บทที่ 640 เสี่ยวหลีจื่อเป็นพยาน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 640 เสี่ยวหลีจื่อเป็นพยาน

บทที่ 640 เสี่ยวหลีจื่อเป็นพยาน

ทันทีที่เหมียวซื่อได้ยินว่านางจะถูกทุบตีก็ทำได้แต่หุบปากฉับ เพราะกลัวว่าถ้านางยังพูดอะไรอีก ลวี่เทาจะทุบตีนางจริง ๆ

ลวี่เทาเห็นว่าห้องพิจารณาคดีกลับมาเงียบอีกครั้งก็มองไปที่หลี่ฝานอย่างเย็นชาและพูดอย่างไม่พอใจ “เถ้าแก่หลี่ เจ้าเป็นเจ้าของเป็นกิจการ ดังนั้นเจ้าจึงย่อมรู้วิธีแยกแยะถูกผิด และเจ้ายังรู้ว่าทุกอย่างต้องใช้หลักฐาน เจ้ามีหลักฐานอะไรพิสูจน์ว่าเหมียวเอ้อร์ยักยอกเงินมากกว่าสองพันตำลึงกัน?”

หลักฐาน? เขาจะบอกคนเหล่านี้ว่ากู้เสี่ยวหวานคำนวณตัวเลขเหล่านี้ได้หรือ?

หลี่ฝานเม้มริมฝีปาก คิดหาทางตอบโต้ แต่เขาไม่ได้ตอบออกไป

เมื่อเห็นว่าหลี่ฝานเงียบ ใบหน้าของลวี่เทาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “หลี่ฝาน เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบคำถามของข้า? ถ้าเจ้าตอบไม่ได้ จะมีคนตอบให้เจ้าเอง! เบิกตัวพยานมาที่นี่!”

หลี่ฝานหันกลับมาและต้องการดูว่าพยานคนนี้คือใครกัน?

เมื่อครู่เขาได้ยินเจ้าหน้าที่ในศาลบอกว่ามีพยานจากร้านจิ่นฝู คนผู้นั้นเป็นใครกัน?

ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นชายร่างท้วมคนหนึ่งเดินก้มหน้าตามหลังเจ้าหน้าที่เข้ามา เขาก้มหน้าตลอดเวลา หลี่ฝานจึงยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร

เมื่อเขามายืนอยู่ข้างหลี่ฝาน และเงยหน้าขึ้นมองหลี่ฝาน หลี่ฝานก็พลันรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเขามาจากร้านอาหารของเขา

แต่เนื่องจากมีพนักงานในร้านอาหารมากเกินไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้จักพนักงานทั้งหมด มีเพียงไม่กี่คนที่เขาคุ้นเคยและเรียกใช้งานบ่อย ๆ

เมื่อเห็นหลี่ฝานมองเขาแปลก ๆ เสี่ยวหลีจื่อก็รู้ว่าเจ้าของร้านจำเขาไม่ได้ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี เขาอยู่ที่ร้านจิ่นฝูมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่เขาก็ยังทำแค่เรื่องจิปาถะ ถึงกระนั้นหลี่ฝานก็แทบไม่เคยได้เห็นเขา

เสี่ยวเซิ่งจื่อไม่ยอมให้เขาติดต่อกับหลี่ฝานเลย อีกฝ่ายต้องกลัวว่าเขาจะฉลาดเกินไปและขโมยงานของตนแน่!

“เจ้ามาจากร้านจิ่นฝูของข้าหรือ?” หลี่ฝานมองซ้ายขวา แต่เขาก็ยังจำไม่ได้จึงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

แต่เสี่ยวหลีจื่อไม่ตอบ หากแต่คุกเข่าลงและพูดอย่างเฉียบขาด “ข้าน้อย เสี่ยวหลีจื่อ คารวะใต้เท้า!”

ลวี่เทาส่งเสียงรับ และถามอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“ใต้เท้า ข้าน้อยเป็นพนักงานของร้านจิ่นฝู และอยู่ที่ร้านจิ่นฝูมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว” เสี่ยวหลีจื่อเหลือบมองหลี่ฝานอย่างเศร้าสร้อยและพูดอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อเห็นความไม่เต็มใจของเขา ลวี่เทาก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “แล้วทำไมเถ้าแก่หลี่ถึงไม่รู้จักเจ้า?”

หลี่ฝานไม่รู้จักเสี่ยวหลีจื่อเลย ทั้ง ๆ ที่เสี่ยวหลีจื่อก็ทำงานในร้านจิ่นฝูน่ะหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!

“ครั้งที่ท่านเหมียวยังอยู่ ข้ายังวิ่งขึ้นลงชั้นล่างได้ ท่านเหมียวใจดีกับข้า บอกว่าข้าฉลาด มีไหวพริบ ข้าทำสิ่งต่าง ๆ ได้ เขายังบอก… บอกว่า…” เสี่ยวหลีจื่อพูดไม่กี่คำเหล่านี้ก็หยุดไปอีกครั้ง ราวกับว่าโกรธและอับอายมาก

“จะพูดอะไรก็พูดออกมาเสียให้หมด ในห้องพิจารณาคดีนี้ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนสิ่งใดไว้!” ลวี่เทาตะโกนเมื่อเห็นความลังเลใจของเขา

“คุณชายเหมียวบอกว่า เขาเริ่มทำงานที่ร้านจิ่นฝูตั้งแต่ร้านจิ่นฝูเปิดทำการในเมืองหลิวเจีย เขายังคงทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายปี แม้จะไม่ได้รับรางวัล แต่เป็นเพราะเขารู้เพียงวิธีทำสิ่งต่าง ๆ ในทุกวัน เขาจึงไม่รู้จะประจบเถ้าแก่ร้านอย่างไร จนถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ของเขากับเถ้าแก่ร้านยังคงธรรมดา แต่เสี่ยวเซิ่งจื่อต่างออกไป เขาก็แค่คนที่ทำอะไรไม่ได้ แต่เถ้าแก่ร้านกลับชอบพาเขาออกไปไหนมาไหนด้วยตลอด”

เสี่ยวหลีจื่อพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าอยู่ที่ร้านจิ่นฝูมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และข้าก็ทำงานหนักมาก แต่ข้าก็ยังเป็นเด็กในครัว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสี่ยวเซิ่งจื่อ ถ้าเขาไม่หยุดข้าไม่ให้พบเถ้าแก่ไว้เสมอ เถ้าแก่จะจำข้าไม่ได้เช่นนี้หรือ!”

อะไรนะ? หลี่ฝานรู้สึกตกตะลึงหลังจากได้ยินสิ่งที่เสี่ยวหลีจื่อพูด

นี่…

เขาชอบพาเสี่ยวเซิ่งจือไปด้วยเพราะอีกฝ่ายมีความยืดหยุ่น ทำงานหนัก เป็นคนดี มีจิตใจบริสุทธิ์ และไม่มีความคิดคดโกง

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่เขาไม่คุ้นเคยกับเหมียวเอ้อร์และเสี่ยวหลีจื่อที่อยู่ตรงหน้าเขากัน?

หลี่ฝานตกตะลึง และสิ่งที่เสี่ยวหลีจื่อพูดออกมานั้น ทำให้เขาประหลาดใจมากยิ่งขึ้น

“ไม่สำคัญหรอกว่าเถ้าแก่หลี่จะไม่รู้จักข้า แต่คุณชายเหมียวทำงานที่ร้านจิ่นฝูมานานแล้ว เขาอยู่ที่นั่นตั้งแต่เปิดร้าน ตอนนี้ร้านจิ่นฝูกลายเป็นร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลิวเจีย ทั้งยังเปิดสาขาในเมืองรุ่ยเสียน ในฐานะที่คุณชายเหมียวทำงานมาตั้งแต่ร้านจิ่นฝูเปิด เขาเองก็เป็นวีรบุรุษด้วยถูกไหม?” เสี่ยวหลีจื่อเอาแต่ร้องไห้ราวกับกำลังท้วงว่าหลี่ฝานไม่ควรดูหมิ่นเหมียวเอ้อร์

เมื่อเหมียวซื่อที่อยู่ด้านข้างได้ยินเสี่ยวหลีจื่อพูดถึงเหมียวเอ้อร์ ปากและใบหน้าของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ซึ่งเหมียวซื่อระเบิดน้ำตาออกมาราวกับรู้สึกเหน็บหนาวแทนเหมียวเอ้อร์ของครอบครัวนาง

“แต่หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานมาทำบัญชี เถ้าแก่หลี่ก็เชื่อที่ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าคุณชายเหมียวโลภและยักยอกเงินของร้านมากกว่าสองพันตำลึง นี่มันเหลวไหลจริง ๆ! คุณชายเหมียวขยันหมั่นเพียรและมัธยัสถ์ ทำไมถึงพูดว่าเขาโลภมากกัน?” เสี่ยวหลีจื่อดูเหมือนจะไม่เชื่อ ซึ่งเมื่อเขาพูดเรื่องนี้เขาก็ดูโกรธกว่าเดิม ราวกับคนที่ถูกกล่าวหาคือเขาเสียเอง

“เจ้าพูดอะไร? กู้เสี่ยวหวานคำนวณเงินที่เหมียวเอ้อร์ยักยอกไปหรือ?” ลวี่เทาได้ยินเช่นนั้นก็ตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เป็นจริงอย่างที่ใต้เท้าพูด!” เสี่ยวหลีจื่อมองไปที่หลี่ฝานอย่างเศร้าสร้อย และพูดอย่างหนักแน่น

ในเวลานี้ ทุกคนที่ได้ยินก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลวี่เทาพูดอย่างเน้นย้ำ ดวงตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย

“เกิดอะไรขึ้น? ผู้หญิงคนนั้นคำนวณเงินออกมาว่าเหมียวเอ้อร์ยักยอกเงินไปเท่าไรงั้นหรือ?”

“นางทำได้อย่างไรกัน?”

ทุกคนมองดูพลางพูดจาคาดเดาว่า คำพูดของเสี่ยวหลีจื่อหมายถึงอะไร!

“หลี่ฝาน คำพูดของเสี่ยวหลีจื่อเป็นความจริงหรือไม่?” ห้องพิจารณาคดีมีเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ และเสียงพูดของผู้คนที่เฝ้าดูก็มีชีวิตชีวาก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะกลบเสียงของพวกเขา

ลวี่เทาเคาะค้อนทันที “เงียบ! พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งเสียงดังในห้องพิจารณาคดี หากยังรบกวนการพิจารณาคดีของข้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะถูกจัดการตามกฎหมาย!”

ผู้ชมสงบปากสงบคำทันที และห้องพิจารณาคดีที่มีเสียงดังก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง