูเตรียมพร้อม!”

“ท่านแม่ทัพ!” ทหารข้างกายของแม่ทัพเสี่ยวหวังตะโกนออกมาอย่างตกใจ “ในนั้นมีสหายของพวกเราอยู่ด้วยนะขอรับ!”

แม่ทัพเสี่ยวหวังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดวงตาทั้งสองข้างแดงฉาน ตวาดลั่น “ยิง!”

หากช่วยไม่ได้ก็ต้องสังหารทิ้งทั้งหมด จะปล่อยให้ทหารเหล่านั้นถูกจับตัวไปเป็นพยาน ทำลายแผนการของเสียนอ๋องไม่ได้เด็ดขาด

ทหารคุ้มกันเมืองถอยหนีอย่างรวดเร็ว ทหารกองทัพหนานตูเห็นแม่ทัพเสี่ยวหวังมาจึงคิดว่าชายหนุ่มมาเพื่อช่วยพวกเขา เมื่อทหารคุ้มกันเมืองถอยหนี พวกเขาจึงรีบวิ่งไปทางแม่ทัพเสี่ยวหวังทันที ผู้ใดจะคิดว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือลูกธนูจากสหายร่วมกองทัพเดียวกัน

ทหารคุ้มกันเมืองที่หลบไปอยู่ด้านหลังโล่กำบังไม่ทันก็ถูกธนูปักเข้าที่อกเช่นเดียวกัน พวกเขาข่มความเจ็บปวดรีบคลานหลบไปอยู่หลังโล่กำบัง

เมื่อพลธนูชุดแรกของกองทัพหนานตูยิงธนูเสร็จ ชุดที่สองรีบเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว…

ในที่สุดแม่ทัพเสี่ยวหวังก็ทนทำร้ายพวกเดียวกันต่อไปไม่ไหว เขาชูมือขึ้นสูง กำหมัดแน่น ตวาดใส่บรรดาทหารกองทัพหนานตูที่ไม่กล้าวิ่งเข้ามาเสียงดังลั่น “มัวรีรออันใด! รีบหนีเร็ว!”

กองทัพหนานตูได้สติ รีบวิ่งเข้าไปหาแม่ทัพเสี่ยวหวัง

พลธนูที่หลบอยู่หลังโล่กำบังง้างสายธนูเต็มเหนี่ยว…

แม่ทัพคุ้มกันประตูเมืองมองไปยังแม่ทัพเสี่ยวหวังนิ่ง ทว่า เขานึกไม่ออกว่าแม่ทัพผู้นี้คือแม่ทัพคนใดในกองกำลังทหารรักษาพระองค์ เขาตะโกนเสียงดังลั่น “ยิงธนู!”

สิ้นเสียง พลธนูผุดลุกขึ้นยืน โผล่หน้าออกมาจากโล่ จากนั้นยิงธนูไปยังกองทัพหนานตู

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังระงมไปทั่วท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆทึบ

แม่ทัพเสี่ยวหวังเห็นเหตุการณ์จึงหันม้ากลับ “ทุกคนที่ยังรอดชีวิตรีบตามข้ามาบัดนี้! ถอยทัพ!”

กล่าวจบ แม่ทัพเสี่ยวหวังนำทัพหนานตูหนีเข้าไปในซอย

ทหารคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านล่างกำแพงเอ่ยถามแม่ทัพคุ้มกันเมือง “ท่านแม่ทัพ ตามไปหรือไม่ขอรับ”

แม่ทัพคุ้มกันเมืองส่ายหน้า “หน้าที่หลักของพวกเราคือคุ้มกันประตูเมืองตะวันออก คนของซิ่นอ๋องหนีไปได้ ไม่แน่พวกเขาอาจวกกลับมาอีก! ส่งคนไปเก็บกวาดสนามรบ ดูว่ามีคนรอดชีวิตหรือไม่ หากมีจงจับตัวมาให้ข้า นั่นคือหลักฐานในการก่อกบฏของซิ่นอ๋อง! คนที่เหลือรีบขึ้นมาบนกำแพงเมือง เตรียมธนูให้พร้อม!”

“ขอรับ!”

ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนไปถึงจวนองค์รัชทายาท รอบจวนขององค์รัชทายาทถูกหน่วยตรวจเมืองคุ้มกันอย่างแน่นหนาประหนึ่งต้องการคุ้มกันองค์รัชทายาทให้ปลอดภัยด้วยชีวิต ฟ่านอวี๋ไหวยืนถือดาบนิ่งอยู่หน้าประตูจวนองค์รัชทายาทราวกับเทพพิทักษ์ประตู

เมื่อได้ยินเสียงม้าเข้ามาใกล้ ฟ่านอวี๋ไหวรีบสั่งให้พลธนูเตรียมพร้อม

เมื่อเห็นชัดว่าผู้ที่ถูกองครักษ์เก้านายถือคบเพลิงคุ้มกันอยู่ตรงกลางคือไป๋ชิงเหยียนในร่างสวมชุดเกราะ ฟ่านอวี๋ไหวรีบสั่งให้คนลดธนูลง เขาเดินลงมาจากบันไดสูง ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ!”

ฟ่านอวี๋ไหวรู้ว่าหน้าประตูจวนองค์รัชทายาทไม่ใช่ที่เหมาะสมสำหรับการสนทนา ยิ่งรู้ดีว่าบัดนี้ไป๋ชิงเหยียนคือคนสำคัญขององค์รัชทายาท ตอนที่เมืองหลวงเกิดเรื่องขึ้น ไป๋ชิงเหยียนคืนคนคุ้มกันองค์รัชทายาทกลับมายังเมืองหลวง

ฟ่านอวี๋ไหวเชิญไป๋ชิงเหยียนเข้าไปในจวนองค์รัชทายาท

ก่อนองค์รัชทายาทจะเดินทางออกไป พระองค์ส่งคนไปบอกให้ไป๋ชิงเหยียนรีบออกจากเมืองหลวงไปนำทัพทหารค่ายผิงอันสองหมื่นนายเข้ามาในเมือง ฟ่านอวี๋ไหวเห็นไป๋ชิงเหยียนมาที่จวนเร็วถึงเพียงนี้จึงรู้ทันทีว่าหญิงสาวคงคลาดกับคนขององค์รัชทายาท

ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า ยกมือที่ถือแส้ม้าสีดำคารวะฟ่านอวี๋ไหว “ไป๋ชิงเหยียนขอเข้าพบองค์รัชทายาท!”

เมื่อเดินเข้าไปในจวน ฟ่านอวี๋ไหวจึงกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา “องค์รัชทายาทเสด็จเข้าไปในวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”