เมื่อได้ยินข่าวนี้ ในใจของหัวหน้าผู้อาวุโสก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ตราประทับของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไร้ค่าเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
เมื่อนางเห็นชายหนุ่มผู้มาขอเข้าพบ หัวหน้าผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจและเข้าใจทันที “ที่แท้เป็นท่านอ๋องนี่เองที่มาเยือน”
ผู้ที่นำตราประทับสตรีศักดิ์สิทธิ์มาขอเข้าพบก็คืออวี้จิ่นนั่นเอง
อวี้จิ่นเคยช่วยเหลืออาซังเอาไว้ ต่อมาเขาก็เคยเดินทางมายังเผ่าอูเหมียวอยู่หลายครั้ง แม้แต่ครั้งสุดท้ายที่อาซังฝึกวิชาสกัดหนอนกู่แล้วถูกโจมตีกลับ ก่อนที่นางจะตายยังได้ร้องขอหัวหน้าผู้อาวุโสว่าขอพบอวี้จิ่นอีกสักครั้ง ซึ่งหัวหน้าผู้อาวุโสก็ตกลงเห็นด้วย
การเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องใหญ่โตยิ่งนัก อย่าว่าแต่ปล่อยให้คนจากราชวงศ์ต้าโจรับรู้เลย แม้แต่คนในเผ่าอูเหมียวด้วยกันก็จำเป็นจะต้องปิดบังเอาไว้ให้มิดชิด แต่ในเวลานั้นหลังจากที่หัวหน้าผู้อาวุโสไตร่ตรองคิดดู นางก็เห็นด้วยกับการร้องขอครั้งสุดท้ายของอาซัง
ในตอนนั้นหัวหน้าผู้อาวุโสยังไม่รู้จักกับเจียงซื่อ เมื่อมองเห็นอาซังที่กำลังจะตาย นางจึงได้คิดถึงคำทำนายของหัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งที่เคยกล่าวเอาไว้ ไม่แน่ว่าหากอาซังได้พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวแล้วอาจมีชีวิตรอดขึ้นได้อีกครั้ง
แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วอาซังก็จากไป
แต่สำหรับคำทำนายของหัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่ง นางไม่เคยสงสัยแม้แต่น้อย
หัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งไม่ได้เป็นเพียงผู้นำในด้านการปฏิบัติฝึกตนเพียงเท่านั้น แต่นางยังเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสามารถในการทำนายดวงชะตายอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วย นางแก้ปัญหาให้กับเผ่าอูเหมียวหลายต่อหลายครั้งจากการทำนาย
การทำนายนั้นสำเร็จขึ้นแล้ว ณ ที่นี้
หัวหน้าผู้อาวุโสมองไปทางชายหนุ่ม ซึ่งทำสีหน้าเยือกเย็นแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมา นางไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงมีตราประทับของสตรีศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ
อาซังในอดีตจะไม่เคยหวั่นไหวดวงใจต่ององค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าโจวคนนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ว่านางมีชีวิตอันน่าสมเพช โชคไม่ดีเท่ากับสตรีแซ่เจียงคนนั้น
บัดนี้หัวหน้าผู้อาวุโสอยากจะเอ่ยถามเหลือเกินว่าอวี้จิ่นคิดเช่นไรกับอาซังกันแน่ แต่ท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
ถึงอย่างไรอาซังจากโลกนี้ไปแล้ว ถามไปก็ไร้ประโยชน์ หากว่าพระชายาอ๋องผู้โหดร้ายผู้นั้นรู้เรื่องเข้าแล้วโมโหหงุดหงิดไม่ทำความร่วมมือกับตน นางก็ไม่รู้จะไปร้องไห้ที่ใดดี
หัวหน้าผู้อาวุโสยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงและตำแหน่งอันสูงส่งเมื่ออยู่ในเผ่าอูเหมียว แต่กลับต้องรู้สึกอับอายอย่างสุดซึ้งที่ถูกผู้อื่นบีบบังคับเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเดินทางมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ใด” แม้นางจะรู้ดีว่าอวี้จิ่นเดินทางมาเพื่อสิ่งใด แต่หัวหน้าอาวุโสก็ได้เอ่ยถามตามมารยาท
อวี้จิ่นเหลือบมองไปยังผู้ที่อยู่ข้างกายหัวหน้าผู้อาวุโส
“พวกเจ้าจงออกไปเถิด”
เมื่อพบว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องได้เดินทางจากไปแล้ว อวี้จิ่นก็ได้ยื่นตราประทับสตรีศักดิ์สิทธิ์มาไว้ตรงหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตราประทับสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้กลับมายังที่ของมันอย่างสมบูรณ์ ข้ามารับพระชายาของข้ากลับบ้าน”
หัวหน้าผู้อาวุโสรับตราประทับสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับคืนไป พยักหน้ากล่าวว่า “ตกลง”
ท่าทางอันเฉยเมยของอวี้จิ่นเมื่อครู่ชะงักลงและดูเฉื่อยชาเล็กน้อย
เขาฟังผิดไป?
หัวหน้าผู้อาวุโสยิ้มขึ้นและกระแอมออกมาเบาๆ “ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะพาพระชายาไปเลยบัดนี้ หรืออยู่ร่วมรับประทานอาหารสักมื้อก่อน”
“หืม?” อวี้จิ่นยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคือหัวหน้าผู้อาวุโสตัวปลอมงั้นหรือ
เขาเตรียมการมากมายเพื่อที่จะได้รับพระชายาของตนกลับไปที่บ้านโดยเร็ว แม้แต่ระเบิดเขาก็ได้แอบฝังเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หากเผ่าอูเหมียวไม่ยินยอมเขาก็จะฉีกหน้าทันที แต่บัดนี้หัวหน้าผู้อาวุโสกล่าวเพียงว่า ‘ตกลง?’
จะต้องมีแผนอย่างแน่นอน
อวี้จิ่นรู้สึกประหม่าขึ้นทันที
“บัดนี้พระชายาข้าอยู่ที่ใด”
หัวหน้าผู้อาวุโสขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “บัดนี้ทุกคนในชนเผ่าคิดว่าพระชายาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ หากท่านอ๋องจะขอพบพระชายาที่นี่คาดว่าคงไม่เหมาะสม”
ดวงตาของอวี้จิ่นเยือกเย็นลง เขาหัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ย
นั่นไง มีแผนการซ่อนอยู่จริงเสียด้วย
“เอาเช่นนี้เถิด ท่านอ๋องติดตามอาหลานไปยังสถานที่พำนักของสตรีศักดิ์สิทธิ์เพื่อพบพระชายาเป็นเช่นไร”
อวี้จิ่น “…”
องค์ชายเจ็ดผู้ที่รู้สึกประหม่าและระมัดระวังตน ได้พบกับเจียงซื่อในที่อาศัยของสตรีศักดิ์สิทธิ์
เมื่อมองเห็นแววตาที่ดูไม่คุ้นเคยมองมาทางนางเช่นนั้น เจียงซื่อจึงขมวดคิ้วขึ้น “ข้าเดินทางออกจากบ้านได้ไม่นานเท่าไหร่ เจ้าลืมภรรยาของตนไปแล้วงั้นหรือ”
แววตาของอวี้จิ่นเป็นประกายเขาโพล่งออกมาว่า “อาซื่อ เป็นเจ้าจริงงั้นหรือ”
“ไม่เช่นนั้นจะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า” เจียงซื่อเหลือบมองดูอวี้จิ่น เมื่อนึกถึงเรื่องที่ใครบางคนเคยช่วยชีวิตอาซังเอาไว้ แล้วยังรู้เรื่องราวภายในของเผ่าอูเหมียวมากมาย อีกทั้งเขายังมีแม้กระทั่งตราของสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
แน่นอนว่าตอนนี้นางจะต้องสงบอารมณ์เอาไว้ รอให้ออกไปจากที่นี่หากรรไกรได้ก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีกัน
“ข้าคิดว่า…” อวี้จิ่นสัมผัสได้ถึงรังสีอันตราย เขาจึงหัวเราะแห้งๆ “อาซื่อ คนในเผ่าอูเหมียวทำให้เจ้าต้องลำบากใจหรือไม่”
“หาได้ไม่”
“พวกนางจะปล่อยเจ้าไปจริงหรือ”
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วตอบว่า “เดิมทีข้าก็ไม่อยากไป แต่ในเมื่อตกลงกันแล้ว ข้าจะเดินทางกลับไปฉลองปีใหม่พร้อมหน้าพร้อมตาก็ไม่เลว”
อวี้จิ่นได้แต่ตกตะลึง “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าเดิมทียังไม่อยากไป เจ้าหมายความเช่นไร”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ดูเหมือนหัวหน้าผู้อาวุโสอยากจะให้ข้าอยู่ต่อและแสร้งทำเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกนาง ดังนั้นข้าจึงได้พลิกผันสถานการณ์เป็นผู้ควบคุมเสียเอง ให้พวกนางเข้าใจว่าการที่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งต้องคอยหวาดระแวง น่ากลัวกว่าการที่ไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ จะอันเชิญทวยเทพมาจุตินั้นง่ายดาย แต่จะเชิญให้ออกไปนั้นยากยิ่ง”
อวี้จิ่นเงียบลงทันที
“เป็นอะไรไปหรือ” เจียงซื่อยิ้มขึ้นแล้วผลักเขาเบาๆ
อวี้จิ่นยกมือขึ้นลูบไปที่หน้าของตน ถอนหายใจว่า “อาซื่อ เจ้าจัดการทุกสิ่งเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ข้าเตรียมมาทั้งหมดนั้นสูญเปล่า”
แผนการบุกรุกอย่างเต็มความสามารถของเขาที่จะช่วยภรรยาบุกน้ำลุยไฟออกมาเล่า?
เรื่องราวราบรื่นเหมือนกับเขาชกลงไปบนนุ่น แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความสุขแม้แต่น้อย
เจียงซื่อกึ่งยิ้มแล้วมองไปทางเขา “ใครบอกว่าเจ้ามาโดยเสียเปล่า เจ้าได้นำตราประทับของสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับมาคืนอย่างสมบูรณ์แล้วไม่ใช่หรือ”
อวี้จิ่นขนหัวลุก เขาได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
“อ้อ จริงสิ ได้พบกับพี่รองของข้าแล้วหรือยัง”
“อืม เขาอยู่กับพวกหลงต้าน”
เจียงซื่อกล่าวความสงสัยของตนออกมา “เดิมทีพวกเราได้ตกลงกันไว้ว่าให้ใช้สีของดอกไม้ไฟเป็นสัญลักษณ์ แต่หลงต้านเข้ามายังไม่ทันได้ติดต่อกับข้า ก็สามารถช่วยพี่รองออกไปได้แล้ว…”
หลงต้านเก่งกาจเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
อวี้จิ่นรู้สึกประหลาดใจ “เจียงจั้นไม่ได้ถูกหลงต้านช่วยออกไป”
เจียงซื่อตกตะลึง
“หลงต้านมองหาโอกาสจากข้างนอกเพื่อจะแทรกตัวเข้ามาด้านใน ขณะนั้นเขาก็พบว่าเจียงจั้นเดินออกไปด้วยตนเอง ต่อมาได้ยินเจียงจั้นกล่าวว่าผู้ที่พาเขาออกไปนั้นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง”
เจียงซื่อกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ชายหนุ่มคนหนึ่งช่วยพี่รองออกไปงั้นหรือ นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
“เจียงจั้นเองก็ไม่ได้บอกข้าอย่างชัดเจน รอให้เจ้าออกไปพบเขาแล้วค่อยเอ่ยถามรายละเอียดเถิด”
เกิดเรื่องน่าประหลาดใจนี้ เจียงซื่อจึงไม่อยากอยู่ที่นี่อีกเนิ่นนาน ในไม่ช้านางก็เดินทางไปกล่าวลาหัวหน้าผู้อาวุโส
หัวหน้าผู้อาวุโสได้คิดการนี้มาแล้วก่อนหน้า นางกล่าวโดยคิดไตร่ตรองดีแล้วว่า “หากเยี่ยนอ๋องจะพาสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกไปอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้คงไม่ดี ท่านอ๋องเชิญเดินทางออกไปก่อน จากนั้นข้าจะแปลงโฉมพระชายาอ๋องให้เป็นรูปร่างของอาฮวาแล้วค่อยเดินทางจากไป เช่นนี้คงไม่เป็นที่ดึงดูดตาของใคร”
เจียงซื่อไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ นางพยักหน้าเห็นด้วย
ส่วนอวี้จิ่นลังเลอยู่ชั่วครู่
เขากำลังคิดว่าการที่ตนจะพาเจียงซื่อเดินทางออกไปนั้นช่างเรียบง่ายเหลือเกิน หรือหัวหน้าผู้อาวุโสต้องการจะจัดการเจียงซื่อหลังจากที่ให้เขาเดินทางจากไปแล้ว
ดูเหมือนหัวหน้าผู้อาวุโสจะเดาความคิดของอวี้จิ่นออก นางจึงมองไปยังเจียงซื่ออย่างลึกล้ำ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋องวางใจเถิด ข้าจะไม่ฝืนให้พระชายาอยู่ต่อที่นี่หรอก เพราะพระชายาอ๋องได้บอกกับข้าเอาไว้แล้ว หากข้าไม่ทำตามที่นางต้องการ นางก็จะประกาศความรักต่อหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว”
สีหน้าของอวี้จิ่นไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ทว่าดวงตาของเขากับลึกล้ำยิ่งนัก “อ้อ มีเรื่องราวเช่นนี้ด้วยหรือ”
เจียงซื่อทำตัวไม่ถูกจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้อาวุโสมีอายุปาเข้าไปปูนนี้แล้ว ยังมีความแค้นอย่างแรงกล้า
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ อวี้จิ่นก็ได้เอ่ยถามขึ้นว่า “หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวยังไม่ได้เปลี่ยนคนใช่หรือไม่ ยังคงเป็นชายวัยกลางคนที่ดวงตาเล็กดังถั่วเขียว และใบหน้าตะปุ่มตะป่ำดุจคางคกนั่นหรือ”
ริมฝีปากของหัวหน้าผู้อาวุโสเผยอขึ้น ผ่านไปสักพัก กว่าที่นางจะคืนสู่สภาวะปกติจึงกล่าวว่า “ยังคงเป็นหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวคนเดิมที่ท่านอ๋องเคยพบ”
ในสายตาของผู้คนทั่วไป หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเป็นชายที่หล่อเหลาเอาการทีเดียว เยี่ยนอ๋องกล่าวถึงเขาเช่นนี้ไม่รู้สึกละอายบ้างหรือไร