บทที่ 631 สองปู่หลานหารือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 631 สองปู่หลานหารือ

บทที่ 631 สองปู่หลานหารือ

เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าพี่ชายคนนี้กำลังวางแผนการจัดการแม่ตัวเองอยู่ เพราะอีกฝ่ายไม่ได้มีความหมายอะไรกับฉืออี้หย่วนอยู่แล้ว

โดยเฉพาะในครั้งนี้ที่อวี๋ซีเยว่ทำลายความผูกพันสุดท้ายที่มีต่อจนขาดสะบั้น

เราคุยกันอีกหลายเรื่อง อี้หย่วนเองก็สนใจความรู้ความเข้าใจก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเสี่ยวเถียนด้วย

“เธอรู้หมดเลยนะเสี่ยวเถียน ปีนี้ได้เป็นนักวิชาการอันดับหนึ่งของเมืองหลวงแน่นอน”

เขาคิดว่าเสี่ยวเถียนสามารถชดเชยความเสียใจของตนในปีที่แล้วได้

ส่วนเสี่ยวเถียนไม่มีความมั่นใจขนาดนั้นว่าตนจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ เพราะที่นี่คือเมืองหลวง เมืองที่เต็มไปด้วยคนมีความสามารถ แม้หลายปีก่อนเด็ก ๆ จะไม่ตั้งใจเรียนกันก็ตาม

แต่สุดท้ายก็มีเด็กส่วนหนึ่งที่ไม่เคยทิ้งการเรียนไปเลย

ฉืออี้หย่วนไม่ได้กลับบ้านจนกระทั่งหลังมื้ออาหารเย็น เขาไม่ได้กลับมหาวิทยาลัยทันที แต่ตรงกลับบ้านแทน

ฉือเก๋อตกใจมากที่จู่ ๆ ก็เห็นหลานชายกลับมา

“เสี่ยวหยวน กินข้าวมาหรือยัง?”

“กินมาจากบ้านเสี่ยวเถียนแล้วครับปู่ ผมเอากลับมาให้ปู่ด้วยนะ นี่คือซุปซี่โครงหมูตุ๋นที่คุณย่าซูทำครับ” เขายิ้มขณะถืออาหารเอาไว้

ฉือเก๋อมองหลานชายที่กำลังยิ้ม แล้วถอนหายใจ

“แล้วคิดยังไงไปบ้านซูมาล่ะ?”

“เธอไปหาเสี่ยวเถียนครับ”

สีหน้าอี้หย่วนไม่ดีเท่าไรตอนพูดเรื่องนี้

แม้แต่ฉือเก๋อก็ไม่คิดเหมือนกันว่าหลานจะพูดออกมาโต้ง ๆ

อวี๋ซีเยว่ไปหาเสี่ยวเถียน?

มีจุดประสงค์อะไรกัน?

ชายชราเอ่ยถามด้วยความสงสัย

อี้หย่วน “เธออยากให้เสี่ยวเถียนทิ้งผมไปครับ คงไม่รู้ว่าเรามีความสัมพันธ์กันแบบไหน เลยพูดแบบนั้นใส่ แต่โชคดีที่เสี่ยวเถียนไม่ถือสาอะไร!”

เขาชอบเสี่ยวเถียน เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ แต่น้องยังเด็กเกินไปจึงไม่คิดแสดงความรู้สึกออกไปให้เห็น

แต่การที่อวี๋ซีเยว่สามารถพูดแบบนี้ออกมาได้เนี่ย สมองเธอมีปัญหาหรือยังไง

แถมยังจะให้เงินห้าพันอีก

เสี่ยวเถียนมีค่ากว่านั้นนะ!

คิดว่าน้องเป็นเด็กชนบทที่ไม่เข้าใจอะไรหรือไง?

“เธอให้เงื่อนไขอะไรน่ะ?”

ไม่ต้องพูดอะไรฉือเก๋อก็รู้ว่าสะใภ้คนนี้ยื่นข้อเสนออะไรบางอย่างแน่ ๆ

เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจบอกเรื่องเงินห้าพันไป

“พรุ่งนี้เธอน่าจะมาอีก ตอนนั้นปู่จะช่วยขอค่าเลี้ยงดูให้หมื่นนึง”

ฉือเก๋อโกรธจริง ๆ

ตั้งแต่กลับมาก็ได้ทรัพย์สินกลับคืนมาไม่น้อย เขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่พอได้ยินว่าสะใภ้ใช้เงินฟาดหัวคนอื่นก็รู้สึกถึงอารมณ์คุกรุ่นในใจ

เพราะมีเงินเลยทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ออกมาสินะ ทำไมไม่ให้เสี่ยวหยวนล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่อย่างพวกเขาติดค้างไม่ใช่หรือ

หลานชายตกใจที่ปู่พูดเช่นนั้น

ค่าเลี้ยงดูหมื่นนึงนี่ ใช่อย่างที่เขาเข้าใจหรือเปล่า?

“ตอนนี้หลานทำธุรกิจอยู่ และกำลังขาดเงินด้วย”

ใครที่ไหนจะไม่อยากได้เงินมาฟรี ๆ ล่ะ

ในเมื่อมีเงินขนาดนั้นก็เอามาช่วยอี้หย่วนหน่อยแล้วกัน

ณ บ้านซู

หลังจากพวกเรารู้ว่าอวี๋ซีเยว่พูดแบบนี้กับเสี่ยวเถียนก็โมโหจัด แต่ไม่ว่าจะยังไง เราไม่สามารถพุ่งพรวดไปเอาเรื่องกับอีกฝ่ายได้

“หลังจากนี้ร้านอาหารหออีหมิงของเราไม่ต้องการให้อวี๋ซีเยว่เข้ามาได้อีก!” คุณย่าซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

อยู่ ๆ เด็กหญิงก็คิดว่าถ้าเอาคำพูดย่าไปติดที่ประตูมันคงจะเป็น ‘ไม่อนุญาตให้นำอวี๋ซีเยว่และสุนัขเข้ามาในร้าน’

เสี่ยวเถียนกลั้นยิ้มไว้ไม่ไหว

คนอื่นไม่รู้ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงยิ้มโดยไม่มีสาเหตุ แต่เห็นเธออารมณ์ดีแล้วพักเรื่องนี้ไป

“เสี่ยวเถียน รีบเข้านอนปะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนนะ”

หญิงชราเอ่ยเตือน

เด็กสาวกำลังคิดว่าสัปดาห์นี้เธอควรจะตั้งใจเรียนสักหน่อย ครูฮวางจะได้อนุญาตให้เธอลาช่วงบ่ายวันเสาร์

วันต่อมาอวี๋ซีเยว่มาหาในตอนเที่ยง ตามที่ปู่คาดการณ์ไว้เลย

แถมยังหิ้วผลไม้ขนมต่าง ๆ มาเหมือนญาติด้วย

ฉือเก๋อทั้งโมโห ทั้งขมขื่น

“คุณพ่อคะ” หญิงวัยกลางคนยังคงกลัวชายชราผู้นี้เหมือนเดิม เวลาพูดจึงขาดความมั่นใจไปมาก

ฉือเก๋อนั่งดื่มชาอยู่บนโซฟาและไม่แม้แต่จะชายตามองลูกสะใภ้ด้วยซ้ำ และทำเพียงเอ่ยเสียงราบเรียบ

“มาแล้วก็นั่งเถอะ! สะใภ้จาง มีแขกมาน่ะ เสิร์ฟชาทีนะ!”

ประโยคที่บอกว่า ‘มีแขกมา’ ทำอวี๋ซีเยว่กระสับกระส่าย

เธอควรเป็นเจ้าบ้านสิ แต่ทำไมกลายเป็นแขกไปเสียได้?

แต่ก็รู้อยู่ดีว่าตั้งแต่กลับประเทศจีนและเลือกที่จะไม่กลับมาบ้าน เธอจึงกลายเป็นแขกแล้ว

หญิงวัยกลางคนวางผลไม้และขนมลงบนโต๊ะ ก่อนทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามพ่อสามี

“คุณพ่อคะ วันนี้ฉันมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ” อวี๋ซีเยว่พูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

“ว่ามาสิ!” ฉือเก๋อไม่มองมาเลยสักนิด ราวกับกำลังสังเกตอยู่ เหมือนกับถ้วยชาในมือจะงอกดอกไม้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น

“คุณพ่อคะ ฉันอยากพาท่านกับอี้หย่วนไปเยอรมนีค่ะ อย่างที่ท่านรู้ สภาพแวดล้อมที่นั่นดีกว่ามาก”

“ผู้เป็นลูกไม่ควรรังเกียจพ่อแม่ คนเราไม่ควรลืมรากเหง้าตัวเอง!” ชายชราเอ่ยเสียงเรียบ และในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองอวี๋ซีเยว่

ยามเห็นแววตาเฉียบคมของพ่อสามี เธอรู้สึกละอายใจ

สามีก็เคยพูดไว้ตอนเราไปต่างประเทศ

แต่หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นมาหลายปี เธอไม่อยากกลับมาอีกแล้ว และคิดว่าตัวเองทำถูกต้องด้วย

ต่อให้ที่นั่นคือบ้านเกิด แต่ประเทศทำให้เธอเสียใจ

เรื่องที่ลูกสาวจากไปแล้ว ก็เป็นบาดแผลในใจเหมือนกันนะ!

ใช่แล้วล่ะ!

อวี๋ซีเยว่รู้สึกว่าไม่แปลกที่จะคิดแบบนี้

“คุณพ่อคะ ฉันไม่รู้เหตุผลที่ลูกไม่ควรรังเกียจพ่อแม่หรือบ้านยากจนหรอกนะ แต่ถ้าบ้านรังเกียจลูกและไม่ต้องการเขาแล้ว ลูกจะยังอยากอยู่ด้วยหรือคะ?” อวี๋ซีเยว่โต้เถียง

ใบหน้าชายชราปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ พร้อมด้วยสายตาทิ่มแทง “ซีเยว่ มันจะเป็นแบบนั้นหรือ? เธอคิดอะไรอยู่ คิดว่าคนอื่นไม่รู้หรือไง?”

“คุณพ่อคะ ฉันไม่อยากอยู่ในที่ ๆ ทำให้ฉันเสียลูกสาวไปหรอกนะคะ ฉันอยากอยู่ในที่ ๆ ไม่มีความเจ็บปวดค่ะ มันมีปัญหาตรงไหนหรือคะ?”

ฉือเก๋อไม่คิดว่าลูกสะใภ้จะพูดเช่นนี้ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง

การตายของหลานสาวเป็นรอยแผลในใจของชายชราคนนี้

เขาคิดว่ามันอาจเป็นแผลในใจลูกชายและสะใภ้ด้วย แต่พอเห็นท่าทางของเธอก็คิดว่าตนเดาผิดไป

ลูกที่มีชีวิตอยู่ยังไม่เคยเห็นค่าเลย แล้วจะสนใจไยดีเด็กที่ไม่มีชีวิตแล้วทำไม?

รอยยิ้มบนใบหน้าคงไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

“ไม่มีปัญหาหรอก งั้นเธอก็กลับไปเถอะ!”

เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยออกไป

ทว่าแค่ประโยคเดียว เหมือนใช้พลังออกไปทั้งหมดเลย