บทที่ 524 ราตรีอันแสนอ่อนโยน
ขณะที่เอ่ยประโยคนั้น ลำตัวช่วงบนของนางหอบขึ้นลงอย่างชัดเจน แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็มิอาจหยุดอาการหอบนี้ได้ บ่งบอกได้ว่ากว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่นั้นทุลักทุเลเพียงใด
นางไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลุกขึ้น ถึงได้เผลอชนเข้ากับประตูจนเกิดเสียงดัง
นางแกล้งทำเป็นนั่งนิ่งพิงกำแพงลงบนธรณีประตู เพราะไม่อยากให้เซียวเหิงเห็นสภาพสะบักสะบอมของตนเอง แต่หารู้ไม่ว่าสีหน้าของนางนั้นบ่งบอกทุกอย่างไว้หมดแล้ว
แม้กระนั้น แววตาของนางที่มองเขายังคงส่องประกายระยิบระยับ
ท่ามกลางลมหนาวและหิมะที่พัดโหยหวน
หัวใจของเซียวเหิงเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนมีคลื่นความร้อนแผดเผาอยู่ข้างใน เลือดของเขาพลุ่งพล่านอย่างรวดเร็ว จนแทบจะหยุดลมหายใจ
สายตาของเขาวูบไหวขณะมองไปที่ร่างเล็กที่ดูอิดโรย
ทั้งข่าวที่ว่าหิมะถล่มในเมืองจี้และกองทัพกว่าแสนนายที่ต้องหยุดขบวน แต่นางกลับบุกป่าฝ่าดงมาอย่างโดดเดี่ยวเพื่อปรากฏกายตรงหน้าเขาในวันเกิดของเขา
เซียวเหิงผู้ที่กินหนังสือแทนข้าวจนท้องเต็มไปด้วยบทกวีนั้นยังมิอาจหาคำใดมาบรรยายความรู้สึกของเขาในชั่วขณะนี้ได้เลย
ภายในใจของเขาร้อนรุ่มจนรู้สึกเจ็บปวด
แม้ไร้วาจา แต่นัยน์ตาบอกทุกอย่าง
วันเกิดที่แม้แต่ตัวเขาเองไม่คิดจะใส่ใจมันด้วยซ้ำ
ไยจึงต้องรีบกลับมา
รอให้พายุหิมะสงบก่อนมิได้หรือ
เหตุใดถึงไม่กลับพร้อมกับคนของวัง
เพราะเหตุใด……
เพราะเหตุใดกันนะ
กับแค่มีคนเห็นคุณค่าในสิ่งที่เขาไม่เห็นก็เท่านั้น
แม้สีหน้าของเขาดูว่างเปล่า แต่ข้างในกลับหวั่นไหว เขารีบถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก คุกเข่า และห่มให้ร่างเล็ก
กู้เจียวรู้สึกได้ถึงไออุ่นที่โอบอุ้มพร้อมกับกลิ่นอวลที่มาจากชายหนุ่ม
“เจ้าหอมจัง” กู้เจียวสูดจมูกลึก พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้เพราะความหนาว
เซียวเหิงมองปลายจมูกเล็กๆ สีแดงของนาง “หนาวจนตัวแข็งขนาดนี้ยังได้กลิ่นอีกรึ”
“อื้อ ก็หอมจริงๆ นี่!” กู้เจียวโพล่งขึ้นอย่างมั่นใจ
พอได้ยินคนตัวเล็กเอ่ยเช่นนี้ ความรู้สึกทุกข์ใจและกังวลตอนแรกเริ่มที่เห็นนางผ่านความอันตรายและลำบากกลับทำให้เขาไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เซียวเหิงช่วยนางสะพายอาวุธและตะกร้า พร้อมกับมือทั้งสองข้างของเขาค่อยๆ ช้อนเข้าไปที่แผ่นหลังและหลังเข่าของนาง จากนั้นยกขึ้น
“ข้าเดินเองได้น่า” กู้เจียวเอ่ย
กู้เจียวยังจำได้แม่นว่าขาของเขายังไม่แข็งแรง ขนาดเจ้าตัวเล็กอย่างจิ้งคงนางยังไม่อยากให้เขาอุ้มเลยด้วยซ้ำ
“ข้าก็เดินได้เหมือนกัน” เซียวเหิงกล่าว
กู้เจียวทำตาปริบๆ
เซียวเหิงกอดร่างเล็กและลุกขึ้นยืนขึ้น กู้เจียวสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งขอลำงแขนของเขา ดูเหมือนเขาจะกำยำขึ้นกว่าตอนก่อนที่นางเดินทางออกจากเมืองหลวงเสียอีก ราวกับกำลังเข้าสู่ช่วงแตกหนุ่ม
กู้เจียวก้มดูที่ขาเขา นางประหลาดใจว่าเขาเดินได้คล่องอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขาเจ้าไม่กะเผลกแล้วนี่” กู้เจียวสงสัย
“เปล่าเสียหน่อย”
ทันใดนั้นใครบางคนก็กลับมาเดินขากะเผลกดังเดิม
อันที่จริงขาของเขาดีขึ้นตั้งนานแล้ว เขาสามารถเดินได้อย่างอิสระในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาปรับความเข้าใจกับองค์หญิงซิ่นหยาง เดิมทีเขาวางแผนที่จะเฉลยกับนางในวันเกิดของนาง แต่ดันไม่อยู่เสียก่อน
ก็ดี
ทุกอย่างมีราคาต้องจ่ายสินะ
ตอนนางเดินทางออกจากเมืองหลวงคือช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตัดภาพมาช่วงฤดูหนาวจัดๆ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่านางตัวหนักขึ้นเลยแม้จะอยู่ในชุดหนา
เซียวเหิงจับแขนของนางไว้แน่น
เจ้าทารกน้อยตอนนี้อายุสามเดือนและหย่านมแม่แล้ว แม่นมจึงไม่จำเป็นต้องพักอยู่ที่นี่ต่อ แม่นางเหยาจึงย้ายเจ้าตัวน้อยกลับมาที่ห้องของตัวเองและคืนห้องให้กู้เจียวตามเดิม
ส่วนอวี้หย่าร์เข้ามาทำความสะอาดเรือนให้ทุกวัน ผ้าปูที่นอนก็ถูกเปลี่ยนใหม่
เซียวเหิงวางร่างบางลงบนเก้าอี้ที่ปูเบาะไว้เรียบร้อย “เจ้านั่งตรงนี้ก่อนนะ ข้าไปเผาถ่านก่อน”
พูดจบเขาก็ไปที่โรงเตา จุดไฟบนฟางและฟืนแห้งจากนั้นใส่ถ่านเพิ่มลงไปในเตา
ถ่านนี้เขาได้มาจากวัง เป็นถ่านไร้ควันชนิดพิเศษ ติดไฟง่ายและอยู่ได้นาน
ในขณะที่ถ่านกำลังลุกไหม้ เขาเทน้ำลงในหม้อ จากนั้นใส่เส้นบะหมี่ไข่ ผักสด ตามด้วยไส้และเนื้อแดดเดียวลงไป
พอถ่านเริ่มร้อน บะหมี่ก็สุกพอดี
เขายกถ้วยบะหมี่เข้าไปในห้อง
ขณะที่กู้เจียวกำลังฟุบลงบนโต๊ะ
นี่สินะที่เขาเรียกว่าเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
เซียวเหิงแตะหน้าผากของนางเบาๆ เอ๊ะ ไม่ได้ตัวร้อนนี่นา เขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย “กินอะไรก่อน แล้วค่อยนอน”
“อืม…” กู้เจียวตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
ไม่มีอะไรตกถึงท้องนางมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
กู้เจียวอ้าปากหาวเล็กน้อย ก่อนจะยกตะเกียบคืบผักเข้าปาก
พอได้กินก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที!
หลังจากที่เซียวเหิงยกเตาอั้งโล่เข้ามาวางในห้อง ก็พลันนึกขึ้นได้ว่ามีเจ้าม้าอยู่ข้างนอกอีกตัว เขาจึงเดินออกไปแล้วจูงมันเข้ามาข้างใน จากนั้นผูกมันไว้กับคอกม้าที่ข้างเรือนของจี้จิ่วอาวุโส
เขาทำอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้ทุกคนตื่น
พอกลับมาที่ห้องอีกที ก็พบว่ากู้เจียวกำลังตื่นอยู่
ช่วยไม่ได้ รสชาติอาหารของคุณสามีกระตุ้นให้นางตื่นตัวได้ดีทีเดียวเชียว
กู้เจียวจ้องไปที่ใบหน้าอันคมคายของสามี ก่อนจะซดน้ำแกงบะหมี่รสพิสดารในชามจนหมดเกลี้ยงชนิดที่ว่าไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
เซียวเหิงยื่นแก้วน้ำอุ่นให้นางเพื่อล้างปาก “เดินทางเหนื่อยไหม”
“ไม่เหนื่อยเลย ข้าไม่ได้ไปออกรบสักหน่อย ข้าก็แค่ไปรักษาคน!”
ทันทีที่พูดจบ จู่ๆ มีกริชเล่มหนึ่งหลุดออกจากแขนเสื้อของนาง
กริชที่ว่าเป็นของที่ระลึกจากชัยชนะในศึกที่เมืองเย่ว์กู่ เป็นกริชของตระกูลหรงจากแคว้นเฉิน
กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ
ข้าไม่ได้มีพิรุธนะ
กู้เจียวก้มเก็บกริชหน้านิ่ง
เสียงเคร้งดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นลูกดอกข้อมือ
ซึ่งเป็นอาวุธคู่ใจของถังเยว่ซาน
กู้เจียวก้มเก็บมันโดยที่ไม่ออกอาการหน้าแดงหรือตื่นเต้นแม้แต่นิด
ขณะที่วางของลงบนโต๊ะ ก็บังเอิญไปชนเข้ากับตะกร้าเล็กจนร่วงหล่นทำให้ของที่อยู่ในตะกร้ากระจัดกระจายเต็มพื้น
ไม่ว่าจะเป็น ลูกดอก ขวาน ค้อนดาวตก แส้เก้าเส้น…
เซียวเหิงเริ่มส่งสายตาเคลือบแคลง
กู้เจียวกลอกตาไปมา พลางเอ่ย “ถ้าข้าบอกว่าข้าบังเอิญเก็บของพวกนี้มาได้ เจ้าจะเชื่อไหม”
เซียวเหิง “หึ”
“ข้ามีบางอย่างให้เจ้าด้วยล่ะ!” กู้เจียวรีบเปลี่ยนเรื่องในทันที ก่อนจะล้วงมือหยิบห่อผ้าที่อยู่ในตะกร้าออกมา “เปิดดูสิ”
เซียวเหิงยังคงมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม
ตอนแรกเขาคิดว่านางแค่ไปช่วยพาเหล่าโหวเหย่ออกมา แต่พอดูๆ แล้ว เหมือนว่านางไปร่วมรบกับเขาเสียมากกว่า
แน่นอนว่ากู้เจียวไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาไล่ถาม นางรีบเปิดหีบห่อออก แล้วยื่นสมุดเก่าแก่เล่มหนึ่งให้เขา
สิ่งๆ นั้นดึงสายตาของเซียวเหิงไปในทันที
เป็นสมุดที่เขียนด้วยลายลักษณ์อักษรของราชวงศ์ก่อน
ตัวอักษรของราชวงศ์ปัจจุบันดัดแปลงมาจากตัวอักษรของราชวงศ์ก่อนหน้า อีกทั้งรูปแบบอักษรและการตีความจะแตกต่างกันเล็กน้อย
กู้เจียวบรรจงเปิดสมุดออก
เซียวเหิงมองดูใกล้ๆ เนื้อหาในนั้นเต็มไปด้วยรายชื่อของตระกูลหวงฝู่ แววตาของเขานิ่งลงทันใด “นี่มันรายนามของราชวงศ์ก่อนหน้ามิใช่รึ”
“อื้อ!” กู้เจียวพยักหน้า
กู้เจียวขโมยมันมาจากห้องหนังสือของหวงฝู่เจิงตอนที่วางเพลิง ตอนนั้นหวงฝู่เจิงคิดว่ามันไหม้หายไปกับกองเพลิงแล้วด้วยซ้ำ!
ราชวงศ์พวกเขาปกครองมานานถึงสามร้อยปี และสืบทอดต่อมาอย่างลับๆ เป็นเวลาสองร้อยปี ลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลหวงฝู่นี้ได้บันทึกรายนามและตระกูลที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ทุกยุคทุกสมัย อันมีคุณค่าต่อการศึกษาและวิจัยในศาสตร์ของโบราณคดีอย่างมาก
หนังสือโบราณประเภทนี้น่าสนใจสำหรับขุนนางฮั่นหลินไม่ต่างกันกับเวลาที่นักต่อสู้สนใจอาวุธวิเศษ
แววตาเซียวเหิงเป็นประกาย พร้อมเอ่ยถาม “ไปเอามาจากไหน”
“กู้เฉิงเฟิงขโมยมันมาน่ะ!” กู้เจียวตอบปัด!
ตัดภาพไปที่กู้เฉิงเฟิงที่กำลังนอนกอดดาบอยู่ในภูเขาจู่ๆ ก็เกิดจามออกมา!
“ชอบไหม” กู้เจียวมองเขา
เซียวเหิงพยักหน้า “อื้อ ชอบสิ”
สมุดเล่มนี้ต้องแลกกับการเสี่ยงตายกว่าจะได้มา ไม่ชอบสิแปลก
สมุดเล่มนี้แม้จะดูบางเฉียบสำหรับนาง แต่กลับหนาและหนักเมื่ออยู่ในมือของเซียวเหิง
กู้เจียวมองคนตรงหน้าด้วยสายตาระยิบระยับและไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่าย
หากพวกทหารแคว้นเฉินที่ถูกนางสังหารมาเห็นสภาพนี้ของนางเข้าคงมีอ้าปากค้างกันบ้างล่ะ นี่หรือนักฆ่าผู้โหดเหี้ยมและเลือดเย็น
นี่มันกระต่ายน้อยสีขาวชัดๆ !
“ยังมีเจ้านี่อีกนะ!” กู้เจียวหยิบกล่องเหล็กขนาดเล็กเท่าฝ่ามือออกมาจากตะกร้า “ข้าได้ยินมาว่าหมึกควันสนของแคว้นเฉินมีคุณภาพดีที่สุด ไหนเจ้าลองดูซิ”
“หมึกชิงก็ไม่แย่ เสียดายที่มีแค่สองชิ้นเอง”
“ป๋อชินอ๋องรู้จักกับปรมาจารย์ที่ทำพู่กันน่ะ เขาเลยทำอันใหม่ให้ข้า”
…
กู้เจียวหยิบของฝากออกมาจากตะกร้าเล็กอย่างไม่หยุดหย่อน คาดไม่ถึงว่าตะกร้าใบเล็กแค่นี้จะจุของได้เยอะถึงเพียงนี้
เซียวเหิงมองร่างเล็กตรงหน้า ทุกครั้งที่นางหยิบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ออกมา แววตาของเขาก็ยิ่งเผยให้เห็นความอาทร
ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจับข้อมือข้างหนึ่งของนางเบาๆ แล้วดึงร่างบางเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนของเขา
กู้เจียวถูกร่างใหญ่ห่อหุ้มอย่างไม่ทันตั้งตัว ศีรษะเล็กๆ ของนางชนกับหน้าอกที่ลุกเป็นไฟของเขา เสียงหัวใจของเขาที่เต้นราวกับกลองนั้นดังผ่านผ้าเนื้อหนาเข้าไปในหูของนาง
ตึกตึก ตึกตึก จนหูของนางเริ่มร้อนผ่าว
บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความเงียบ มีเพียงแค่เสียงของหัวใจที่กำลังเต้นระรัว
“บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า