ตอนที่ 55 เหยี่ยวปีกหัก (ปลาย) (2)
ครั้งนี้เมื่อสองทัพเริ่มปะทะกัน กองทัพต้ายงพลันสำแดงกำลังรบอันแข็งแกร่งออกมา ทำให้กองทัพเป่ยฮั่นสูญเสียสาหัสได้ชั่วขณะหนึ่ง ถานจี้เห็นว่าความแข็งแกร่งต่างกันชัดเจนจึงนำทหารคนสนิทถอยหนี ครานี้จิงฉือไม่ยอมเลิกรา เร่งไล่ตามหลังไม่คิดชีวิต ถานจี้นำองครักษ์คนสนิทคุมท้ายด้วยตนเอง ไล่ตามแล้วหนีเช่นนี้อยู่หลายสิบลี้
แม้ถานจี้มีกำลังคนน้อยแต่ล้วนเป็นยอดทหารในหมู่ยอดทหาร ทั้งกองทัพเป่ยฮั่นยังเป็นทหารม้าเกราะเบา จึงรักษาระยะห่างเท่าช่วงยิงธนูกับกองทัพของจิงฉือไว้ได้อย่างมั่นคง หากกองทัพจิงฉือไล่ตามเข้ามาใกล้ก็จะใช้ธนูและหน้าไม้บีบให้ถอยร่น จิงฉือเองชำนาญการรบบนหลังม้า จึงไล่ตามหลังอย่างไม่รีบร้อนแต่ไม่ชักช้า ขอเพียงกองทัพเป่ยฮั่นด้านหน้าพลั้งเผลอแม้เพียงนิดก็จะจู่โจมกองทัพศัตรูให้แตกในคราเดียว ทั้งสองฝ่ายฝั่งหนึ่งไล่ตามฝั่งหนึ่งหนี ยื้อยุดกันอยู่เช่นนี้
ไล่ตามโจมตีมาเกือบครึ่งชั่วยาม ถานจี้ก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำชิ่นสุ่ย ที่แห่งนี้กองทัพเป่ยฮั่นต่อสะพานลอยน้ำไว้หลายแห่ง ถานจี้ออกคำสั่งคำเดียวก็ถอนทัพไปทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำชิ่นสุ่ย จิงฉือโกรธจัด สั่งว่า “ตามไป อย่าปล่อยให้พวกเขาทำลายสะพาน”
คนพันกว่าคนเพียงครู่เดียวก็ข้ามสะพานลอยน้ำจนหมด ฝั่งตรงข้ามเป็นเนินเขาลูกหนึ่ง เมื่อเห็นกองทัพเป่ยฮั่นเลี้ยวไปด้านหลังเนินเขา จิงฉือยิ่งร้อนใจ แต่สะพานลอยน้ำแห่งหนึ่งไม่พอให้ทหารม้าของต้ายงเกือบหมื่นใช้จริงๆ
ในใจจิงฉือร้อนรนไม่คิดรอคอย จึงพาทหารคนสนิทไล่ตามไปก่อน ทว่าเมื่ออ้อมเนินเขามา สิ่งที่พบกลับเป็นทหารม้าเกราะเบาเจ็ดพันนายของเป่ยฮั่นผู้สวมชุดเกราะวาววับ ถานจี้ควบอาชาทะยานขึ้นยอดเนินเขาแล้วชูขวานปากไก่ขึ้น แตรสัญญาณเปล่งเสียงประสานพร้อมเพรียง พริบตาเดียวก็ล้อมจิงฉือกับทหารม้าองครักษ์คนสนิทพันกว่านายเอาไว้ ถานจี้แบ่งทหารเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งล้อมจิงฉือ อีกครึ่งหนึ่งขัดขวางทหารกองหนุนด้านหลัง อาศัยชัยภูมิทางเลี้ยวอ้อมเนินเขาขัดขวางทหารม้าด้านหลังไว้ทั้งอย่างนั้น
หลัวเหมิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น “เดิมทีข้าคิดว่าจิงฉือจะส่งทหารกองหน้ามาสำรวจลู่ทางก่อน คิดไม่ถึงว่าเขากลับนำทหารมาเอง ให้พวกเราได้ประโยชน์ครั้งใหญ่มาเปล่าๆ”
ถานจี้เอ่ยเย็นชา “ระวังหน่อย หากเรื่องราวผิดปกติย่อมมีเล่ห์กลซ่อนอยู่ ต้องป้องกันไว้ ไม่ให้ผู้ที่ติดกับคือพวกเรา”
หลัวเหมิงหัวเราะ “ท่านแม่ทัพกังวลมากเกินไปแล้ว จิงฉือคงโกรธเคืองที่ถูกส่งมาไว้ตำแหน่งไม่สำคัญ ใต้เท้าปล่อยเรือไฟไปสองรอบ เขาเสียหายไม่น้อย วันหน้าหากฉีอ๋องสืบสาวเอาความ เขาย่อมมีความผิดยากหนีพ้น ไม่แปลกที่เขาจะเกรี้ยวกราดเช่นนี้
แล้วอีกอย่าง จิงฉือเป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญ ไม่เคยได้ยินว่าเขาถนัดใช้กลอุบาย แม่ทัพใหญ่ก็เคยตรวจสอบมาก่อนแล้วมิใช่หรือ ก่อนหน้านี้แม้เขามีผลงานการรบกระเดื่องเลื่องลือ แต่เป็นทัพหน้าฝ่าทะลวงมาตลอด แม้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเหมือนจะมีแม่ทัพที่ชำนาญการป้องกันอยู่คนหนึ่ง แต่เวลาเช่นนี้ ต่อให้คนผู้นั้นมาด้วยกันก็น่าจะรั้งอยู่รักษาเมือง”
ถานจี้เอ่ยด้วยท่าทางเฉยชา “ประมาทมิได้ ยิ่งไปกว่านั้น แม้กองทัพเราปล่อยเรือไฟ เผาค่ายบางส่วนไปแล้ว แต่พวกเขาก็เตรียมของที่ใช้ดับไฟไว้ในค่ายก่อนแล้ว ความจริงแล้วเสียหายไม่หนักหนาดังที่เห็น แต่จิงฉือแทบจะพาทหารม้าออกมาทั้งหมด แม้จะสมกับนิสัยของเขาอย่างยิ่ง แต่ข้ารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล”
เวลานี้เอง จิงฉือผู้เลือดท่วมตัวก็พาทหารคนสนิทฝ่าทะลวงการขัดขวางของกองทัพเป่ยฮั่นมาได้ หลังจากแตรสัญญาณดังกังวาน กองทัพต้ายงที่ถูกขวางอยู่ข้างหลังเหล่านั้นก็ถอยกลับไปยังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำชิ่นสุ่ยประหนึ่งน้ำหลาก
ถานจี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “ก็ไม่แปลกที่จิงฉือจะบุ่มบ่ามเช่นนี้ ที่แท้ก็มีความสามารถในการรบถึงขนาดนี้ ก็ดี พวกเราไปไล่ตามจิงฉือ ตอนนี้เขาโดดเดี่ยวอยู่ด้านนอก ต้องฉวยโอกาสกำจัดเขาได้แน่” กล่าวจบ ถานจี้ก็ออกคำสั่งให้คนทำลายสะพานลอยน้ำ ตัดหนทางที่กองหนุนต้ายงจะไล่ตามโจมตีด้านหลังจากทางทิศตะวันออกของแม่น้ำ หลังจากนั้นจึงไล่ตามจิงฉือไป
ไล่ตามไปได้ไกลร้อยลี้ ถานจี้ก็ทราบทิศทางที่จิงฉือหนีเอาชีวิตรอดจากการนำทางของทหารสอดแนม เขากำลังเตรียมตัวย้อนกลับไปยังค่ายใหญ่คลังเสบียง ในใจถานจี้เกิดความคิดกระหายชัยชนะขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากสังหารจิงฉือได้ นี่จะเป็นคุณงามความชอบไม่น้อย อีกประการหนึ่ง ไล่โจมตีมาครึ่งวัน ทหารสอดแนมรายงานว่ากองหนุนต้ายงเหล่านั้นกลายเป็นแมลงวันไร้หัวเสียแล้ว มิอาจช่วยเหลือจิงฉือได้แม้แต่น้อย
ถานจี้ดีใจอย่างยิ่งจึงไล่ตามติดไม่ลดละ เขาเคยคุ้นกับภูมิประเทศชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำชิ่นสุ่ยอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเขาแบ่งทหารขัดขวางไม่หยุด จิงฉือก็ค่อยๆ ตกอยู่ในวงล้อมของพื้นที่เล็กแคบ แต่ถานจี้กลับขมวดคิ้ว ที่แห่งนี้ห่างจากค่ายใหญ่คลังเสบียงทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำชิ่นสุ่ยเพียงสิบกว่าลี้ แม้สะพานลอยน้ำถูกทำลายไปแล้ว หากจะส่งทหารข้ามสะพานมา ไม่มีเวลาสักครึ่งวันไม่มีทางทำได้ แต่ถานจี้ก็ยังกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด ถึงกระนั้นความคิดอยากจะสังหารจิงฉือก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกที จนถานจี้อดยิ้มฝืดเฝื่อนมิได้ “เหยื่อล่อเช่นนี้ ต่อให้มีพิษข้าก็ตัดใจทิ้งมิลง”
ถานจี้ครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ในหมู่แม่ทัพทั้งหลายของต้ายงมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจิงฉือไม่มาก หากต้ายงยอมปล่อยยอดแม่ทัพสองคนไว้แนวหลัง ถ้าเช่นนั้นต่อให้ตนจะร่วงหล่นติดกับดักก็คงต้องยอมแล้ว เมื่อตัดสินใจได้ ถานจี้จึงออกคำสั่งรวบรวมกำลังทั้งหมดล้อมสังหารจิงฉือ
จิงฉือเอื้อมมือเช็ดเลือดและเหงื่อบนใบหน้า พลางมองทหารคนสนิทที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยข้างกายอย่างกลัดกลุ้ม ในใจคิดว่าหากฉีอ๋องคิดยืมดาบสังหารคนก็น่าจะทำสำเร็จแล้ว จนถึงตอนนี้ยังมองไม่เห็นทหารกองหนุน จิงฉือก็เริ่มสงสัยฉีอ๋องอยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อทบทวนดู ต่อให้ฉีอ๋องตั้งใจเช่นนั้นจริงก็คงไม่ส่งผลเสียต่อสถานการณ์ภาพรวมนัก จิงฉือจึงชักม้านำหน้าพุ่งเข้าใส่กองทัพเป่ยฮั่นที่ขวางหน้าอยู่อีกครั้ง พร้อมกับตะโกนเสียงดังลั่นปลุกขวัญกำลังใจของทหารคนสนิท
ถานจี้ยืนอยู่บนที่สูง มองดูกองทัพต้ายงดิ้นรนอยู่ท่ามกลางวงล้อมแน่นหนา ในใจเกิดความรู้สึกยินดีปรีดา บุรุษอกสามศอกยามมีชีวิต หากมิได้เข่นฆ่าให้สาแก่ใจ ถ้าเช่นนั้นมีชีวิตอยู่ยังจะมีความสุขอันใดอีกเล่า
ทันใดนั้นเอง หางตาของถานจี้พลันเห็นฝุ่นฟุ้งตลบมาจากทางค่ายใหญ่คลังเสบียง ในใจฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาทันใด ระยะห่างใกล้เกินไป หากส่งทหารสอดแนมออกไป เกรงว่ายังมิทันกลับมารายงานก็คงถูกกองทัพศัตรูสังหารเสียแล้ว เขารีบสั่งคนใช้เหยี่ยวไปสำรวจสถานการณ์ฝ่ายศัตรู
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฝุ่นฟุ้งตลบก็เข้ามาใกล้ ถานจี้ไม่เห็นเหยี่ยวกลับมารายงาน ส่วนฝุ่นฟุ้งนั่นก็เกาะกลุ่มแน่นไม่มีจาง ลองตรองดูก็ทราบว่ากองหนุนของกองทัพศัตรูคงมาถึงแล้ว ถานจี้ตกตะลึงอยู่ในใจ กองทัพศัตรูข้ามแม่น้ำได้เร็วเช่นนี้ มีแต่ต้องเตรียมตัวอยู่ก่อน หลังจากจิงฉือนำทัพออกมาก็เริ่มต่อสะพานข้ามแม่น้ำทันทีเท่านั้น ดูท่าตนจะติดกับเสียแล้ว จิงฉือมีกองหนุนอยู่ด้านหลังจริงๆ
ทว่าถานจี้ใจเย็นอย่างรวดเร็ว ในใจคิดว่ากองทัพศัตรูกำลังจะมาถึงในไม่ถึงพริบตา ฝ่ายจิงฉือก็ยังมีทหารกล้าหลายร้อยติดตาม กำลังไม่ลดทอน หากตนยังหมายจะสังหารจิงฉืออยู่ คงถูกกองทัพศัตรูฉวยโอกาสเป็นแน่ มิสู้ตั้งกระบวนทัพหัวศร สู้จนตัวตายจะดีกว่า หากทำลายทัพหลวงของกองทัพศัตรูสำเร็จก็จะได้จากไปอย่างสงบ ด้วยได้ลดทอนความโอหังของกองทัพศัตรู แม้มิอาจสังหารแม่ทัพเอกของฝั่งศัตรูให้ตกตาย แต่ระหว่างโจมตีทัพหลวงของกองทัพศัตรู ก็คงทำให้กองทัพศัตรูมิทันป้องกัน อาจมีโอกาสฝ่าวงล้อมเพิ่มมากขึ้นสักหน่อย แม้อันตราย ทว่ามีแต่ต้องทำเช่นนี้จึงจะมีโอกาสรอด
เมื่อคิดจบก็ลงมือทันที ถานจี้ออกคำสั่งทั้งกองทัพในทันใด แม้ทหารเป่ยฮั่นเหล่านั้นมิเข้าใจว่าเหตุไฉนเห็นกองทัพศัตรูกำลังร่อแร่แล้ว แต่แม่ทัพเอกกลับออกคำสั่งให้คลายวงล้อม ทว่าถานจี้เข้มงวดกับคำสั่งมาตลอด พวกเขาจึงมิกล้าชักช้า เพียงครู่เดียวก็ตั้งกระบวนทัพหัวศร เพิ่งตั้งกระบวนทัพเสร็จ เสียงกีบเท้าม้าดังสะเทือนแก้วหูแทบดับก็ดังชัดเจน
ทหารม้าต้ายงสวมเกราะสีแดงทะยานมาท่ามกลางฝุ่นฟุ้งตลบ คนดั่งพยัคฆ์ อาชาดุจมังกรรายล้อมอยู่รอบธงอ๋องรูปมังกรทองก่อนจะแผ่ปีกสองข้างออก ตั้งท่าจะโอบล้อมกองทัพเป่ยฮั่นอยู่เลือนราง พวกเขาก็คือทหารใต้บัญชาฉีอ๋องที่เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดเกราะของตนเองตามคำสั่งเพื่อออกมาโจมตีครั้งสุดท้าย
เมื่อเข้ามาใกล้ ทหารม้าเกราะเหล็กก็ไม่หยุดแม้สักนิด พวกเขาพุ่งเข้าใส่กระบวนทัพของเป่ยฮั่นอย่างมืดฟ้ามัวดิน ถานจี้ตะโกนเสียงดัง “จะรอดหรือตาย ขึ้นอยู่กับครั้งนี้ ตามข้ามา” กล่าวจบก็นำหน้าพุ่งเข้าใส่กองทัพหลวงของต้ายง
แต่เดิมเขาก็เป็นคนฉลาดเฉลียว เมื่อเห็นธงอ๋องก็ทราบว่าเรื่องที่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงเกิดขึ้นแล้ว ฉีอ๋องถึงขนาดไม่อยู่บัญชาการกองทัพใหญ่ที่เป็นกำลังหลัก ถ้าเช่นนั้น ที่แห่งนี้ย่อมเป็นกับดักแน่นอนแล้ว แม้มิเข้าใจว่าเหตุใดฉีอ๋องจึงทิ้งเรื่องสำคัญมาทำเรื่องเล็กน้อยอย่างการมาจัดการทัพรองกองนี้ของตน แต่ถานจี้ทราบว่าหากไม่สู้ตาย ถ้าเช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปจากที่แห่งนี้ได้
หลี่เสี่ยนมองจิงฉือผู้สะบักสะบอมเลือดโทรมกายแล้วเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้าไม่ดีเอง หากมิใช่คิดจะรั้งทหารชั้นยอดใต้บัญชาของถานจี้ไว้ด้วย คงไม่ปล่อยให้แม่ทัพจิงตกอยู่ในวงล้อมหนักหนาเช่นนี้”
จิงฉือนอนพังพาบอยู่บนหลังอาชาอย่างไร้เรี่ยวแรง ผ่านไปพักหนึ่งจึงตอบว่า “องค์ชายอย่าลืมมอบสุราพระราชทานขวดนั้นที่จักรพรรดิพระราชทานให้กับข้าก็พอ”
หลี่เสี่ยนหลุดหัวเราะ จิงฉือก็หัวเราะขึ้นมาด้วยอย่างห้ามมิได้ ความไม่ลงรอยนานาประการระหว่างคนทั้งสองสลายสิ้นเพียงชั่วเสียงหัวเราะนี้
เวลานี้เอง จิงฉือจึงเห็นว่าด้านหลังฉีอ๋องมีชายหนุ่มสวมชุดเกราะธรรมดาสีเขียวกับชุดทหารสีขาว หน้าตาไม่คุ้นหน้านักอยู่คนหนึ่ง ไหล่ซ้ายของคนผู้นั้นสะพายคันศรสีเงินหนึ่งเล่ม หน้าตาหล่อเหลาคมคาย สีหน้าท่าทางหยิ่งยโสเย็นชา แววตาดุจอสนีบาต แต่องอาจโดดเด่นยิ่งนัก จึงอดมิได้ถามขึ้นว่า “องค์ชาย ผู้นี้คือแม่ทัพท่านใดหรือ”
หลี่เสี่ยนคลี่ยิ้ม ตอบว่า “นี่คือตวนมู่ชิว ลูกน้องในสังกัดจวนอ๋องของข้า ศรทองจ่างซุน ขนงโก่งแพรเขียว ศรเงินตวนมู่ รากษสอาภรณ์แดง เขาก็คือศรเงินตวนมู่ หลายวันก่อนเพิ่งเดินทางจากเมืองหลวงมาพบข้า ข้าคิดได้ว่าเหยี่ยวของเป่ยฮั่นน่าชังนักจึงให้เขาอยู่ต่อ เมื่อครู่เขาก็เป็นผู้ยิงธนูสังหารเหยี่ยวดำสองตัวนั้น แม้ตวนมู่ไม่สันทัดกลศึกนัก แต่หากกล่าวถึงวิชายิงธนู เขาย่อมไม่เป็นรองจ่างซุนจี้”
จิงฉือคำนับตวนมู่ชิวตามมารยาท ในใจคิดว่าบุคคลเช่นนี้ไม่เป็นทหารช่างน่าเสียดายจริง เวลานี้เอง ถานจี้ก็พาทหารม้าสามสิบหกนายฝ่าทะลวงทหารที่ขัดขวางอย่างแน่นหนาเข้ามาได้ กำลังจะพุ่งมาถึงทัพหลวง จิงฉือรู้สึกกังวลจึงเอ่ยว่า “องค์ชาย สั่งให้ปีกสองฝั่งมาช่วยเหลือเถิด”
หลี่เสี่ยนส่ายหน้าตอบ “แม้คนของพวกเรามากกว่า แต่กองทัพศัตรูแกล้วกล้า หากคลายวงล้อมให้เขาฉวยโอกาสฝ่าออกไป ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ทำมาก่อนหน้าย่อมสูญเปล่าสิ้น อีกทั้งกองทัพองครักษ์คนสนิทของข้าจะสู้ทหารม้าเป่ยฮั่นมิได้หรือไร”
สองประโยคสุดท้าย เขาเอ่ยออกมาเสียงดัง องครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องที่ได้ยินต่างอับอายจึงสู้อย่างไม่คิดชีวิต ชั่วขณะหนึ่งแม้แต่สามสิบหกทหารม้าผู้ชำนาญการฝ่าทะลวงที่สุดก็ยากจะเคลื่อนที่แม้สักก้าว
ตอนต่อไป