บทที่ 523 สามีภรรยาพบพาน (1)
คนที่พวกเขากำลังไปรับคือบุตรชายขององค์หญิงหนิงอันและหวงฝู่เจิง ซึ่งปีนี้อายุสิบสามปี ตอนที่องค์หญิงพูดถึงเขา ทรงไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยประโยคเดียวว่า “สุขภาพของเขาไม่ค่อยดีนัก”
แต่เมื่อทั้งสามคนมาถึงตามที่อยู่ที่องค์หญิงให้ไว้ ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาประเมินความหมายของคำว่า ‘สุขภาพไม่ดี’ ต่ำไปจริงๆ
บุตรชายของพระองค์เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนรถเข็น แก้มตอบร่างกายผอมแห้งและผิวซีด เขาถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมหนาและขนสุนัขจิ้งจอกบนคอเสื้อปลิวไสวไปตามลมหนาว
เขามีดวงตาเฉี่ยวเหมือนพ่อของเขา
ส่วนจมูกและปากนั้นเหมือนกับองค์หญิง
เขากำลังนั่งอยู่ในลานที่เต็มไปด้วยต้นไผ่เขียวขจี ล้อมรอบด้วยองครักษ์เพียงสี่คน
สีหน้าของเด็กหนุ่มไม่เปลี่ยนไปเลยหลังเห็นสามพี่น้องในชุดเกราะ เขาเพียงแค่จับล้อรถเข็นด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วเอ่ยเบาๆ “พวกท่านมารับข้ารึ”
“เอ่อ…เอ่อ ใช่!” กู้เฉิงเฟิงอึกอัก
“ไปกัน” เขาเลื่อนล้อรถเข็น
กู้ฉังชิงมองเขานิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินไปข้างหลังเขาก่อนจะอาสาช่วยเข็นรถให้ “กระหม่อมช่วยเอง”
เขาจึงยกมือขึ้นจากล้อรถเข็น
“คือว่า ท่านไม่ถามหน่อยหรือว่าพวกเราเป็นใครมาจากไหน” กู้เฉิงเฟิงสงสัย
เขาเอ่ย “หากไม่ใช่คนของท่านพ่อก็เป็นคนของท่านแม่ ในเมื่อท่านพ่อของข้าแพ้ศึก ดังนั้นข้าจึงเดาว่าท่านแม่ส่งพวกท่านมา”
“ฉลาดไม่เบาเลย” กู้เฉิงเฟิงพึมพำ
กู้เฉิงเฟิงออกอาการผิดหวัง
เขารู้ว่าวันนี้ต้องมารับคน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะมาเพื่อแค่รับคนอย่างเดียวจริงๆ
เขาก็อุตส่าห์คิดว่าจะต้องมีต่อสู้อะไรเสียอีก ท่านพี่จะได้เห็นฝีมือของเขา สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวอีกครั้ง!
กู้ฉังชิงเข็นรถเด็กชายไปที่ประตู
ส่วนกู้เจียวยืนกอดอกเอนตัวอยู่ข้างประตู
ขณะที่กู้ฉังชิงเข็นรถไปข้างหน้า กู้เจียวก็จ้องเขม็งไปที่ขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่ม
สายตาของนางมิใช่การมองโดยพละการ และมิใช่เพราะประหลาดใจ แต่เป็นการวิเคราะห์อาการของเขา
แต่เสียดายที่บนขาของเขามีผ้าคลุมคลุมไว้อยู่ กู้เจียวเลยมองอะไรไม่เห็น
ที่นี่มีรถม้าประจำที่ใช้สำหรับเด็กหนุ่มโดยเฉพาะที่สามารถเปิดประตูด้านหลังออกได้ พอเปิดก็มาก็จะเจอกับแผ่นรางไม้
กู้ฉังชิงเข็นรถเข็นขึ้นไปบนรางไม้ จากนั้นกู้เฉิงเฟิงช่วยปิดประตูรถให้
“แล้วพวกเขาล่ะ ไปด้วยกันไหม” กู้ฉังชิงเอ่ยพร้อมกับหันไปทางองครักษ์สี่คนที่อยู่ในเรือน
เด็กหนุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ที่เมืองหลวงขาดแคลนบ่าวขนาดนั้นเชียวรึ”
แม้ประโยคนี้จะไม่มีอะไรผิดแปลก แต่พอฟังแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก
แต่อย่างไรเสีย กู้ฉังชิงไม่ได้ต้องการจะตีสนิทกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เมื่อกลับไปถึงเมืองหลวง พวกเขาก็จะกลายเป็นแค่คนแปลกหน้ากันอยู่ดี
พื้นรถม้ามีที่กั้นสำหรับไม่ให้รถเข็นเลื่อนไปมาอยู่ เพียงแต่กู้ฉังชิงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ส่วนเด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้เอ่ยทักถึงจุดนี้
ขณะที่สารถีเตรียมตัวออกรถ กู้เจียวก็ร้องขึ้น “ช้าก่อน”
สารถีจึงหยุดรถ
กู้เจียวจัดแจงยกม่านขึ้นและเดินขึ้นรถม้า ดึงท่อนไม้สองสามอันที่ซ่อนอยู่บนพื้นของรถออกมาแล้วติดไว้ที่ล้อรถเข็น
กู้เจียวไม่ได้มีเจตนาที่จะแตะต้องขาของเขาแม้แต่นิด
หลังจากทำเสร็จ นางชำเลืองเด็กหนุ่มหนึ่งที ก่อนจะลงจากรถม้า
พวกเขาออกเดินทางก่อน ส่วนกองทัพนั้นตามหลัง
กู้ฉังชิงพบศาลาพักม้าขนาดเล็กระหว่างทางผ่านกลับเมืองหลวง จึงเช่าห้องไว้สองห้อง ห้องหนึ่งสำหรับกู้เจียว และอีกห้องสำหรับเด็กหนุ่ม
ตกกลางคืนกองทัพคงเดินทางมาถึงที่นี่ กู้ฉังชิงและกู้เฉิงเฟิงจึงเลือกพักผ่อนในกระโจม
เด็กหนุ่มพอได้ห้องปุ๊บก็เข้าไปพักผ่อนทันที และไม่ออกมาทานอาหารเย็น
พี่น้องทั้งสามก่อกองไฟในลานเพื่อย่างมันเทศและเนื้อแดดเดียว
กู้ฉังชิงคว้ากำธัญพืชและกอหญ้า จากนั้นเดินไปที่คอกม้าเพื่อให้อาหารม้า
กู้เฉิงเฟิงและกู้เจียวนั่งลงหน้ากองไฟ สักพักกู้เฉิงเฟิงกระเถิบย้ายไปนั่งข้างกู้เจียวพร้อมกับกระซิบ “นี่ เจ้าคิดว่าเด็กคนนั้นแปลกไหม”
“แปลกตรงไหนรึ” กู้เจียวเอ่ยถามพลางพลิกชิ้นเนื้อแดดเดียว
กู้เฉิงเฟิงกลืนน้ำลาย จากนั้นใช้แท่งไม้จิ้มลงไปที่ชิ้นมันเทศพร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ก็ในเมื่อพ่อของเขาตายแล้ว แต่เหตุใดเขาถึงดูไม่เศร้าเลย และไหนจะท่าทางของเขามักจะกวนใจข้าอยู่เสมอ ยังไม่นับเรื่องขาของเขาอีกนะ เจ้าว่าขาเขาเป็นอะไรกันแน่ถึงได้นั่งรถเข็นแบบนั้น เป็นเพราะบาดเจ็บหรือว่าพิการกันแน่ล่ะ”
ขณะที่กู้เฉิงเฟิงกำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พอเขาหันไปดูอีกทีก็เจอกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนรถเข็นท่ามกลางลมหนาว สภาพของเขาดูมืดมนราวกับผีจากยมโลก ไม่รู้ว่าออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่
ปกติแล้วกู้เฉิงเฟิงเป็นคนไม่กลัวอะไร แต่คราวนี้จู่ๆ เกิดขนหัวลุกจนเผลอทำมันเทศหลุดมือ!
กู้เจียวมองเขานิ่งๆ ก่อนจะหันมาสนใจกับการย่างเนื้อต่อ
“พวกเจ้ากำลังย่างอะไรกันอยู่รึ” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“เนื้อแดดเดียว” กู้เจียวตอบ
“ข้าจะกินด้วย” เด็กหนุ่มเอ่ย
กู้เจียวพลิกชิ้นเนื้อ พร้อมกับเอ่ย “ถ้าสุกแล้วเดี๋ยวเอาไปให้ที่ห้อง”
เด็กหนุ่มปฏิเสธ “ไม่เอาหรอก ข้าจะกินตรงนี้”
มีบันไดอยู่ข้างหน้าห้อง เด็กหนุ่มไม่สามารถลงมาเองได้ กู้เฉิงเฟิงเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นไปช่วยแบกเด็กหนุ่มรวมถึงรถเข็นลงมา จากนั้นก็เข็นมายังบริเวณหน้ากองไฟ
“ที่นี่ลมแรงนะ อีกประเดี๋ยวเจ้ารีบเข้าห้องไปเถอะ” กู้เฉิงเฟิงเตือนด้วยความหวังดี
เด็กชายไม่ตอบ แต่กลับมองไปที่กู้เจียวที่กำลังย่างเนื้ออย่างจริงจัง “เหตุใดเจ้าถึงสวมหน้ากาก หน้าตาของเจ้าอัปลักษณ์เสียจนให้ใครเห็นไม่ได้อย่างนั้นรึ”
กู้เฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็รีบเท้าเอว “นี่! พูดจะให้มันดีๆ หน่อย! พูดว่าใครอัปลักษณ์นะ!”
“ก็ถ้าไม่อัปลักษณ์ แล้วไยถึงปิดหน้าด้วยเล่า” เด็กหนุ่มเยาะเย้ย
กู้เฉิงเฟิงเริ่มอยากจะต่อยคนขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาตะคอกตอบกลับเด็กหนุ่มไป “ก็พวกเราอยากใส่นี่! ถ้าเจ้ามองว่าการปิดหน้าคือการไม่อยากให้ใครเห็นหน้า เช่นนั้นที่เจ้านั่งรถเข็นอยู่นี่เป็นเพราะไม่มีขาให้เดินหรืออย่างไร!”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ เขารู้สึกได้ว่าสีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป
จู่ๆ กู้เฉิงเฟิงก็ตระหนักได้ว่าเขาอาจพูดอะไรผิดไป เขาพยายามจะแก้ไข แต่มันก็สายเกินไป
เด็กหนุ่มค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น ราวกับกำลังยิ้มเยาะอยู่
จากนั้นเขายกมืออันซีดเผือดขึ้นแล้วดึงผ้าห่มที่คลุมขาออกต่อหน้ากู้เฉิงเฟิงที่กำลังรู้สึกผิดและตกตะลึง
ลมหนาวพัดขากางเกงที่ว่างเปล่าของเขาปลิวว่อน
…
พระราชสาส์นถูกส่งผ่านระยะทางแปดร้อยลี้มายังราชสำนักอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิบสอง ฮ่องเต้รวมถึงขุนนางและทหารทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พวกราชวงศ์ก่อนได้สมรู้ร่วมคิดกับพวกกองทัพของแคว้นเฉิน ทำให้ชายแดนทั้งสองแห่งของแคว้นเจาต้องเปิดศึกในคราวเดียวกัน
สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนล้วนไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิด
พวกเขาไม่คาดคิดว่าทหารตระกูลกู้จะชนะศึกได้เร็วปานนี้
ยิ่งทำให้ฮ่องเต้เริ่มตั้งตารอการกลับมาขององค์หญิงหนิงอัน กู้ฉังชิง ถังเย่ว์ซาน ท่านเหล่าโหวและพลทหารคนอื่นๆ
และแน่นอน แม่นางหมอเทวดาด้วย
ฮ่องเต้เป็นคนที่อนุมัติให้นางเดินทางออกนอกเมืองหลวงเอง ทรงคิดไม่ถึงว่านางจะกล้าเดินทางไปที่ชายแดน หากไม่ใช่เพราะสาส์นที่ถูกมาจากเมืองเย่ว์กู่ว่ามีคนของไทเฮาไปอยู่ที่นั่นพร้อมกับแสดงตราของตำหนักเหรินโซ่ว คงจะยังทรงไม่รู้ต่อไป
ถ้าเขารู้ว่านางไปสถานที่อันตรายเช่นนี้ คงไม่อนุมัติตั้งแต่แรก
และเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้เสด็จแม่ของเขาทรงกริ้วเป็นฟืนเป็นไฟและไม่ยอมพบหน้าเขามาสามวันสามคืนแล้ว!
“พวกเขากลับมากันหรือยัง” ฮ่องเต้นั่งไม่ติดพระที่นั่ง
“ใกล้แล้วพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่กี่วันก็ถึงแล้ว” เว่ยกงกงตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คราวก่อนเจ้าก็พูดแบบนี้!” ฮ่องเต้มองค้อนอย่างไม่พอใจ
เว่ยกงกงยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่ว่า… ที่ภูเขาเกิดหิมะตกหนัก ก็เลยออกเดินทางไม่ได้ในทันทีนะพ่ะย่ะค่ะ”
อากาศตอนขากลับนั้นหนาวกว่าตอนเดินทางออกไปเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณภูเขาที่มักหิมะตกหนักบ่อยขึ้น
เดิมที ตามกำหนดการของกองทัพ พวกเขาจะมาถึงเมืองหลวงในวันที่ยี่สิบ แต่ผ่านไปวันแล้ววันเล่า กลับยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขา!
ฮ่องเต้ทรุดตัวลงนั่งบนพนักเก้าอี้ “หากหมอเทวดาไม่กลับ ข้าเกรงว่าชีวิตนี้เสด็จแม่คงจะไม่เหลียวแลข้าอีก”
ที่จริงเขาคิดผิดไป ไม่ว่าเจียวเจียวจะกลับมาหรือไม่ จวงไทเฮาจะไม่ยุ่งกับคนเขลาเช่นเขาอีก!
บังอาจส่งกู้เจียวไปที่ชายแดน!
ทำไมนางถึงไม่เอาผ้าห่มกดลูกชายคนนี้ให้ตายตั้งแต่แรกนะ!