บทที่ 608 นัทธีฟื้นแล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เชอรีนปรบมือด้วยความดีใจ “เยี่ยมไปเลย ขอบคุณนะวารุณี”

วารุณีส่ายหัว“ ขอบคงขอบคุณอะไร ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณพวกเธอถึงจะถูก หากไม่มีพวกเธอคอยอยู่เคียงข้าง ฉันคงเดินออกจากความเจ็บปวดที่นัทธีหายตัวไปไม่ได้ ไม่แน่ว่าสุขใจก็คงจะ……เฮ้อ ไม่พูดถึงมันแล้ว มันผ่านไปแล้ว รอนัทธีหายดี พวกเราขอเลี้ยงข้าวตอบแทนนะ ”

“ได้สิ งั้นเราจะรอคำเชิญของเธอกับประธานนัทธีนะ” เชอรีนพูดด้วยรอยยิ้ม

วารุณีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง

หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็คุยกันอีกสักพัก แล้ววางสายไป

เมื่อวางโทรศัพท์ลงแล้ว วารุณีก็กลับเข้าห้อง เดินเข้ามานั่งที่ข้างเตียงคนป่วย จากนั้นก็กุมมือนัทธีเอาไว้ ฟุบหน้าลงที่ข้างเตียงแล้วผล็อยหลับไป

สองวันต่อมา พิชิตก็มาตรวจเช็กสภาพร่างกายของนัทธี

วารุณีเดินไปส่งเขา และพูดคุยถึงอาการของนัทธีอยู่สักพัก ประเด็นสำคัญคือถามว่าทำไมนัทธีถึงยังไม่ฟื้น

พิชิตดันไปที่กรอบแว่น กำลังจะเอ่ยปากพูด เสียงที่ตื่นเต้นของอารัณก็ดังออกมาจากในห้องคนป่วย“หม่ามี๊คุณพ่อฟื้นแล้ว!”

เมื่อได้ยินคำนี้ หัวสมองของวารุณีค้างไป จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นมาและตื่นเต้นอย่างมาก

นัทธีฟื้นแล้ว!

วารุณีไม่สนใจจะคุยอะไรกับพิชิตอีก หันหลังและวิ่งเข้าไปที่ห้องพักผู้ป่วย

พิชิตก็ตามติดไปด้วยเช่นกัน

ในห้องผู้ป่วย นัทธีนอนอยู่บนเตียง และลืมตาทั้งสองข้างขึ้น กำลังใช้มือลูบไปที่ศีรษะของอารัณอย่างอ่อนโยน

เมื่อได้ยินเสียง นัทธีก็หันไปมอง วารุณีที่ดวงตาแดงก่ำ ราวกับจะร้องไห้ และดวงตาที่อ่อนโยน ก็มีความรู้สึกผิดปะปนอยู่ “ขอโทษนะที่รัก ที่ทำคุณเป็นห่วง ”

เมื่อครู่ตอนที่รู้สึกตัว อารัณก็ได้บอกเขาแล้ว ว่าช่วงที่เขาหมดสติไปหลายวันนี้ วารุณีเป็นห่วงเขามาก จนไม่เป็นอันกินอันนอนเลย

ตอนนี้เมื่อเห็นรอยคล้ำที่ใต้ตาและใบหน้าที่ซูบผอมของวารุณี เขาก็รู้ทันที คงไม่เพียงไม่ได้พักผ่อน ดูท่าแล้วคงแทบไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำ

วารุณีขบริมฝีปากแน่น น้ำตาก็ไหลออกมา ทั้งดีใจ และตื่นเต้นมาก

นัทธีเอามือออกจากศีรษะของอารัณ แล้วยื่นมันไปหาเธอ

เมื่อวารุณีเห็น ก็สูดน้ำมูก จากนั้นเอามือตัวเองวางลงไป

นัทธีกุมมือเธอแน่น แล้วบีบมันเบาๆ “ผอมลงนะ”

“อืม……”วารุณีทนไม่ไหวอีกต่อไป โถมตัวเข้าสู่อ้อมอกของเขา แล้วร้องไห้ออกมา

นัทธีเข้าใจในอารมณ์ตอนนี้ของเธอ กอดเธออย่างแผ่วเบา แล้วตบไปที่แผ่นหลังของเธอ พูดขอโทษซ้ำๆที่ข้างหูของเธอ

เขารู้ ว่าการหายตัวไปและสลบไสลของเขา ทำเธอหวาดกลัวมาก

พิชิตกับอารัณมองหน้ากัน

จากนั้นพิชิตก็อุ้มเขาลงจากเตียง ทั้งสองคนพากันเดินไปยืนอยู่ข้างกำแพงที่ซึ่งไม่ไกลมากนัก มองดูพวกเขาสองคน และไม่คิดที่จะเข้าไปขัดความสุขนั้นของพวกเขา

รอจนเสียงสะอื้นไห้ของวารุณีเบาลง พิชิตก็ถึงได้ปรบมือ“เอาล่ะวารุณี หยุดร้องไห้ก่อน ให้ผมได้ตรวจดูการมองเห็นของนัทธี และข้อต่อของเขาว่ามีปัญหาไหม”

ตอนที่นัทธียังไม่ฟื้น อาการเหล่านี้ก็ย่อมไม่สามารถที่จะตรวจเช็กได้

ตอนนี้ฟื้นแล้ว ก็สามารถทำมันได้แล้ว

วารุณีเช็ดน้ำตาออก แล้วพูดว่า “อืม มาดูสิ”

พูดไป ก็พลางหลีกทางให้ไป

แต่ก็ถูกนัทธีดึงมือเอาไว้ “อยู่ที่นี่แหละ”

วารุณียิ้มและพยักหน้า“ได้ ฉันไม่ไปไหน คุณหมอพิชิต ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้ คงไม่รบกวนคุณใช่ไหม?”

พิชิตมองดูมือที่จับกันแน่นของพวกเขา“ ไม่หรอก แต่ตอนนี้ดูๆไปแล้ว ข้อต่อที่มือของนัทธีน่าจะไม่มีปัญหาอะไร งั้นก็มาดูการมองเห็นและข้อต่อที่ขากัน”

พูดเสร็จ เขาก็ลงมือตรวจเช็ก เปิดเปลือกตาดูทั้งสองข้างกดและบีบไปที่หัวเข่า

เมื่อตรวจเช็กเรียบร้อย เขาก็เก็บไฟฉายขนาดเล็ก หยิบปากกาออกจากอกเสื้อ จากนั้นก็เปิดสมุดบันทึกประวัติอาการป่วยของนัทธี ขณะที่ทำการขีดเขียนก็พูดไปด้วยว่า“ถือว่าดีมาก ข้อต่อดีทุกอย่าง การมองเห็นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยในการฟื้นตัว เพราะนอนนิ่งอยู่เป็นเวลานาน เส้นประสาทและกล้ามเนื้อฝ่อลีบลงเล็กน้อย ต้องออกกำลังกายสักสองวัน เพื่อทำการฟื้นตัว”

วารุณีพยักหน้าให้ซ้ำๆ“ ฉันรู้แล้ว ฉันจะคอยดูแลเขาเอง”

“ก็ดี ถ้าอย่างนั้นพวกคุณก็แสดงความรักกันต่อเถอะ ผมไม่กวนแล้ว มีอะไรก็เรียกแล้วกัน ขอตัวก่อนนะ”พิชิตปิดแฟ้มประวัติคนป่วยลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

อารัณกะพริบตาปริบๆ “หม่ามี๊ ผมไปหาคุณยายส้ม ไปบอกคุณยายส้มว่าคุณพ่อฟื้นแล้ว”

วารุณีจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเจ้าเด็กคนนี้อยากที่จะหลีกทางให้เธอกับนัทธีได้อยู่ด้วยกัน อีกทั้งยังมีบอดี้การ์ดคอยเฝ้าระวังดูอยู่ ก็จึงพยักหน้าตอบตกลง “ไปเถอะ อย่าไปซนนะ”

“ครับ”เจ้าเด็กตัวน้อยรับคำ จากนั้นก็โบกมือให้แล้วเดินออกไป

ภายในห้องก็จึงเหลือเพียงวารุณีและนัทธีสองคน

นัทธีราวกับอยากจะลุกขึ้นนั่ง

วารุณีก็ประคองร่างเขาขึ้น เอาหมอนรองไปที่ด้านหลัง แล้วเขาพิงลงกับหมอน

“อารัณบอกว่าผมไม่ได้สติไปหลายวัน แล้วนี่ผมหลับไปนานแค่ไหนเหรอ?”นัทธีคลึงไปที่หว่างคิ้วแล้วถาม

เขาเพิ่งจะฟื้น และยังไม่ได้ดูวันที่ ดังนั้นก็จึงไม่รู้ว่าจากวันที่เขาประสบอุบัติเหตุนั้นผ่านมานานแค่ไหนแล้ว

วารุณีดึงเก้าอี้ออก แล้วนั่งลงบนเตียง“ เกือบแปดวันแล้ว”

นัทธีตะลึง “นานขนาดนี้เลยเหรอ ?”

“ใช่ หมอบอกว่าศีรษะคุณได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง ทำให้เกิดลิ่มเลือด ดังนั้นคุณจึงไม่ได้สติ อันที่จริงคุณสามารถฟื้นได้เร็วกว่านี้ แต่เพราะโรงพยาบาลขนาดเล็กมีเครื่องมือแพทย์ไม่ครบครัน จึงล่วงเลยมาจนป่านนี้ ”วารุณีกุมไปที่มือเขาแล้วลูบมันไปมา

นัทธีเลิกคิ้ว “โรงพยาบาลขนาดเล็ก ? นี่มันอะไรกัน ?”

เขาจำได้ว่าตอนที่เขาอยู่ในน้ำ ศีรษะกระแทกกับก้อนหินจึงสลบไป แต่ตอนนั้นผู้ดูแลและคนอื่นๆก็อยู่ที่แม่น้ำนั้นด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะหาตัวเขาไม่เจอ

และในเมื่อหาเขาเจอ ก็จึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องโรงพยาบาลขนาดเล็กอะไรนั้นอย่างแน่นอน

ดังนั้นจากที่ดูในตอนนี้ เขาต้องไปเจอกับอะไรมาแน่ๆ

“นอกจากนั้น หลังจากที่คุณหายตัวไปในแม่น้ำ คุณก็ถูกกระแสน้ำซัดไปที่ปลายน้ำ ยังไม่ทันที่ผู้ดูแลและคนอื่นๆจะหาตัวคุณเจอ จู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาช่วยเหลือคุณไปก่อน ก่อนที่ผู้ดูแลและคนอื่นๆจะมาเจอคุณ เธอมาช่วยคุณไป จากนั้นก็ส่งตัวคุณไปที่โรงพยาบาลเล็กๆในเมือง ความโชคดีของคุณจริงๆที่รัก เกิดเรื่องขึ้นแล้วยังมาเจอหญิงงามอีก ”วารุณีมองเขาตาขวาง พูดด้วยน้ำเสียงกระแหนะกระแหน

นัทธีฟังออกว่าเธอกำลังหึงอยู่ ริมฝีปากบางก็ยกหยัก ราวกับกำลังดีใจที่เธอหึงเขา

เพราะการหึง นั้นก็หมายความว่าเธอแคร์เขา

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ?” นัทธีถามพลางหรี่ตาลง

วารุณีรู้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ยังอยากที่จะแกล้งเขา ก็จึงพูดอย่างไม่พอใจไปว่า “ ทำไม ถามให้ละเอียด จากนั้นก็รับผิดชอบเธอเหรอ?”

นัทธีหัวเราะ จากนั้นก็เอื้อมมือไปแล้วเชยคางเธอขึ้น จูบไปที่ริมฝีปากสีแดงของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งว่า“ผมเป็นคนนิสัยแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ? ผมมีผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกอยู่แล้วทั้งคน จะยังสนใจใครที่ไหนได้อีก”

“ใครจะไปรู้ ไม่แน่ว่าภรรยาที่บ้านอาจจะน่าเบื่อแล้ว ผู้หญิงนอกบ้านต่อให้จะหน้าตาขี้เหร่ยังไงก็หอมหวนกว่า”วารุณีอมยิ้มแล้วพูดออกมา

นัทธีลูบไปที่ผมของเธอ “วางใจได้ ผมจะรักแค่ภรรยาที่บ้านไปตลอดชีวิต”

“ ฉันรู้อยู่แล้วค่ะ ”วารุณีกอดแขนของเขา และตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง“ ผู้หญิงคนนั้นชื่อจุ๊บแจง เธอเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา เธอไปเยี่ยมญาติแล้วผ่านแม่น้ำตรงนั้น เมื่อเจอคุณ ก็จึงช่วยชีวิตคุณเอาไว้ แม้จะเป็นความหวังดี แต่ก็ทำให้เราเจอคุณช้าไปอีก เราก็เพิ่งจะเจอคุณเมื่อสองวันก่อนนี้เอง อีกอย่างเธอก็ไม่อยากจะส่งตัวคุณกลับคืนให้เราด้วย”

“หมายความว่ายังไง? เป็นคนของนิรุตติ์เหรอ ? ถึงไม่อยากคืนตัวผม ?” คิ้วนัทธีผูกกันจนเป็นปม

เมื่อวารุณีเห็นความคิดที่เถรตรงของเขา ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี“ ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเธอชอบคุณ เลยไม่อยากให้เราเจอคุณ จึงจะพาคุณหนี”

เมื่อได้ยินคำนี้ คิ้วของนัทธีก็ผูกกันแน่นมากขึ้นไปอีก