บทที่ 611 ขอแต่งงาน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“รายงาน?”นัทธีเพ่งสายตาไป“พูดแบบนี้แสดงว่า เธอติดต่อนวิยาได้?”

“ฉันเคยถามพยาบาลแล้ว พยาบาลบอกว่า นวิยาให้ไอดีวีแชทเธอไว้ ให้เธอส่งข้อความไปหาวีแชทนั้นทุกวัน แต่นวิยาไม่เคยตอบ ดังนั้นฉันเดาว่า ไอดีวีแชทนั้น ก็แค่แอคสำรองที่ทิ้งได้ตลอดเวลา พวกเราไม่อาจรู้ได้เลยว่า เธอลงทะเบียนวีแชทนั้นที่ไหน ร้านคอม หรือว่าโรงแรม”

พูดถึงตรงนี้ พิชิตก็ถอนหายใจเบาๆ“ดังนั้นจะหานวิยาให้เจอจากวีแชทนั้น เป็นไปไม่ค่อยได้”

นัทธีขยี้คิ้ว“ฉันรู้ แล้วก็ ใช้คอนเนคชันแก ไปติดต่อโรงพยาบาลอื่นหน่อย”

พิชิตฉลาดมาก เข้าใจความหมายของเขาทันที สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย“นัทธี แกสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมที่นวิยาจะเอายาจากที่โรงพยาบาลอื่น?”

“ในเมื่อเธออยากได้ยาอันตรายขนาดนั้น เอามาจากแกไม่ได้ แล้วทำไมไม่ไปเอาที่อื่นล่ะ?”นัทธีเงยขึ้นถามเขา

“เอ่อ……”พิชิตพูดไม่ออก ไม่สามารถโต้กลับได้ในทันที

ใช่ เอาจากเขาไม่ได้ ทำไมไม่ไปเอาที่อื่นล่ะ

ก็ไม่ใช่ว่าต้องยึดติดอยู่แค่หนทางเดียวสักหน่อย!

“ฉันเข้าใจแล้ว”พิชิตปวดหัวสุดๆ“ฉันจะไปติดต่อโรงพยาบาลอื่น”

นัทธีตอบอือ“ทำเป็นการส่วนตัว อย่าถูกจับได้”

“วางใจเถอะ”พิชิตพยักหน้า จากนั้นเดินออกมา

วารุณีเห็นแบบนี้ ก็จูงมือของอารัณเดินเข้ามา“พูดจบแล้ว?”

เธอไม่ได้ถามพวกเขาว่าพูดอะไร

ตอนเธอเดินออกไป พวกเขาก็ไม่ได้เรียกเธอไว้ ไม่อยากให้เธอรู้

ดังนั้นเธอเลยไม่ถาม

นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย“พูดจบแล้ว”

“งั้นก็ดี ถึงเวลาที่คุณต้องฟื้นร่างกายแล้ว พวกเรากลับไปก่อนดีกว่า”วารุณีพูดไป ก็ปล่อยมือของอารัณด้วย พยุงเขาไว้

อารัณก็ไปประคองนัทธีอีกด้านอย่างเป็นเด็กดี

ภาพอันอบอุ่นและกลมเกลียวของสามคนพ่อแม่ลูกเป็นที่น่าอิจฉา

ป้าส้มควบคุมรถเข็นตัวเองตามอยู่ด้านหลัง มองเห็นฉากนี้ ก็ยิ้มกว้าง

กลับไปที่ห้องคนไข้ วารุณีประคองนัทธีมาถึงเตียงคนไข้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

วารุณีหยิบมาดู เป็นมารุตโทรมา

เธอมองไปที่นัทธีอย่างแปลกใจเล็กน้อย“ผู้ช่วยมารุตค่ะ ทำไมเขาไม่โทรหาคุณ แต่โทรมาหาฉันล่ะ?”

“คุณไม่ได้ให้เขาไปรับลูกสาวเหรอ?เกรงว่าจะเป็นเรื่องของลูกสาวน่ะสิ”นัทธีบีบมือเล็กๆของอารัณแล้วพูด

วารุณีพยักหน้า“ฉันลืมไปเลยแหละ”

พูดจบ เธอก็กดรับสาย“ฮัลโหล ผู้ช่วยมารุต”

“หม่ามี๊”คาดไม่ถึงเลย ปลายสายที่ส่งเสียงมา ไม่ใช่เสียงของมารุต แต่เป็นเสียงหวานนุ่มของไอริณ

วารุณีจึงดูนุ่มนวลลง เสียงก็อ่อนโยน“ลูกรัก”

“หม่ามี๊ หนูคิดถึงหม่ามี๊มากเลย”ไอริณเบะปาก ตอบกลับอย่างน้อยใจ

ปลายจมูกวารุณีร้อนผ่าว“ลูกรัก หม่ามี๊ก็คิดถึงหนู”

“ดังนั้นหนูเลยกลับมาหาหม่ามี๊ หนูกับคุณอามารุตเพิ่งลงเครื่อง”ไอริพูดอย่างยิ้มร่า

วารุณีพยักหน้า“โอเค หม่ามี๊รู้แล้ว ลูกรักจะพูดกับพ่อไหม?”

“เอาค่ะ”ไอริณตอบกลับไป

วารุณีเอาโทรศัพท์ยื่นให้นัทธีด้วยรอยยิ้ม“ไอริณจะคุยกับคุณ”

นัทธีรับโทรศัพท์มา คิ้วก็คลายลงเล็กน้อย

สองคนพ่อลูกคุยโทรศัพท์กัน อารัณก็ร่วมคุยบ้าง วารุณีกลับมองยิ้มๆอยู่ด้านข้าง

โทรศัพท์สายนี้คุยไปประมาณสิบกว่านาทีได้ ไอริณต้องขึ้นรถแล้ว จึงวางสาย

หนึ่งชั่วโมงถัดมา มารุตพาไอริณมาที่ห้องคนไข้

ไอริณเห็นวารุณีกับนัทธี ก็ถลาเข้าใส่วารุณีทันที

วารุณีรับเธอไว้ หลังจากเอาใจเธอด้วยเสียงนุ่มนวลไปสักพักแล้ว ก็วางเธอไว้ที่เตียง ให้เธอไปติดหนึบกับนัทธี

แต่น่าจะนั่งเครื่องบินจนเหนื่อยมากไป ไอริณอยู่ไม่นาน ก็นอนหลับแผ่ไปที่อกของนัทธี

นัทธีอุ้มเธอวางไว้ด้านข้างเบาๆ ห่มผ้าห่มให้เธอ คอยตบหลังของเธอเรื่อยๆ แสดงความรักของพ่ออย่างชัดเจน

แป๊บเดียว ก็ผ่านไปสองสามวัน นัทธีฟื้นตัวออกจากโรงพยาบาลได้

เพื่อฉลองที่เขาออกจากโรงพยาบาล วารุณีก็ตั้งใจจองสถานที่ที่โรงแรม เชิญปาจรีย์ไปกินข้าวด้วยกัน

ตอนดึก วารุณีกับนัทธีจูงมือลูกคนละคนมาที่โรงแรม มารุตเข็นป้าส้มตามหลัง

ปาจรีย์มาหลังสุด พูดอย่างรู้สึกผิด:“ขอโทษนะ วารุณี ประธานนัทธี รถติดมาก ฉันไม่ได้มาสายใช่ไหม?”

“ไม่เลย รีบนั่งสิ”วารุณีชี้ที่นั่งที่ทิ้งไว้ให้เธอ

ปาจรีย์พยักหน้ายิ้มๆ เดินไปดึงเก้าอี้มานั่ง“งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”

“ดูว่าอยากกินอะไร สั่งได้เลย”วารุณียื่นเมนูให้เธอ

ปาจรีย์รับไปแล้ว ก็เริ่มสั่งอาหาร

ทันใดนั้น นัทธีก็ยืนขึ้นมา

ทุกคนต่างมองไปที่เขา ไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร

มีแค่เด็กทั้งสองคนที่สบตากัน แอบยิ้ม

วารุณีเห็นแบบนี้ ก็เข้าใจทันทีว่าสามคนพ่อลูกจะต้องทำเรื่องอะไรลับหลังเธอแน่

โอเค งั้นเธอก็จะดู สามคนพ่อลูกนี้ทำอะไรกันแน่

วารุณีกุมหัวไว้แล้วมองนัทธี

ก็เห็นนัทธียื่นมือเข้าไปในกระเป๋าชุดสูทของตัวเองแล้วลูบ จากนั้นหยิบกล่องเล็กกำมะหยี่สีดำหนึ่งกล่อง

กล่องนั้น แค่มองก็รู้ว่าใส่แหวนไว้

วารุณีตระหนักอะไรได้ทันที ปิดปากตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ปาจรีย์ป้าส้มกับมารุตสามคนนี้ก็ตระหนักได้ ใบหน้านั้นยิ้มอย่างแปลกใจ

นัทธีเปิดกล่องออก เผยให้เห็นแหวนเพชรที่สะดุดตามากด้านใน

เขามองวารุณี สายตานั้นอ่อนโยน จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ภายใต้การมองของวารุณี“ภรรยา พวกเราแต่งงานกันเถอะ”

เบ้าตาของวารุณีเปียกชื้นและแดงขึ้นมา เสียงก็แหบ“พวก……พวกเราแต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“แต่ผมยังไม่จัดงานแต่งให้คุณ ดังนั้นความหมายของผมคือ จัดงานแต่ง ประกาศต่อทั้งโลก ว่าพวกเราแต่งงานกัน”นัทธีหยิบแหวนขึ้นมา

เดิมทีกะว่ารอจนสุขใจครบเดือนก่อน พวกเขาค่อยจัดงานแต่ง

แต่ยังไม่ทันทำตามแผนก็มีการเปลี่ยนแปลง สุขใจคลอดก่อนกำหนดสี่เดือน ดังนั้นงานแต่งของพวกเขา สามารถจัดก่อนได้

และที่สำคัญที่สุดคือ นัทธีประสบเรื่องไม่คาดคิดครั้งนี้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่า มีเรื่องอะไรต้องทำ ก็ต้องรีบทำ ไม่งั้นต้องเสียใจไปทั้งชีวิต

วินาทีที่เขาถูกก้อนหินชนจนสลบ ที่จริงเขาคิดว่าตัวเองจะตายไหม เพราะยังไงตอนนั้นก็อยู่ในน้ำ

ดังนั้นตอนนั้น เขาจึงเสียใจมาก ทำไมไม่จัดงานแต่งกับวารุณีตั้งนานแล้ว ถ้าเขาตายจริงๆ เขาก็เป็นหนี้งานแต่งวารุณีไปครั้งหนึ่ง

ดังนั้นครั้งนี้ พอเขาฟื้นมา ก็ให้ผู้จัดการช่วยทำแหวนวงนี้ขึ้นมา ก็เพื่อรีบจัดงานแต่งงานกับเธอ

ถ้าอนาคตเขาเกิดอะไรขึ้นอีก เขาก็ไม่ต้องเสียใจใดๆ

วารุณีไม่รู้ว่าในใจนัทธีกำลังคิดอะไรอยู่ เธอมองแหวนวงนี้ แล้วก็มองดวงตาที่จริงใจของเขา น้ำตาไหลด้วยความดีใจแล้วจึงพยักหน้า“ค่ะ!”

เธอตกลงแล้ว

ปาจรีย์รีบเร่ง“ประธานนัทธี จะงงทำอะไรคะ ยังไม่สวมแหวนให้วารุณีอีก”

ป้าส้มก็พยักหน้า“ใช่ค่ะคุณผู้ชาย รีบสวมให้คุณผู้หญิงสิ”

ภายใต้การเร่งของทุกคน นัทธีหยิบแหวนออกมาจากกล่อง สวมไปที่ของนิ้วกลางของวารุณี

ใช่ นิ้วกลาง

เพราะว่าพวกเขาเป็นสามีภรรยากันตายกฎหมายแล้ว นิ้วนางของทั้งสองคนก็มีแหวนแต่งงานแล้ว ดังนั้นแหวนวงอื่น ก็ได้แต่สวมไปที่นิ้วอื่น

“เรียบร้อย!”หลังสวมแหวนเสร็จ นัทธีจับนิ้วมือของวารุณี ก้มหน้าลงจูบเบาๆไปที่แหวนวงนั้น

คนอื่นๆเห็น ก็ปรบมือกันรัวๆ แสดงความยินดี

เด็กทั้งสองคนกระโดดขึ้นด้วยความดีใจ

“ดีจัง ในที่สุดพ่อกับหม่ามี๊ก็จัดงานแต่งแล้ว!”