บทที่ 523 สามีภรรยาพบพาน (2)
ตัดมาที่ตรอกปี้สุ่ย ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของกู้เจียว
กู้เจียวออกไปตอนที่พวกเขาเข้านอนกันหมดแล้ว จนวันถัดมาเซียวเหิงถึงได้บอกกับทุกคนว่ากู้เจียวไปที่ชายแดนแล้ว
แม่นางเหยาพอฟังจบก็เป็นลมทันที
ที่ชายแดนกำลังมีสงคราม ไยนางถึงต้องไปที่อันตรายเช่นนั้น
กู้เหยี่ยนรู้สึกเหมือนครึ่งหนึ่งของเขาถูกตัดขาดออกไป
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นเอาแต่เป็นกังวลและซึมเศร้า
ด้วยความที่เขาเติบโตมากับกู้เจียว เขาใช้เวลากับกู้เจียวนานที่สุด ดังนั้นเขาคือคนที่รู้สึกอ้างว้างและไม่คุ้นชินมากที่สุด
ขณะที่เจ้าตัวเล็กจิ้งคงพอตื่นนอนขึ้นแล้วไม่เจอกู้เจียวก็เกือบจะปล่อยโฮออกมา แต่พอจิ้งคงได้อ่านจดหมายที่กู้เจียวเขียนทิ้งไว้ให้เขาก็ทำให้เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
เจียวเจียวไม่อยู่ที่เมืองหลวง ร้องไห้ไปก็เปล่าประโยชน์
เขาจะเก็บน้ำตานี้ไว้ รอวันที่กู้เจียวกลับมาแล้วเขาจะร้องให้ดู
ส่วนเซียวเหิงช่วงนี้กำลังทำงานสองที่ ทั้งสำนักฮั่นหลินและกรมราชทัณฑ์ ซึ่งข่าวของกรมราชทัณฑ์มักถึงไวกว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวในแนวหน้า กรมยุติธรรมและกรมกลาโหมจะเป็นฝ่ายแรกแรกที่รู้
จะว่าเป็นเรื่องงานหรือเป็นเรื่องส่วนตัวก็ได้ เซียวเหิงใช้เวลาขลุกอยู่ที่กรมราชทัณฑ์มากกว่า เขาเปิดผนึกจดหมายไปแล้วนับไม่ถ้วน
“หิมะถล่มบนเขาอีกแล้วรึ”
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์เอ่ยถามเซียวเหิงที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดกองจดหมาย
เซียวเหิงเอ่ยตอบพร้อมกับเก็บจดหมายให้เข้าที่ “ขอรับ ที่ชางโจว”
เสนาบดีกรมราชทัณฑ์ขมวดคิ้วเอ่ย “ชางโจวอยู่ห่างจากที่นี่อย่างน้อยเจ็ดหรือแปดวัน พวกเขาคงกลับมาไม่ทันปีใหม่แน่ๆ ”
มะรืนนี้ก็วันสิ้นปีแล้ว ต่อให้ควบม้าต่อเนื่องอย่างไรก็ไม่มีทางถึงทัน
เซียวเหิงมองดูหิมะที่โปรยปรายอยู่นอกหน้าต่างพร้อมกับครุ่นคิด
ชายแดนทั้งหนาวเย็นและเต็มไปด้วยควันดินปืน ขณะที่เมืองหลวงไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามแต่อย่างใด ถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านค้า และฝูงชน
ทุกครัวเรือนในตรอกปี้สุ่ยต่างพากันแขวนโคมแดง และติดคำอวยพร เรือนของพวกเขาเองก็เช่นกัน
ปีนี้ทั้งหลินเฉิงเยี่ยและเฝิงหลินเดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ที่โยวโจว
แม้จะมีคนอยู่เยอะ แต่บรรยากาศในเรือนยังคงว้าเหว่อยู่ดี เป็นเพราะกู้เจียวไม่อยู่ที่นี่
เจ้าตัวเล็กไม่ส่งเสียงร้องโวยวาย ส่วนยายเฒ่าเลิกเล่นไพ่กับเพื่อนบ้านแล้ว ลูกชายคนเล็กของแม่นางเหยาอายุได้สามเดือนแล้วและเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ไม่ร้องไห้หรือสร้างปัญหา ราวกับว่าที่เรือนนี้ไม่มีเด็กเล็กอย่างไรอย่างนั้น
จิ้งคงยืนบนธรณีประตู พร้อมกับยื่นศีรษะน้อยของเขามองไปทางตรอกซอกซอยทั้งสองด้านจนแขนทั้งสองข้างของเขาบินไปด้านหลัง
เจียวเจียว
เขาต้องการเจียวเจียว
พอได้ยินเสียงรถม้าดังขึ้นจากนอกเรือน จิ้งคงย่ำขาสั้นๆ ของเขาวิ่งปรี่ออกมาด้วยความตื่นเต้น ปรากฏเป็นพี่เขยตัวแสบ
จิ้งคงทำหน้าบึ้งพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง “ทำไมต้องเป็นเจ้าด้วย”
เซียวเหิงลงจากรถม้าแล้วยื่นมือแตะเข้าที่หัวของเจ้าตัวเล็ก “แล้วทำไมจะไม่ใช่ข้าล่ะ”
“หึ” จิ้งคงเบือนหน้าหนี
“ไปล่ะ” เซียวเหิงเอ่ย
จิ้งคงเดินตามเขาไปช้าๆ พร้อมกับหันไปมองด้านหลังทุกสามก้าว
เซียวเหิงที่อยู่ข้างหน้ารู้ว่าเขากำลังทำอะไรโดยไม่จำเป็นต้องหันกลับมามอง “พอได้แล้ว วันนี้เจียวเจียวยังกลับมาไม่ถึงหรอก”
จิ้งคงสงสัย “เพราะเหตุใดล่ะ”
เซียวเหิงตอบ “หิมะถล่มภูเขา พวกทหารเลยยังเดินทางกลับไม่ได้”
“แล้วพรุ่งนี้เจียวเจียวจะกลับมาไหม” เสี่ยวจิ้งคงถาม
“ไม่รู้” เซียวเหิงตอบ
เสี่ยวจิ้งคงถามต่อ “แล้วมะรืนล่ะ มะรืนนี้ก็วันสิ้นปีวันเกิดของข้าแล้วนะ เจียวเจียวจะกลับมาฉลองวันเกิดกับข้าไหม”
เซียวเหิง “เจ้าไม่ได้เกิดวันนั้นสักหน่อย”
เจ้าตัวเล็กกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ “เจ้าอาวาสบอกว่าวันเกิดของข้าคือวันส่งท้ายปีเก่า! มันก็ต้องเป็นวันส่งท้ายปีเก่า! เจียวเจียวยังเคยฉลองวันเกิดให้ข้าในวันนั้นเลย!”
เซียวเหิงยิ้มและไม่ได้เถียงเขาต่อ พลางลูบหัวของเจ้าตัวเล็ก “เข้าไปข้างในเถอะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น จิ้งคงนั่งอยู่บนธรณีประตู เขารอตั้งแต่รุ่งสางจนมืดจนร่างของเขาแทบจะกลายเป็นตุ๊กตาหิมะตัวเล็กๆ แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่เห็นเจียวเจียวกลับมา
กู้เหยี่ยนเดินออกมาจูงเขาเข้าไปในเรือน
หลังจากคืนนี้จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า กองทัพยังคงติดอยู่ในภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ พวกเขากลับไปไม่ทันปีใหม่แน่นอน
ตกกลางคืน ทุกคนก่อกองไฟด้วยกันในห้องโถง
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เจียวเจียว!” จิ้งคงวิ่งออกไปดูคนแรก
ปรากฏไม่ใช่กู้เจียวที่มา แต่เป็นยายเฒ่าโจวที่มาส่งเกี๊ยวให้
“ขอบพระคุณยายเฒ่าโจวเป็นอย่างยิ่ง” จิ้งคงรับตะกร้าอย่างสุภาพและเอ่ยขอบคุณ
และถือมันกลับเข้าไปที่เรือน
ขณะที่เขาเพิ่งจะหย่อนก้นนั่งลง มีคนเคาะประตูอีกครั้ง คราวนี้กู้เสี่ยวซุ่นเป็นฝ่ายออกไปดู
กู้เหยี่ยนเองก็อยากจะออกไปดูด้วย แต่ด้วยร่างกายของเขาที่ไม่ค่อยสู้ดีก็เลยวิ่งตามไม่ทัน!
คราวนี้ก็ยังไม่ใช่กู้เจียว แต่เป็นอาท่านป้าหลิวที่มาส่งปอเปี๊ยะให้
และเมื่อประตูถูกเคาะเป็นครั้งที่สาม คราวนี้องครักษ์ลับเป็นคนเดินออกไปเปิดประตู ที่เขาต้องออกไปนั่นก็เพราะสายตาอำมหิตของนายน้อยของเขา ราวกับกำลังบอกเขาว่าถ้าไม่ออกไปเปิดประตูก็อย่าอยู่เลย!
ไอ้หยา น่ากลัวชะมัด!
“…ท่านนายใหญ่จ้าว ขอบคุณท่านเป็นอย่างสูง!”
องครักษ์ลับถือตะกร้าไข่เป็ดเดินเข้ามาข้างใน
ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ
พวกเขาแง้มประตูเอาไว้ หากกู้เจียวกลับมาก็ไม่จำเป็นต้องเคาะประตู ที่จริงทุกคนรู้อยู่แล้วว่าคนที่มาไม่ใช่กู้เจียวแน่ๆ
เพียงแต่ พวกเขาอดที่จะมีความหวังไม่ได้
“พักผ่อนกันเถอะ” เซียวเหิงเอ่ยกับทุกคน
พวกเขาจึงพากันกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง
ดูเหมือนกู้เจียวจะกลับมาไม่ทันแล้วจริงๆ
หลังจากเซียวลิ่วหลังเก็บกวาดห้องโถงเสร็จ เขายังไม่รู้สึกง่วงนอน จึงเข้าไปอ่านหนังสือในห้อง เขายังคงเลือกอ่านหนังสือของแคว้นเยี่ยน เขาศึกษามันมาได้ครึ่งเล่มแล้ว
แต่คืนนี้เขากลับอ่านมันไม่ลงจริงๆ
สำหรับเขา วันส่งท้ายปีเก่าเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต วันที่เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ และเป็นวันที่เขา ‘ตาย’ ในเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนั้น
ที่บังเอิญยิ่งกว่าคือเป็นช่วงเวลาจื่อเหมือนกันอีกด้วย
เซียวลิ่วหลังหันไปมองนาฬิกาทรายบนกำแพง
และแล้วก็มาถึงช่วงจื่ออีกครั้ง
เขาปิดหนังสือลง เดินมาที่ลานแล้วมองดูชิงช้าที่กู้เจียวสร้างไว้พร้อมกับเหม่อลอย
ตึง!
มีอะไรบางอย่างชนเข้ากับประตูเรือน
เซียวลิ่วหลังพอได้สติก็ขมวดคิ้วลง แล้วรีบเดินมาทางต้นเสียง
ก่อนเข้านอน แม่นมฝางลงกลอนประตูไว้แล้ว เซียวลิ่วหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจดึงสลักประตูออก
เขาเปิดบานประตูสีแดงเข้มออก ลมกระโชกแรงและหิมะพัดเข้ามา
พอลมสงบลง ก็ปรากฏร่างเล็กในชุดสีเขียวนั่งพิงกำแพงอยู่บนธรณีประตู ขาข้างหนึ่งของนางงอพับลงพร้อมกับกำแส้ม้าไว้แน่น
เส้นผมของนางปลิวไสวลู่ลมจนพันยุ่งเหยิง ริมฝีปากของนางแตกระแหง เนื้อตัวของนางเต็มไปด้วยฝุ่นและสีหน้าดูอิดโรยอย่างมาก
นางยืนพิงมุมกำแพงพร้อมกับหายใจหอบอย่างหนัก
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างลึกซึ้งด้วยแววตาที่สุกใสแม้จะดูเหนื่อยล้าในคราวเดียวกันก็ตาม พร้อมกับยกมุมปากขึ้นแล้วเอ่ย “สุขสันต์วันเกิดนะใต้เท้าเซียว”