ตอนที่ 54 เหยี่ยวปีกหัก (ปลาย) (1)
ถานจี้เป็นผู้ที่แม่ทัพใหญ่หลงถิงเฟยเห็นความสามารถ จึงดึงขึ้นมาจากสามัญชน ถ่ายทอดตำราพิชัยสงครามและยุทธวิธีรบให้ด้วยตนเอง จากชาวบ้านกลายเป็นแม่ทัพมิใช่เรื่องง่าย นิสัยของเขาชอบอยู่สันโดษ มิสนิทสนมกับสหายร่วมรบ ทุกครั้งยามแม่ทัพใหญ่จัดงานลี้ยงฉลองกับเหล่าแม่ทัพเพื่อสร้างเสริมขวัญกำลังใจ แม้ถานจี้พอฝืนเข้าร่วมได้ แต่สุราสักหยดก็มิแตะ หลบมุมอยู่ผู้เดียว แขกทั้งหลายจึงพานหมดความรื่นเริง หลังจากผ่านมาหลายครั้ง แม่ทัพใหญ่กังวลจึงจำใจให้เขาออกไป
ถานจี้ปกครองกองทัพเข้มงวดนัก หากมีผู้ฝ่าฝืนกฎกองทัพ แม้เป็นทหารกล้าแกร่งก็จักสังหาร ด้วยเหตุนี้กองทัพของเขาจึงมีระเบียบวินัยเคร่งครัด ทุกศึกมิหวาดกลัวสละชีพ กองทัพเปี่ยมพลัง ใต้หล้าหาได้ยากนัก แม้ถานจี้ตำแหน่งสูง ทว่ามิเคยเปลี่ยนนิสัยกินอยู่เรียบง่ายเยี่ยงในอดีต เขามิชอบรางวัลของมีค่า ทุกครั้งที่ได้รับรางวัลล้วนแบ่งสรรมอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้นแม้เด็ดขาดน่าหวาดกลัว แต่ผู้ใต้บัญชาต่างภักดีถวายหัว
บิดามารดาและครอบครัวของถานจี้ล้วนตกตายเพราะสงครามอันโกลาหล ถานจี้เคียดแค้นล้ำลึก ทุกครั้งยามออกศึกจึงเข่นฆ่าผู้คนมากมาย สังหารเชลยและชาวบ้านที่พลัดหลงหลายครั้งหลายหน แม่ทัพใหญ่ห้ามปรามก็มิฟัง ทว่าเขาบัญชาการทัพได้มีแบบแผน ชาวต้ายงหวาดกลัว ดังนั้นแม่ทัพใหญ่จึงมิอาจลงโทษเขา ถานจี้หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูอ่อนโยน ทั้งยังมีอดีตอันรันทดจึงมักรู้สึกอับอาย จนต้องสวมหน้ากากผีทำจากสำริดไว้เสมอ ทั้งวันมิเคยถอด ผู้คนต่างเรียกขานเขาว่า ‘แม่ทัพกุ่ยเมี่ยน[1]’ องครักษ์ที่ติดตามข้างกายล้วนเลียนอย่างเขา ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตนล้วนหวั่นเกรงเขากันถ้วนหน้า
…พงศาวดารเป่ยฮั่ั่น บันทึกถานจี้
เหยี่ยวโผบินผ่านท้องนภา ทุ่งกว้างท้องฟ้าคราม หญ้ารกครึ้มสุดลูกหูลูกตา สายธารชิ่นสุ่ยครวญคราง เสียงเหยี่ยววิเวกวังเวงชวนให้จิตใจผู้คนเปล่าเปลี่ยว ถานจี้บังคับอาชายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ย ในสายตาเต็มไปด้วยแววตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ทหารสอดแนมหลายคนควบม้าห้อตะบึงมาก่อนจะลงไปคำนับที่พื้น คนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงดังว่า “รายงานท่านแม่ทัพ กองทัพศัตรูตั้งค่ายเก็บเสบียงอยู่เมี่ยวพัว ข้าวกองดุจภูเขา ตะวันออกของค่ายใหญ่คลังเสบียงจรดแม่น้ำชิ่นสุ่ย ตะวันตกของค่ายจรดแม่น้ำสือหลี่ ด้านหลังห่างท่าชิวเฟิงที่สองสายน้ำบรรจบกันเพียงสามลี้ เหนือชิ่นสุ่ยมีสะพานลอยน้ำสี่แห่ง เหนือแม่น้ำสือหลี่มีสะพานลอยน้ำสามแห่ง ท่าชิวเฟิงมีเรือรบทั้งหมดพันกว่าลำ แต่ละครั้งขนส่งเสบียงได้ปริมาณของหลายวัน ภายในค่ายใหญ่คลังเสบียงชูธงสัญลักษณ์ของจิงฉือ มีทหารม้าทั้งหมดหนึ่งหมื่น พลทหารเดินเท้าสองหมื่น”
ถานจี้ไม่เอ่ยตอบ เพียงทำสัญลักษณ์มือท่าหนึ่ง องครักษ์ข้างกาย หนึ่งในสามสิบหกทหารม้าผู้สวมหน้ากากสำริดแบบเดียวกันก็เอ่ยเสียงกังวาน “ท่านแม่ทัพสั่งให้เจ้าออกไป”
ทหารสอดแนมทั้งหลายพรูลมหายใจออกมาพร้อมกันแล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม อยู่ต่อหน้าถานจี้ มีน้อยคนนักที่ทำตัวสุขุมสบายใจได้
หลังจากพวกเขาถอยออกไปแล้ว ถานจี้จึงเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “หลัวเหมิง เจ้าว่าเหตุใดยอดแม่ทัพคนหนึ่งจึงถูกปล่อยไว้ในค่ายเสบียง จิงฉือนับว่าเป็นแม่ทัพทหารม้าอันดับหนึ่งอันดับสองแห่งต้ายง แต่กลับถูกส่งมาอยู่ว่างๆ ที่ค่ายเสบียง ก่อนหน้านี้ยามฉีอ๋องกุมอำนาจกองทัพยังมิทำเช่นนี้ พอคนสนิทของจักรพรรดิต้ายงมาเป็นผู้ตรวจการกองทัพ เหตุไฉนจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้”
องครักษ์ผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ท่านแม่ทัพ ที่ใดมิมีการแย่งชิงอำนาจบ้างเล่า แม้ฉีอ๋องอำนาจมาก แต่จิงฉือผู้นี้เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นหนามตำตาที่จักรพรรดิต้ายงส่งมา หากฉีอ๋องมอบหมายงานไม่สำคัญให้เขา ไฉนมิใช่เป็นอริกับพระเชษฐาของเขาอย่างโจ่งแจ้ง ยามนี้ในเมื่อเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาคอยคุมฉีอ๋องแล้ว ถ้าเช่นนั้นจิงฉือก็มิสำคัญแล้ว ย่อมต้องฉวยโอกาสนี้ลงมือกับเขา
บนโลกใบนี้มีสักกี่คนใส่ใจว่าผู้ใต้บัญชาภักดีหรือคิดคด มิใช่ยามจะใช้วาจาหวานหูมอบทรัพย์มากมาย ยามหมดประโยชน์ทอดทิ้งประหนึ่งรองเท้าคู่เก่าหรือ ครั้งนั้นท่านแม่ทัพถูกลอบสังหารบาดเจ็บหนัก ก็มีคนฉวยโอกาสสร้างความลำบากให้ท่านแม่ทัพมิใช่หรือ แต่ก็มิเห็นแม่ทัพใหญ่ออกหน้าให้ท่านเลย”
องครักษ์ผู้นี้เป็นหนึ่งในสามสิบหกทหารม้าที่ติดตามถานจี้มานานที่สุด ย่อมเป็นคนสนิท ดังนั้นจึงกล้าเอ่ยวาจาบังอาจตรงๆ ถานจี้ฟังแล้วทั้งไม่โกรธและไม่ประหลาดใจ แต่เอ่ยตอบราบเรียบว่า “ธรรมดาของมนุษย์ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่มีคำใดให้พูด แต่แม่ทัพใหญ่มีบุญคุณต่อข้าเท่าขุนเขา เจ้าห้ามดูหมิ่น แม่ทัพสือเพียงวาจาโผงผาง ไม่คุ้นชินกับวิธีการของข้าก็เท่านั้น มิใช่ว่ามีใจคิดเป็นอริกับข้า คำพูดเช่นนี้ หลังจากนี้ห้ามเอ่ยอีก”
องครักษ์ผู้นั้นรีบขานรับ แต่ก็เอ่ยถามอีกว่า “มิทราบว่าท่านแม่ทัพเตรียมโจมตีค่ายใหญ่ของศัตรูเช่นไร จิงฉือเองก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรา หากไม่ระวังแม้สักน้อย เกรงว่าจะพ่ายแพ้ไร้หนทางชนะ”
ถานจี้ยิ้มหยัน ตอบว่า “คนหุนหันพลันแล่นคนหนึ่งผู้เก็บซ่อนความไม่พอใจอยู่ในใจ มีสิ่งใดให้กลัวเล่า ข้ามีแผนการแล้ว กองทัพศัตรูอาศัยสายน้ำขนส่งเสบียง นี่เดิมเป็นเรื่องดี น่าเสียดายกลับมอบโอกาสให้พวกเราฉกฉวย จงคอยดู วิธีการของข้าจะทำให้เสบียงในคลังของกองทัพศัตรูสลายกลายเป็นเถ้า ข้าก็อยากดูสิว่าพวกเขาจะมีวิธีการใดทำศึกต่อ นี่เป็นสงครามที่พวกเขาต้องการ มิเช่นนั้นจะตั้งค่ายใหญ่คลังเสบียงไว้ที่เมี่ยวพัวได้อย่างไร ที่แห่งนี้แม้สะดวกแก่การขนส่ง แต่การป้องกันด้อยกว่าเมืองที่มีคูลึกกำแพงสูงมากนัก หลัวเหมิง ถ่ายทอดคำสั่งของข้า เรียกรวมนายกองในกองทัพ เตรียมตัวทำศึก”
หลัวเหมิงยินดีอยู่ในใจ เขาย่อมทราบว่าท่านแม่ทัพวางแผนการได้ล้ำเลิศ น้อยครั้งนักจะล้มเหลว ครานี้สร้างความชอบครั้งใหญ่ ขณะที่คราก่อนสืออิงเสียทหารสูญแม่ทัพ พวกตนย่อมล้างความอับอายหลายปีที่ถูกพวกสืออิงข่มได้ แม้ท่านแม่ทัพไม่ใส่ใจ แต่การกีดกันและความเย็นชาของคนเหล่านั้น เขาล้วนเห็นอยู่กับตา ด้วยเหตุนี้ หลัวเหมิงจึงรีบถ่ายทอดคำสั่ง เตรียมติดตามท่านแม่ทัพบุกตีศัตรูสร้างความชอบอีกหน
ค่ำคืนมืดมิด ภายในค่ายใหญ่ คลังเสบียงของกองทัพต้ายงจุดโคมสว่างไสว ภายในกระโจมแม่ทัพ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งแม่ทัพเอกกลับมิใช่จิงฉือ แต่เป็นฉีอ๋องผู้เปลี่ยนมาสวมเกราะสีเขียวแบบธรรมดา ครั้งนี้เพื่อหลบเลี่ยงหูตาของสายลับเป่ยฮั่น ฉีอ๋องกับองครักษ์คนสนิทของเขาล้วนเปลี่ยนมาสวมชุดเกราะของพลทหารธรรมดา แล้วซ่อนทหารม้าสองหมื่นนายไว้ภายในค่ายใหญ่คลังเสบียง ฉากหน้าที่แห่งนี้มีพลทหารเดินเท้าเพียงสองหมื่นนาย ทหารม้าหนึ่งหมื่นนาย แต่ความจริงกลับมีพลทหารเดินเท้าสองหมื่นนาย กับทหารม้าสามหมื่นนาย ภายในค่ายตั้งกระโจมเอาไว้ ทหารม้าเกราะหนักเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ในกระโจมแล้วผลัดกันออกไปโผล่หน้าข้างนอก ด้วยเหตุนี้จึงปิดบังสายตาของกองทัพเป่ยฮั่นมาได้
จิงฉือผู้นั่งอยู่ด้านล่างเอ่ยอย่างตื่นเต้น “องค์ชาย ทหารสอดแนมที่พวกเราส่งออกมาไม่กลับมาตรงเวลา ดูท่าถานจี้คงมาถึงแล้วดังคาด ท่านเจียงคาดการณ์ได้ล้ำเลิศนัก หากครั้งนี้จับตัวถานจี้ได้ ไม่เพียงหลงถิงเฟยจะสูญเสียแขนซ้ายแขนขวา แต่ยังจะทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพได้ด้วย ถานจี้ผู้นี้ก่อเภทภัยในเจ๋อโจวมานานปี หากจับเขามาเฉือนเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นคงคลายความโกรธแค้นของชาวบ้านลงได้บ้าง”
ฉีอ๋องคลี่ยิ้ม ตอบว่า “ยังไม่รู้ว่าจะจับเป็นได้หรือไม่เลย ได้ยินว่าคนผู้นี้มีนิสัยเข้มงวดแข็งกร้าว แต่นำทัพออกศึกเจ้าเล่ห์ดุจจิ้งจอก มีคนโหดเหี้ยมไร้หัวใจมากมายที่ตัวเองหวาดกลัวความตายยิ่งนัก หวังว่าถานจี้ผู้นี้จะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
ทั้งสองคนกำลังสนทนากันตามสบาย ทันใดนั้นเอง พลทหารนอกค่ายก็โหวกเหวกโวยวาย ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็มีคนเข้ากระโจมมารายงาน “รายงานองค์ชาย แม่ทัพจิง มีคนปล่อยเรือไฟมาตามแม่น้ำชิ่นสุ่ย ทำให้สะพานลอยน้ำบนแม่น้ำชิ่นสุ่ยกับเสบียงสองฝั่งติดไฟ หน้าค่ายมีกองทัพเป่ยฮั่นพันกว่าคนกำลังบุกตีอยู่”
หลี่เสี่ยนตื่นตัวทันใด กล่าวขึ้นว่า “มาแล้วจริงๆ จิงฉือ เจ้าไปทำตามแผนการเถิด”
จิงฉือลุกขึ้นคำนับ จากนั้นสาวเท้าก้าวออกไปจากกระโจม แล้วเอ่ยเสียงดังว่า “รีบหยิบอาวุธของข้ามา ข้าจะดูสิว่าผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับข้า”
หลี่เสี่ยนยิ้มละไม แล้วเอ่ยกับจวงจวิ้นองครักษ์คนสนิทที่อยู่ข้างกาย “เตรียมตัวให้พร้อม พอแม่ทัพจิงล่อกองทัพศัตรูออกไปแล้ว พวกเราค่อยออกจากค่าย”
จวงจวิ้นเผยสีหน้ายินดีบนใบหน้าแล้วเอ่ยว่า “องค์ชายโปรดวางใจ พวกเราเตรียมการพร้อมนานแล้ว รอเพียงยกทัพออกสังหารศัตรูเท่านั้น หลายวันนี้อึดอัดแทบแย่” ว่าพลางก็หมุนตัวออกจากกระโจมไปถ่ายทอดคำสั่ง
ถานจี้เห็นทหารม้าเกราะหนักของต้ายงออกจากค่ายใหญ่มาแต่ไกล หมื่นอาชาห้อทะยานเปี่ยมพลัง จนอดถอนหายใจมิได้ กล่าวว่า “ยอดแม่ทัพกับกองทหารเช่นนี้กลับให้พวกเขามาเฝ้าคลังเสบียง ช่างน่าเสียดายจริงๆ” แล้วจึงหัวเราะหยัน เอ่ยต่อว่า “ข้าก็อยากดูสิว่ายอดแม่ทัพผู้ยามปกติรบพุ่งทะลวงกระบวนทัพจะมีปัญญาคุ้มกันค่ายหรือไม่”
กล่าวจบ เขาพลันโบกมือ แล้วนำหน้าพาองครักษ์คนสนิทข้างกายมุ่งไปประจันบาญกับกองทัพต้ายง ขณะที่สองกองทัพห่างกันไม่ถึงร้อยก้าว ทันใดนั้นกองทัพเป่ยฮั่นก็เปลี่ยนทิศ หลบเลี่ยงคมอาวุธของกองทัพต้ายง เข้าบีบต้อนปีกด้านข้าง
ถานจี้นำทหารม้าสามสิบหกนายพุ่งเข้าไปในกระบวนทัพของต้ายง ทหารม้าในมือเขากองนี้เป็นกองทหารกล้าที่ถนัดการบุกทะลวงที่สุดในกองทัพเป่ยฮั่น ระหว่างที่ขวานปากไก่เหวี่ยงสะบัด เลือดเนื้อพลันปลิวว่อน ทหารม้าที่ตามมาด้านหลังพวกเขาใช้หน้าไม้กำลังแรงยิงออกไปทั่วทุกทิศ
กระบวนทัพของต้ายงระส่ำระส่าย จิงฉือพาทหารม้าเจ็ดพันนายออกมา ถานจี้พากองทัพคนสนิทบุกเข้าสังหารพักหนึ่งก็ฉีกแนวป้องกันของทหารม้าเกราะหนักได้ จากนั้นหลบหนีจากไปไกลอย่างโอ้อวดแสนยานุภาพ
จิงฉือทั้งอับอายทั้งโกรธเกรี้ยว แล้วนำเหล่าทหารเข้าไปช่วยป้องกันคลังเสบียง แม้จะส่งผลกระทบเพียงกระโจมค่ายจำนวนหนึ่งริมฝั่งน้ำ แต่ก็เสียหายไม่น้อย จัดการอยู่จนตกบ่าย กลับมีเรือไฟลอยลงมาจากแม่น้ำสือหลี่อีกหน ครั้งนี้กองทัพต้ายงเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว แต่ก็ยังวุ่นวายจนหน้าเปื้อนเขม่ามอมแมม จิงฉือกุมบังเหียนอาชายืนอยู่ที่ประตูค่าย ก่นด่าถานจี้อย่างไม่เกรงฟ้าเกรงดินจนไม่เหลือดี เวลานี้เอง ถานจี้ก็นำทหารพันกว่านายมุ่งหน้ามาบุกอีกครั้ง
จิงฉือโกรธจัดจะพาทหารม้าออกจากค่าย ตอนนี้เองก็มีขุนนางบุ๋นผู้แต่งกายด้วยชุดที่ปรึกษาเข้ามาขวางแล้วทัดทานว่า “ท่านแม่ทัพ กองทัพศัตรูเพียงเอาคนส่วนหนึ่งมาท้ารบ เห็นชัดว่าเป็นการหลอกล่อศัตรู ขอท่านแม่ทัพโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบ”
จิงฉือกลับด่าเสียงดัง “กองทัพศัตรูมีกองหนุนแล้วอย่างไร พวกเราสามหมื่นถูกคนไม่กี่พันเท่านี้หยอกเล่น หากเล่าลือออกไป ไฉนมิใช่ปล่อยให้คนดูหมิ่นว่าพวกเราต้ายงไม่มีคนแล้ว อีกอย่างข้าเพียงพาทหารม้าออกจากค่ายไปไล่ล่า พลทหารเดินเท้าสองหมื่นนายจะปกป้องค่ายใหญ่มิได้เชียวหรือ” กล่าวจบก็พาทหารม้าออกจากค่ายไป
[1] แปลได้ว่า แม่ทัพหน้าผี
ตอนต่อไป