บทที่ 644 ความปีติในตัวของมารดา

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 644 ความปีติในตัวของมารดา

บทที่ 644 ความปีติในตัวของมารดา

“งั้นข้าขอตัว” ครั้นเห็นซวีจ้าวจากไป หลินจื้อก็กุมมือของไป๋หรูปิง หากไม่ใช่เพราะศิษย์น้องขวางเขาไว้ เกรงว่าเขาต้องบุกไปทูลถามองค์รัชทาทายาทให้กระจ่างแน่

“ศิษย์พี่ ท่านสงบจิตใจสงบใจลงก่อนได้หรือไม่?”

“ข้าไม่เป็นไร ศิษย์น้อง ข้าทำให้เจ้าเป็นห่วง” ครั้นเห็นท่าทางเป็นกังวลของไป๋หรูปิง หลินจื้อก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในหัวใจ

เมื่อครู่เขาคงเป็นห่วงเอ้อเป่ามากเกินไป จนลืมศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายไปโดยสิ้นเชิง เขาไม่ดีเอง

“ไม่เป็นไร เอ้อเป่าก็เป็นน้องสาวของข้า ข้าเข้าใจได้” ไป๋หรูปิงเห็นเอ้อเป่านอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงก็พลันปวดใจ นับประสาอะไรกับหลินจื้อ

ดังนั้นยามที่หลินจื้อเดินออกมาข้างนอก นางจึงรีบไล่ตามมาเพราะกลัวว่าหลินจื้อจะทำเรื่องที่ไร้เหตุผล

“ในเมื่อเราตามหาฐานลับซ่อนตัวของคนเหล่านั้นเจอแล้ว ถึงคราวที่เราต้องสั่งสอนบทเรียนราคาแพงให้พวกเขาเสียบ้าง ตอนนี้ข้าต้องกลับห้องไปเขียนพระราชกฤษฎีกา และให้คนนำเข้าวังไปถวายแด่องค์จักรพรรดิเสียคืนนี้ ศิษย์น้อง ถ้าเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ช่วยไปเยี่ยมเอ้อเป่าแทนข้าได้หรือไม่?”

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไป๋หรูปิงไม่มีทางปฏิเสธความต้องการของหลินจื้ออย่างแน่นอน

วันที่สอง องค์จักรพรรดิได้ออกพระราชโองการ ให้กวาดล้างโจรเหล่านั้นให้สิ้นซาก

ขุนนางในราชสำนักตกอยู่ในอันตรายชั่วคราว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายเกลือ แต่โจรที่มาคบค้าสมาคมกับพวกเขาในครานี้ไม่นับว่าน้อยนัก

ไม่มีใครในราชสำนักที่จะบริสุทธิ์ใจจริง ๆ เลยหรือ? ขุนนางที่ถูกบุกค้นจวนก่อนหน้านั้นต่างถูกเนรเทศ ดังนั้นตอนนี้เหล่าขุนนางที่เหลืออยู่ จึงยิ่งไม่กล้าที่จะจาบจ้วงอำนาจขององค์จักรพรรดิ

เนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นหายนะที่เกิดขึ้นโดยความผิดพลาดขององค์รัชทายาท เหยาเฉาเจ้ากรมเมืองจิงจ้าวต้องให้การช่วยเหลือ ทั้งยังต้องการให้องค์รัชทายาทเสด็จมาขออภัยถึงที่ เรื่องนี้ถึงจะสามารถปิดฉากจบแค่ภายในราชสำนักได้

องค์รัชทายาทพาคนออกตามหาในเมืองไปตลอดทาง แม้ว่าจะมีที่ซ่อนตัวของพวกเขา แต่ถ้าบุกเข้าไปโดยตรงอาจจะแหวกหญ้าให้งูตื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในตอนที่มาถึงเรือนพักพิงนั้น คนที่รับผิดชอบดูแลเรือนพักพิงได้ออกมา

“ท่านขุนนาง ในเรือนพักพิงแห่งนี้มีแต่ผู้สูงวัย สตรีและเด็กเล็ก คงไม่ต้องบุกค้นหรอกกระมัง?”

“พระราชโองการขององค์จักรพรรดิใครเลยจะกล้าขัด อย่าว่าแต่ผู้สูงวัย สตรีและเด็กเล็กที่อาศัยอยู่ที่นี่เลย ต่อให้ไม่มีใคร เราก็ต้องเข้าไปตรวจการอย่างละเอียด ยินยอมให้เราบุกค้นเถิด!”

ครั้นโพล่งประโยคนี้ออกมา คนในเรือนพักพิงก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีก

ปกติแล้วพวกเขาไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงขุนนางและทหารผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมในวันนี้ ใครเลยจะกล้าขัดขวาง?

อีกด้านหนึ่งของเรือนพักพิง ครั้นมีคนได้ยินข่าวลือก็เตรียมตัวหนี จึงระดมคนเพื่อหนีออกทางประตูหลัง ใครเลยจะรู้ว่าหลังจากก้าวพ้นประตูหลังได้ไม่นาน ก็เจอกับซวีจ้าวและเหยาเอ้อหลางที่ยืนรอพวกเขาอยู่ทางประตูหลังแล้ว

ทุกอย่างมันชัดเจน ว่าพวกเขารออยู่ที่นี่นานแล้ว

เวลานี้โจรเหล่านั้นจึงตระหนักได้ว่าตัวเองติดกับเข้าแล้ว ถ้าพวกเขาอยู่ในเรือนพักพิง ซึ่งในเรือนพักพิงเต็มไปด้วยผู้สูงวัย สตรีและเด็กเล็กมากมาย พวกเขาไม่กล้าทำการบุ่มบ่ามแน่นอน ตอนนี้มีแต่พวกตัวเองไม่กี่คน ย่อมถูกเหยาเอ้อหลางรวบตัวได้ในคราวเดียว

แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังคิดไม่ออก เหยาเอ้อหลางรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาอยู่ในเรือนพักพิง ซึ่งพวกเขาไม่คิดว่าพี่น้องของตัวเองจะทรยศหักหลังแน่นอน

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่องค์จักรพรรดิได้ทรงมอบหมายสมบูรณ์แล้ว สภาพจิตใจของเหยาเอ้อหลางก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

ตอนนี้ญาติผู้น้องไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ถือว่าเขาได้แก้แค้นให้ญาติผู้น้อง ด้วยการจับคนเหล่านั้นกลับมาเมืองจิงจ้าวได้แล้ว กระทั่งได้รับข่าวคราวจากเหยาเฉาทางนั้น

หลังผ่านการไต่สวน จึงได้รู้ว่าผู้บ่งการของเรื่องนี้คือเหลียงรุ่ยขุนนางขั้นสองผู้ดูและครอบครองห้าเมืองใหญ่

เริ่มต้นด้วยการที่เจี่ยงเถิงและหลินซือถูกไล่ล่าในขณะที่ลาดตระเวนอยู่ข้างนอก สาเหตุมาจากคำสั่งการของผู้บ่งการที่อยู่ในที่ลับ ต่อมาเรื่องที่มีราษฎรถูกฆ่าตายในเมืองจิงจ้าวและสตรีที่พยายามจะผันตัวเองให้กลายเป็นพระชายาในองค์รัชทายาทผู้นั้นต่างได้รับการฝึกฝนโดยคนที่เหลียงรุ่ยจัดไว้ ใครเลยจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วทุกอย่างจะอยู่เหนือการควบคุมของเหลียงรุ่ย

ดังนั้นจึงถูกตัดหางปล่อยวัดในท้ายที่สุด เหลียงรุ่ยคาดไม่ถึงว่าตัวเองผู้ซึ่งปกครองเมืองมาเนิ่นนานเพียงนี้ จะจบลงเพราะเงื้อมมือของสตรีนางเดียว

หลังจากจับเหลียงรุ่ยได้ ลูกสมุนคนอื่นต่างค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ

เวลานี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจิงจ้าวก็ได้ปิดฉากลงในที่สุด พวกแมลงที่ชอนไชอยู่ในราชสำนักต่างถูกกำจัดไปทีละคน

บัดนี้หลินซือฟื้นแล้ว แต่เจี่ยงเถิงกลับยังสลบไสล

ช่วงเวลานี้จะมีไป๋หรูปิงคอยดูแลหลินซืออยู่ข้างกายไม่ห่าง ตอนนี้หลินซือฟื้นแล้ว เหยาซูจึงไม่อยากรบกวนให้ไป๋หรูปิงมาดูแล เลยให้หลินจื้อพาไป๋หรูปิงไปเดินเล่น ถือว่าเป็นการชดเชยละกัน

อีกด้านหนึ่ง เพราะเรื่องงานแต่งของหลินจื้อและไป๋หรูปิงที่ใกล้เข้ามา ตอนนี้จึงอยากให้เด็กทั้งสองคนได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เพื่อที่ว่าในงานแต่งพวกเขาจะได้ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้นบ้าง

หลินจื้ออยากถือโอกาสช่วงเวลานี้อยู่กับไป๋หรูปิงให้ได้มากที่สุด ย่อมไม่ขัดต่อข้อเสนอของเหยาซูแน่นอน

ส่วนไป๋หรูปิง ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ ใบหน้าก็พลันแดงระเรื่อเหมือนกับผลแอปเปิลเล็กน้อย ซึ่งนางก็ปฏิเสธไม่ได้

“ศิษย์น้อง ก่อนหน้านั้นข้าต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยดูแลเอ้อเป่าอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าเอ้อเป่าคงไม่มีทางฟื้นเร็วเช่นนี้” หลินจื้อคว้ามือของไป๋หรูปิงมากุมไว้อย่างเบามือ แล้วมองนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เขาและศิษย์น้องผู้นี้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อไป๋หรูปิงมันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร แต่คราที่แล้วไป๋หรูปิงเกือบจะได้ออกเรือนกับผู้อื่น จึงทำให้หลินจื้อได้รู้ใจของตัวเองว่าอยากครอบครองไป๋หรูปิง

เดิมที เขายอมรับว่าศิษย์น้องผู้นี้คือว่าที่ภรรยาในอนาคตของตัวเองนานแล้ว เพียงแต่เขาไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเท่านั้น

“ข้าแค่อยากช่วยท่านป้าเท่านั้น ความจริงแล้วท่านป้าคือคนที่ลำบากที่สุด” ไป๋หรูปิงพูดความจริง

นางรู้สึกว่าเหยาซูเก่งที่สุดมาโดยตลอด ไม่เพียงแต่ต้องดูแลกิจการข้างนอกอย่างดีแล้ว ยังต้องดูแลทุกคนในบ้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่องอีกด้วย ถ้าเป็นนางเกรงว่าคงทำไม่ได้

หลังจากที่หลินซือเกิดเรื่องในครานี้ เหยาซูจึงยิ่งดูแลหลินซือใกล้ชิดไม่ห่างทุกวัน พูดคุยกับหลินซือ บางครั้งก็ลงไปกำกับการต้มยาของสาวใช้ด้วยตัวเอง ป้องกันไม่ให้เลยเวลา จนทำฤทธิ์ยาเสื่อมประสิทธิภาพ

แม้ว่าจะฟังดูง่าย แต่เวลาทำมันไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อย เหมือนร้านหยกอวี้ฝู เพราะมีการสนับสนุนของป้าซู ดังนั้นร้านหยกอวี้ฝูของพวกนางจึงเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังประสบกับความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นการตามหาแร่หยกหรือช่างฝีมือล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก่อนหน้านั้นป้าซูก็ยอมแบกทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนบ่าของตัวเอง

ความเพียรพยายามนี้ เป็นสิ่งที่นางไม่เคยมีมาก่อน แต่ตอนนี้ นางได้เห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวของเอ้อเป่า ดังนั้นจึงได้ใกล้ชิดกับเอ้อเป่ามากขึ้น

ดังนั้น ไป๋หรูปิงจึงเต็มใจดูแลหลินซืออย่างจริงใจ และตอบตกลงแต่งงานกับหลินจื้อหลังจากที่ได้เข้าใจหลินจื้อมากขึ้น เป็นครอบครัวเดียวกับเขา หากได้อยู่กับครอบครัวเช่นนี้ เชื่อว่านางจะมีความสุขในตระกูลหลินอย่างแน่นอน

“ช่วงนี้นางคงเหนื่อยมาก แต่ข้ารู้สึกได้ถึงความปีติในตัวนาง” หลินจื้อไม่รู้ว่ามารดาของตนนั้นเหนื่อยอย่างไร