ตอนที่ 1291 คิดบัญชี (1) ตอนที่ 1292 คิดบัญชี (2)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 1291 คิดบัญชี (1) / ตอนที่ 1292 คิดบัญชี (2)
ตอนที่ 1291 คิดบัญชี (1)

“เจ้าเป็นใคร!” บุรุษชุดเขียวถามพร้อมกับขมวดคิ้วมองจวินอู๋เย่าที่จู่ๆ ก็โผล่มา เขาคิดเอาว่าบุรุษผู้นี้คงเป็นคนจากสามโลกเบื้องล่าง พลังวิญญาณขั้นสีม่วงของเขาแผ่กระจายออกมา เตรียมที่จะจัดการบุรุษที่เข้ามาขวางทางพวกเขา

แต่ก่อนที่เขาจะได้ลงมือ ผู้อาวุโสฮุยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กดบ่าเขาเอาไว้

“ผู้อาวุโสฮุย” บุรุษชุดเขียวเอ่ยถามด้วยความงุนงงพร้อมกับมองไปที่ผู้อาวุโสฮุย

ผู้อาวุโสฮุยหรี่ตาลง จ้องมองไปที่จวินอู๋เย่าเขม็ง

“อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม” ผู้อาวุโสฮุยพูดด้วยเสียงเย็นชา

“ทำไม” บุรุษชุดเขียวสับสน ขนาดคนจากตำหนักสรรพชีวิต พวกเขายังฆ่าทันทีที่เจอ กะอีแค่คนจากสามโลกเบื้องล่างคนเดียว ทำไมผู้อาวุโสฮุยถึงห้ามไม่ให้เขาลงมือ

“ดูนั่น” ผู้อาวุโสฮุยยื่นคางชี้ ดวงตาของบุรุษชุดเขียวมองตามไป สายตาของเขาเคลื่อนจากใบหน้าของจวินอู๋เย่าลงไปที่เท้าของเขา!

ทันใดนั้น เขาก็เห็นว่าเท้าของจวินอู๋เย่าไม่ได้สัมผัสพื้นดิน แต่เขาลอยอยู่เหนือพื้นประมาณหนึ่งฝ่ามือ

มองทีเดียว บุรุษชุดเขียวก็เหงื่อแตกพลั่กทันที

คนจากตำหนักสรรพชีวิตหอบอย่างหนัก เขามองไปที่จวินอู๋เย่าและสังเกตเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ของจวินอู๋เย่าเข้า

ก็เหมือนกับบุรุษชุดเขียว เขาตกตะลึงพรึงเพริดไม่ต่างกัน!

การลอยตัวนั้นมีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เท่านั้นที่จะทำได้ ทั่วทั้งสิบสองตำหนัก นอกจากจ้าวตำหนักของสิบสองตำหนักแล้ว ก็ไม่มีใครทำได้อีก แถมจ้าวตำหนักของสิบสองตำหนักทุกคนก็ทำได้แค่ลอยตัวเพียงช่วงเวลาสั้นๆ มันต้องใช้การตั้งสมาธิรวบรวมพลังวิญญาณไปไว้ที่เท้าเพื่อให้ลอยตัวอยู่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่บุรุษตรงหน้าพวกเขากลับใช้มันแทนการเดิน และที่ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีกคือเขาไม่สามารถตรวจจับพลังวิญญาณจากบุรุษคนนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

คนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจและตำหนักสรรพชีวิตตระหนักได้แทบจะในทันทีนั้น ไม่ว่าบุรุษตรงหน้าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม พลังอำนาจของเขาก็เหนือกว่าจ้าวตำหนักตำหนักของพวกเขาเองเสียอีก!

นี่มากพอจะทำให้พวกเขาหวาดกลัวได้แล้ว

แม้ว่าจ้าวตำหนักสิบสองตำหนักในสามโลกชั้นกลางจะไม่ได้ถือว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ก็นับเป็นยอดฝีมือชั้นหัวกะทิ มีคนไม่มากหรอกที่จะเอาชนะพวกเขาได้ และใครก็ตามที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ก็ย่อมจะมีภูมิหลังที่ทรงอำนาจเช่นกัน

ตอนนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจหรือตำหนักสรรพชีวิต ต่างก็ไม่โง่พอที่จะท้าทายจวินอู๋เย่า

เสียงการปะทะกันของอาวุธที่ดังไปทั่วบริเวณเมื่อครู่ก่อนเงียบกริบลงทันทีที่จวินอู๋เย่าปรากฏตัว

“ไม่ทราบว่าท่านผู้มาเยือนเป็นใคร วันนี้ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจต้องจัดการเรื่องส่วนตัวสักเล็กน้อย ถ้าพวกเราล่วงเกินท่าน โปรดอภัยให้เราด้วย” ผู้อาวุโสฮุยที่เย็นชาและหยิ่งยโสเปลี่ยนท่าทีเป็นเคารพยำเกรงทันที น้ำเสียงของเขาสุภาพมาก

ใบหน้าของจวินอู๋เย่าเผยรอยยิ้มชั่วร้าย เขากวาดตามองคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจโดยไม่พูดอะไรสักคำ

ความเงียบของเขาทำให้คนที่ยืนอยู่บนผาสุดขอบฟ้ายิ่งกระวนกระวายกันมากขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยเม่ยกับเยี่ยซาก็ตามมาทัน พวกเขามายืนขนาบข้างจวินอู๋เย่า

แต่พอเยี่ยซาและเยี่ยเม่ยปรากฏตัว บุรุษชุดเขียวและผู้อาวุโสฮุยก็สีหน้าเปลี่ยนทันที!

ชายชุดดำคนนั้นคือคนที่ระเบิดตัวเองที่เทือกเขาเมฆาไม่ใช่หรือ เขาระเบิดตัวตายไม่เหลือซากไปแล้วนี่ ทำไม…ถึงมาโผล่ที่นี่ได้เล่า

บุรุษชุดเขียวตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขาพยายามที่จะบอกตัวเองว่าบุรุษที่เขาเห็นไม่ใช่คนเดียวกับที่เขาเจอที่เทือกเขาเมฆา แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ใบหน้าของบุรุษคนนั้นก็เหมือนกับคนที่เขาเจอที่เทือกเขาเมฆา! แม้แต่เสื้อผ้าและท่าทางก็ยังเหมือนกัน!

และสิ่งที่ทำให้เขากลัวมากขึ้นก็คือ ประโยคที่จวินอู๋เย่าถามบุรุษคนนั้น!

ตอนที่ 1292 คิดบัญชี (2)

“สองคนนั้นหรือ” จวินอู๋เย่าถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

คำถามของจวินอู๋เย่าทำให้บุรุษชุดเขียวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เหงื่อโชกทั่วร่าง

สองคนนั้น!

สองคนไหน

คำถามนั้นทำให้บุรุษชุดเขียวนึกถึงตอนที่เขากับผู้อาวุโสฮุยโจมตีเยี่ยซาทันที!

เยี่ยซาเงยหน้าขึ้นช้าๆ สายตาเย็นเยียบดุร้ายกวาดมองบุรุษชุดเขียวและผู้อาวุโสฮุยก่อนจะพูดว่า “นั่นขอรับ” พร้อมกับพูด เขายกมือขึ้นชี้ไปที่บุรุษชุดเขียวกับผู้อาวุโสฮุย

พอเยี่ยซาชี้นิ้วมาที่พวกเขา หัวใจของบุรุษชุดเขียวกับผู้อาวุโสฮุยก็หล่นวูบลงเหวลึก พวกเขาหันไปมองจวินอู๋เย่าโดยไม่ได้ตั้งใจ และเห็นว่ามุมปากของจวินอู๋เย่าโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเย็นชา รอยยิ้มที่ทำให้พวกเขาสั่นจนถึงกระดูก

“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด! โปรดฟังเราอธิบายก่อน!” บุรุษชุดเขียวรีบพูดด้วยความกลัวจับใจ ไม่รู้ทำไม สายตาของจวินอู๋เย่าถึงทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเขาต้องตายแน่ ความกลัวที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนกระจายไปทั่วร่าง ทำให้เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย

“โอ้” จวินอู๋เย่าเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มที่มุมปากไม่เคยจางหาย ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รีบร้อนลงมือ

คำตอบพยางค์เดียวของจวินอู๋เย่า ทำให้บุรุษชุดเขียวรู้สึกเหมือนว่าได้เจอกับแสงแห่งความหวังสุดท้ายที่จะรอดชีวิต

“เรา…เราแค่อยากจับเด็กหนุ่มที่มีภูติวิญญาณประเภทพฤกษา ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างปัญหาให้พี่ชายท่านนี้เลยสักนิด ไม่ได้อยากทำร้ายเขาเลยด้วย! วันนั้น…วันนั้น ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสฮุยจะทำร้ายเขา แต่เราก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิตเขาเลย แค่อยากหยุดเขาไม่ให้มายุ่งกับภารกิจของเราเท่านั้น…” บุรุษชุดเขียวพูดเสียงสั่น ไม่เหมือนคนหยิ่งยโสอย่างตอนที่คุยกับคนจากตำหนักสรรพชีวิตเลย

จวินอู๋เย่ามองเขายิ้มๆ

บุรุษชุดเขียวไม่สามารถหยั่งได้ว่าจวินอู๋เย่าคิดอะไรอยู่ เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก

สีหน้าของผู้อาวุโสฮุยบิดเบี้ยวไม่น่ามองเอามากๆ

จวินอู๋เย่านิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดพร้อมหัวเราะว่า “ที่เจ้าพูดมา วันนั้นพวกเจ้าตั้งใจจะฆ่าเด็กหนุ่มที่ครอบครองภูติวิญญาณประเภทพฤกษาเท่านั้นสินะ”

บุรุษชุดเขียวคิดว่าเขาเจอช่องทางที่จะพลิกสถานการณ์ได้แล้ว จึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

“ใช่แล้ว เป้าหมายของเรามีแค่จับภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั่นมาเท่านั้น เราไม่ได้อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจไม่อนุญาตให้เราลงมือตามใจชอบ แต่พี่ชายท่านนี้ก็เลือกที่จะระเบิดตัวเองในวันนั้น…” ตอนนี้บุรุษชุดเขียวกังวลใจอยากแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนน่ากลัวที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคนนี้

เมื่อได้ยินคำอธิบายของบุรุษชุดเขียว คนจากตำหนักสรรพชีวิตก็ยิ้มเยาะ

“ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจไม่อนุญาตให้เจ้าลงมือตามใจชอบหรือ นั่นเป็นเรื่องตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาเลย! ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจหยิ่งผยองอวดดีมาตลอด นั่นเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วสามโลกชั้นกลาง ทำไมพี่ชายท่านนี้ถึงเลือกระเบิดตัวเองเล่า ถ้าพวกเจ้าไม่ต้อนเขาจนมุม เขาจะเลือกทำแบบนั้นไปทำไม!” คนจากตำหนักสรรพชีวิตกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยาม แม้ว่าเขาจะสู้คนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เห็นได้ชัดว่าบุรุษลึกลับที่ไม่รู้ที่มาที่ไปผู้นี้มีความขัดแย้งบางอย่างกับบุรุษสองคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ เขาย่อมไม่พลาดโอกาสทองที่จะเติมน้ำมันลงไปในกองเพลิง

ถ้าเขาทำให้บุรุษคนนั้นโกรธได้มากพอที่จะกำจัดคนจากตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ พวกเขาก็จะรอดจากวิกฤตครั้งนี้

บุรุษชุดเขียวพยายามอย่างหนักที่จะทำให้คนน่ากลัวนั้นระงับโทสะลง เมื่อเขาเห็นคนจากตำหนักสรรพชีวิตพูดจายั่วยุเช่นนั้น เขาก็รีบตะโกนเสียงดังทันที “เจ้าอย่าพูดจาพล่อยๆ! ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจของเราระมัดระวังตัวอยู่ในขอบเขตเสมอ ไม่เคยต่อสู้โดยไม่จำเป็น!”

เขาภาวนาอยู่ในใจ ขอให้จวินอู๋เย่าไม่เชื่อคำพูดของคนจากตำหนักสรรพชีวิต