หัวหน้าผู้อาวุโสไม่ได้พูดอะไรออกมา บรรยากาศภายในห้องเงียบลงชั่วคราว
เป็นความเงียบที่แปลกประหลาด
อาหลานเอาแต่มองสำรวจเจียงซื่อ สายตาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดหัวหน้าผู้อาวุโสก็เอ่ยปากพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮวาบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้าป่วยหนัก ไม่สะดวกที่จะออกมาปรากฏตัวต่อหน้าคนในเผ่า เช่นนั้นจึงขอให้เจ้ารับช่วงเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ชั่วคราว เพิ่มขวัญกำลังใจให้คนในเผ่า”
เจียงซื่อพยักหน้ารับเบาๆ
“ก็ดี สองสามวันนี้ข้าจะบอกเรื่องสำคัญที่ต้องพูดให้เจ้าฟัง รอหลังจากเทศกาลซินหั่วเจ็ดวัน เจ้าก็ออกไปแสดงตัวเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ต่อหน้าคนในเผ่า รับหน้าที่ในการจุดไฟ…” หัวหน้าผู้อาวุโสพูดจบ ก็เอ่ยถามเจียงซื่อด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เข้าใจหรือไม่”
เจียงซื่อพยักหน้าลงอีกครั้ง ตอบออกไปสั้นๆ และกระชับ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
สำหรับหัวหน้าผู้อาวุโสของเผ่าอูหมียว นางไม่อาจทำอะไรตามอำเภอใจมากเกินไปได้
นางซาบซึ้งในตัวหญิงชราตรงหน้าท่านนี้ และระมัดระวังหญิงชราตรงหน้านี้ด้วยเช่นกัน
หากอยากจะกักนางไว้ในเผ่าอูเหมียว ผู้อาวุโสฮวานั้นทำได้ยาก ทว่าหัวหน้าผู้อาวุโสกลับมีอุบายเยอะกว่า
“อาหลานเจ้าพา…สตรีศักดิ์สิทธิ์ไปพักผ่อนเถอะ”
อาหลานหันขวับมองหัวหน้าผู้อาวุโส ทำปากขมุบขมิบเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่พูดจากนั้นทำความเคารพหัวหน้าผู้อาวุโส แล้วเอ่ยพูดกับเจียงซื่อออกไป “ตามข้ามาเถอะ”
หัวหน้าผู้อาวุโสขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยเตือน “อาหลาน ระวังกิริยาท่าทางที่ปฏิบัติต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ด้วย”
อาหลานรู้สึกกลัวขึ้นมา ขานรับออกไปอย่างว่านอนสอนง่ายด้วยสีหน้าเคารพนับถือ “เชิญสตรีศักดิ์สิทธิ์ตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าอาหลานจะดูถูกหรือเคารพ สีหน้าของเจียงซื่อก็ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เดินตามออกไปข้างนอก
“ช้าก่อน” หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยปากพูดออกมาอีกครั้ง
เจียงซื่อหยุดกึก
หัวหน้าผู้อาวุโสเดินมาตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว ยื่นนิ้วชี้จิ้มลงตรงกลางระหว่างคิ้วของนาง
มีความรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย จากนั้นไฝเม็ดแดงก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้ว
อาหลานรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา มองจ้องไฝแดงเล็กๆ เม็ดนั้นไม่วางตา
เมื่อสตรีตรงหน้ามีไฝแดงเม็ดนี้ ถ้าหากไม่ได้เห็นกับตาว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จากโลกนี้ไป นางคงคิดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงหน้านางจริงๆ
“ไปเถอะ” หัวหน้าผู้อาวุโสโบกมือไล่
เมื่อเจียงซื่อออกไป สีหน้าหัวหน้าผู้อาวุโสก็ซับซ้อนขึ้นมา เอ่ยพูดท่ามกลางกลิ่นหอมที่อบอวลเต็มห้องขึ้นมาช้าๆ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าที่เมืองหลวงของต้าโจวมีสตรีนางหนึ่งที่เหมือนอาซังทุกอย่าง ข้าก็ยังมีความสงสัยอยู่ แต่พอวันนี้ได้เห็นกับตากลับพบว่านางดูเหมือนอาซังอีกคนเลย”
ผู้อาวุโสฮวาพยักหน้า “ใช่ ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือนางเข้าใจภาษาอูเหมียว ครั้งแรกที่เจอกันตอนอยู่เมืองหลวง ข้านึกว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์มาหาจริงๆ”
หัวหน้าผู้อาวุโสนิ่งเงียบขึ้นมา
อาซังตายไปสามปีกว่าแล้ว
สามปีมานี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าคนในเผ่าเลย คนในเผ่ารวมไปถึงคนนอกเริ่มเดากันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะช่วงนี้ มีคนลุกฮือพูดกันว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอูเหมียวไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว จึงทำให้เผ่าอูเหมียวสั่นคลอน
ทว่าตั้งแต่แรกการตายของสตรีศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแค่นางกับอาหลานเท่านั้นที่รู้จนถึงตอนนี้ก็ไม่อาจให้ผู้อาวุโสฮวาและคนอื่นๆ รู้ได้ จนกว่าจะหมดหนทางแล้วจริงๆ
หญิงสาวที่เกิดมาเหมือนอาซังขนาดนี้ คงเป็นเทพมากอบกู้อูเหมียวไว้จริงๆ
หัวหน้าผู้อาวุโสคุกเข่าลงแสดงความเคารพไปยังทิศทางใดทางหนึ่ง
ผู้อาวุโสฮวาคุกเข่าตามลงไปด้วย
สถานที่บำเพ็ญตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังอยู่ไม่ห่างจากที่พักผู้อาวุโสฮวามากนัก เจียงซื่อเดินตามอาหลานไปไม่นานก็ถึง
อาหลานผลักประตูออกแล้วหยุดลง เอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา “นี่เป็นห้องของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
เจียงซื่อกวาดตามองสำรวจ
ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่มีใครอยู่มานาน ทว่ากลับทำความสะอาดได้อย่างหมดจด
เจียงซื่อนั่งลงข้างโต๊ะ
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลไม่ใช่แค่พักหนึ่งหรือสองวันก็สามารถฟื้นกลับมาปกติได้ อีกอย่างนางรู้สึกกังวลมาตลอดทางจึงยิ่งทรมาน
อาหลานเห็นเข้าก็โมโขึ้นมาทันที ตะเบ็งเสียงลั่น “ใครให้เจ้านั่ง”
เจียงซื่อเหลือบตามองอาหลานด้วยท่าทีนิ่งสงบ
การที่นางไม่แยแสยิ่งทำให้อาหลานโมโหยิ่งขึ้น เอ่ยพูดอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตัวจริงหรือ ข้าจะบอกให้นะ เจ้าเป็นเพียงแค่ตัวแทนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ประพฤติตัวตามที่หัวหน้าผู้อาวุโสสั่งแล้วทำหน้าที่ให้เสร็จก็แค่นั้น ทั้งโต๊ะ เก้าอี้และของใช้ทั่วไปในที่พักของสตรีศักดิ์สิทธิ์ อย่าได้ขยับตามอำเภอใจ…”
เจียงซื่อฟังด้วยสีหน้าราบเรียบ
อาหลานมีความรู้สึกอับอายขายหน้าที่โมโหพูดเองเออเอง สายตาที่มองเจียงซื่อเยือกเย็นยิ่งขึ้น “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดรึ”
เจียงซื่อรินชาแล้วส่งให้ “แม่นางอาหลาน ไม่จำเป็นต้องโมโหขนาดนี้ ดื่มชาให้ใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยคุยกับข้าดีๆ เถิด”
เนื่องจากต้องรักษาความเป็นระเบียบเพื่อลวงตาว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังยังอยู่บนโลกนี้ องศาของสิ่งของทุกอย่างจึงเหมือนกับตอนที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ยังมีชีวิตอยู่ทุกระเบียดนิ้ว
น้ำชาในกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะยังคงอุ่นอยู่ ถือว่าเป็นชาอบมะลิที่ดิทีเดียว
คิ้วที่โค้งสวยของอาหลานตั้งตรง เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “ใครให้ขยับน้ำชา เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดเลยสักคำ…”
คำพูดต่อจากนั้นหยุดลงกะทันหัน ถ้วยน้ำชาอุ่นๆ ในมือของเจียงซื่อสาดลงบนหน้าอาหลานจนเกลี้ยง
ใบชาเลอะทั้งหน้าทั้งหัวของนาง น้ำชาไหลย้อยลงมาตามใบหน้าหน้าที่ขาวผ่อง ดูก็รู้เลยว่าน่าเวทนาแค่ไหน
ชั่วขณะนั้น อาหลานลืมโต้ตอบไปชั่วขณะ ได้แต่ยืนนิ่งมองเจียงซื่อด้วยความตะลึง
เจียงซื่อวางถ้วยน้ำชาเปล่าลงบนโต๊ะด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เอ่ยพูดอย่างใจเย็น “บอกแต่แรกแล้วว่าให้ดื่มชาแล้วใจเย็นลงก่อน ทว่าแม่นางอาหลานกลับไม่ไว้หน้ากันเลย ข้าจึงต้องทำให้แทน”
อยากจะทำเช่นนี้แต่แรกแล้ว!
ชาติภพที่แล้วมักจะรู้สึกเสมอว่าตัวเองได้ตำแหน่งเจ้านายของพวกนางมา จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตน สุดท้ายก็ไม่ได้แสดงท่าทางเช่นนี้ออกมา คิดดูก็รู้สึกคับอกคับใจ
สักพักอาหลานถึงรู้สึกตัว ชี้หน้าเจียงซื่อ “เจ้า เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ”
เจียงซื่อไม่ขยับเขยื้อน นั่งอยู่ที่เก้าอี้พลางเงยหน้าสบตากับอาหลาน
อาหลานแสดงออกว่าอยู่ในภาวะที่ได้เปรียบอย่างชัดเจน ทว่าบรรยากาศที่ออกมากลับไม่สะทกสะท้านต่ออีกฝ่ายเลย
เจียงซื่อเอนหลังพิงกับเก้าอี้ ท่าทางเกียจคร้าน “แม่นางอาหลานนี่เจ้ายังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกหรือ หัวหน้าผู้อาวุโสของพวกเจ้าเป็นคนเชิญข้ามา เผ่าเจ้าเป็นคนขอร้องข้าเอง ไม่ใช่ข้าเสนอหน้ามาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์บ้าบออะไรนี่สักหน่อย!”
อาหลานหน้าซีดเผือดลงทันควัน โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม “เจ้า เจ้ากล้าดูถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์…”
“ดูถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ” เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง “ตอนนี้คนที่โหวกเหวกโวยวายใส่สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เจ้าหรอกรึ”
อาหลานถูกถามจนอึ้งไปเลย จากนั้นน้ำเสียงก็หดหู่ลง “แต่ว่าเจ้ามันตัวปลอม…”
เจียงซื่อแค่นเสียงหัวเราะพลางลุกขึ้น ผลักบานประตูออกอย่างแรง “เช่นนั้นเจ้าออกไปตะโกนข้างนอกดูสิ บอกว่ามีคนสวมรอยเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ให้คนในเผ่าของพวกเจ้าไล่ข้าที่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอมออกไปก็ได้แล้ว”
อาหลานตกใจจนสีหน้าไรเลือดฝาด รีบปรี่เข้าไปปิดประตูห้อง จากนั้นก็เอาหลังดันประตูไว้ เอ่ยพูดน้ำเสียงหวาดกลัว “เจ้าทำอะไรน่ะ ถ้าหากเรื่องนี้หลุดออกไปเจ้ารู้ผลที่จะตามมาหรือไม่”
เจียงซื่อมองจ้องอาหลาน ยิ้มหวานออกมา “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันเกี่ยวข้องอะไรกับคนต้าโจวอย่างข้ากัน”
แค่ย้อนถามประโยคเดียวทำเอาอาหลานพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
เจียงซื่อยิ้มออกมาอย่างไม่เป็นมิตร “เช่นนั้นตอนนี้แม่นางอาหลานเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่”
“ข้า ข้า…” เพิ่งจะเตือนสตรีตรงหน้านี้ไปเองว่าอย่าได้ลำพองใจที่เกิดมาหน้าตาเหมือนสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่จะได้ไม่คิดอยากได้อะไรที่ไม่ใช่ของตน ทว่าสุดท้ายกลับถูกอีกฝ่ายบังคับจนไร้ทางสู้กลับ ภายในลำคอของอาหลานราวกับมีผ้าฝ้ายติดอยู่ ถูกตอกหน้าหงายจนพูดอะไรไม่ออก
เจียงซื่อเดินไปนั่งลงบนเตียงไม้ไผ่อย่างไม่แยแสพิงหัวเตียงแล้วออกคำสั่งอย่างไม่สนใจไยดี “เข้าใจแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ แล้วก็จำไว้ให้ดีด้วย...”
“อะไรนะ” อาหลานได้สติจึงถามออกไป
“ข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์วันแรก เจ้าก็ประพฤติตัวดีๆ กับข้าหน่อย ไม่เช่นนั้นข้าไม่เป็นให้แล้วนะ”