เจียงซื่อแสดงท่าทางตกใจเล็กน้อยออกมา
นางต้องแสดงออกมาบ้างเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นจะให้หัวหน้าผู้อาวุโสจะเอ่ยสิ่งต่อไปได้อย่างไร
ผู้อาวุโสฮวากลับตกตะลึง “หัวหน้าผู้อาวุโส…”
หัวหน้าผู้อาวุโสโบกมือขึ้น สายตามองไปทางเจียงซื่อ “ข้ากำลังครุ่นคิดว่า แท้จริงแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์คือเจ้า ไม่ใช่อาซัง”
การตกตะลึงครั้งนี้ของเจียงซื่อไม่ได้เป็นการเสแสร้งออกมา “หัวหน้าผู้อาวุโส ท่านอย่าได้เอ่ยล้อเล่นไป”
หัวหน้าผู้อาวุโสยกนิ้วชี้ไปรอบกาย “หากข้าล้อเล่น คงไม่มากล่าวถึงในนี้”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ของอูเหมียวคือสตรีที่เบื้องบนกำหนดเอาไว้แล้ว ส่วนข้าเป็นเพียงแค่สตรีของราชวงศ์ต้าโจว”
หัวหน้าผู้อาวุโสนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ในร่างของอาซัง มีเลือดของราชวงศ์ต้าโจวไหลเวียนอยู่”
“ว่าอย่างไรนะ!” ผู้ที่รู้สึกตกใจมากกว่าเจียงซื่อนั่นก็คือผู้อาวุโสฮวา
เจียงซื่อไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงแค่ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น แสดงให้เห็นว่านางก็ตกใจ
นางคิดไม่ถึงเสียจริงว่าเพียงแค่ตนเปลี่ยนวิธีการสนทนากับหัวหน้าผู้อาวุโส จะได้รู้ความลับมากมายเพียงนี้
เมื่อชาติก่อนนางใช้ชีวิตอย่างล่องลอยด้วยการปิดบังตัวตนของตนเองพร้อมกับหัวใจอันตุ้มๆ ต่อมๆ ส่วนในชาตินี้ นางเลือกที่จะทำตัวหนังหนาหน้าด้าน กล้ากระทำทุกอย่างและเป็นพระชายาอ๋องของราชวงศ์ต้าโจว ด้วยเหตุนี้การตัดสินใจของหัวหน้าผู้อาวุโสจึงแตกต่างกัน
หัวหน้าผู้อาวุโสอธิบายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ยายทวดของอาซังเคยเดินทางไปที่ราชวงศ์ต้าโจว ต่อมานางได้อุ้มทารกหญิงคนหนึ่งกลับมาด้วย ทารกหญิงคนนั้นก็คือมารดาของอาซัง…ตาทวดของอาซังเป็นไปได้ยิ่งว่าจะเป็นคนของราชวงศ์ต้าโจว ดังนั้นในร่างกายของอาซังจึงมีเลือดของคนราชวงศ์ต้าโจวไหลเวียนอยู่…”
เรื่องนี้ผู้อาวุโสฮวาไม่ค่อยรู้นัก แต่ผู้อาวุโสอันกลับรู้ดี
และเนื่องด้วยผู้อาวุโสอันรู้เรื่องนี้ หลังจากที่อาซังแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของนางมีไม่มาก ผู้อาวุโสอันจึงได้สงสัยว่าอาซังไม่ใช่สตรีที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แต่กลับเป็นคนที่หัวหน้าผู้อาวุโสผลักดันขึ้นมาเพื่อประคองความสงบสุขของคนในชนเผ่า
จะว่าไปตามจริงแล้ว จิตใจของหัวหน้าผู้อาวุโสจะไม่เคยสั่นคลอนได้อย่างไร แต่นางจะไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้อาวุโสอันอย่างแน่นอน
หลังจากรุ่นของนางแล้วก็ไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่รุ่นหนึ่ง จะให้นางรอสตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สามได้อย่างไร หากว่าตำแหน่งนั้นเกิดว่างเปล่าขึ้นมาอีก และวันใดที่นางจากโลกนี้ไป เผ่าอูเหมียวคงจะเกิดความโกลาหลขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นนางหรือผู้อาวุโสอัน พวกนางทั้งหลายล้วนทำไปเพื่อเผ่าอูเหมียว เพียงแต่มีหลักการที่แตกต่างจึงก่อให้เกิดข้อขัดแย้งกันอย่างไม่ขาดสาย
เจียงซื่อฟังคำอธิบายจากหัวหน้าผู้อาวุโสอย่างเงียบๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “จากคำเล่าของท่านหัวหน้าผู้อาวุโส ยายทวดและฝ่ายบิดามารดาของอาซาซังล้วนเป็นคนจากเผ่าอูเหมียว ต่อให้ตาทวดของนางอาจเป็นคนในราชวงศ์ต้าโจว แต่เลือดที่ไหลวนอยู่ในร่างกายของอาซังซึ่งเป็นส่วนของราชวงศ์ต้าโจวนั้นก็เจือจางเหลือเกิน การที่นางจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนข้าคือคนจากราชวงศ์ต้าโจวโดยแท้ ข้าจะกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เบื้องบนกำหนดไว้ของเผ่าอูเหมียวได้อย่างไร”
หัวหน้าผู้อาวุโสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก “บางทีอาจเกิดข้อผิดพลาดขึ้นบางประการ หรือบางทีเบื้องบนอาจไม่ได้กำหนดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะต้องถือกำเนิดในเผ่าอูเหมียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะอธิบายถึงเรื่องที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ในรุ่นก่อนอาซังต้องว่างเปล่าอย่างไรเล่า”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นอย่างเยาะเย้ย “ท่านหมายความว่า เทพเจ้าปกครองชนเผ่าท่านรู้สึกเบื่อชนเผ่าตนเองแล้ว จึงได้ไปชื่นชมคนจากที่อื่นงั้นหรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสกระตุกริมฝีปากเล็กน้อย นางทำอะไรไม่ถูกกับคำพูดของเจียงซื่อนี้
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้าสามารถควบคุมวิชาสกัดหนอนกู่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่สามารถใช้วิชาสกัดหนอนกู่ได้มีเพียงแค่สตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น” น้ำเสียงของหัวหน้าผู้อาวุโสดูหนักแน่น
การที่สตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นใหม่สามารถควบคุมวิชาการสกัดหนอนกู่ได้อย่างสมบูรณ์นั้น หมายความว่าหน้าที่ของหัวหน้าผู้อาวุโสเสร็จสิ้น ต่อให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นนางก็ไม่กลัว
สายตาของหัวหน้าผู้อาวุโสที่มองไปทางเจียงซื่อดูซับซ้อนยิ่งนัก
การที่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายขึ้นนั้นเป็นเรื่องอันน่ายินดี แต่เหตุใดจึงเป็นสตรีแห่งราชวงศ์ต้าโจวเล่า
ท่าทางการแสดงออกของเจียงซื่อดูเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่านางไม่เห็นด้วยกับคำเหล่านั้นของหัวหน้าผู้อาวุโส
หัวหน้าผู้อาวุโสเห็นดังนั้น นางก็ตัดสินใจกล่าวความลับออกมาอย่างหนึ่ง “การที่ข้าคาดเดาเช่นนี้เป็นเพราะคำทำนายสามประการของหัวหน้าอาวุโสไท่ซั่งที่ทิ้งเอาไว้เมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่”
ผู้อาวุโสฮวาถึงกับอ้าปากค้าง
คำทำนายสามประการของหัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งงั้นหรือ
ที่แท้ภายในเผ่ามีความลับมากมายเหลือเกิน ในฐานะผู้อาวุโส นางกลับไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้
ดูเหมือนหัวหน้าผู้อาวุโสจะคาดเดาได้ถึงความคิดของผู้อาวุโสฮวา นางถอนหายใจออกมาเบาๆ “การที่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่แปลก คำทำนายสามประการที่หัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งทิ้งเอาไว้นั้น เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชนเผ่าเรา และมีน้อยคนนักที่รู้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ แววตาของหัวหน้าผู้อาวุโสก็ดูมืดมน
ความลับอันเป็นความลับยิ่งนี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสในเผ่าก็ยังไม่รู้ แต่บัดนี้แม้แต่หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวก็มีโอกาสรับรู้ได้…
เจียงซื่อเอ่ยถามขึ้นว่า “หัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งที่ท่านกล่าวถึง หมายถึงหัวหน้าผู้อาวุโสรุ่นก่อนหน้าท่านงั้นหรือ”
แม้นางจะรู้อยู่แล้วก็ตามแต่ ทว่าบางคำถามนางก็ควรถาม ไม่อย่างนั้นหัวหน้าผู้อาวุโสอาจคิดว่านางคือสตรีศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ก็เป็นได้
หัวหน้าผู้อาวุโสพยักหน้าเล็กน้อย “ถูกต้องแล้ว หัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งมีความเชี่ยวชาญด้านการทำนาย นางเคยให้คำทำนายเรื่องความเป็นความตายของเผ่าอูเหมียวเอาไว้ และหนึ่งในคำทำนายนั้น…”
นางมองไปทางเจียงซื่ออย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวว่า “บุตรคนที่เจ็ดของมังกรจะนำมาซึ่งรุ่งอรุณ เพื่อปัดเป่าความมืดมนของเผ่าอูเหมียว”
เจียงซื่อสะดุ้งโหยง
น้ำเสียงของหัวหน้าผู้อาวุโสเมื่ออยู่ในห้องลับ ฟังดูช่างห่างไกลเหลือเกิน “เมื่อมองไปแล้วมีเพียงต้าโจวที่ใช้มังกรเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ บุตรของมังกรที่เจ็ด นั่นก็คือองค์ชายเจ็ดแห่งต้าโจว ซึ่งก็คือสวามีของพระชายาอ๋อง เยี่ยนอ๋องนั่นเอง”
“แล้วอย่างไรเล่า” วินาทีนี้ ใบหน้าของเจียงซื่อไร้ซึ่งความรู้สึกใด
หัวหน้าผู้อาวุโสจ้องมองไปทางเจียงซื่อชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวขึ้นช้าๆ “เยี่ยนอ๋องเคยช่วยชีวิตอาซังเอาไว้ ในตอนแรก ข้าจึงคิดว่านี่คงจะเป็นคำทำนายของหัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่ง แต่ต่อมาอาซังกลับสิ้นใจลง…ส่วนท่านที่กลายเป็นพระชายาเยี่ยนอ๋องกลับมีหน้าตาเหมือนกับอาซัง ทั้งยังสามารถควบคุมวิชาสกัดหนอนกู่ได้…”
เจียงซื่อนิ่งเงียบลง
ใบหน้านางดูสงบ แต่ในใจกลับยุ่งเหยิง
อาจิ่นเคยช่วยชีวิตอาซัง?
มิน่าเล่า อาจิ่นจึงรู้เรื่องที่อาซังตาย อีกทั้งรู้จักทักษะวิชามนตรามากมาย…
เจียงซื่อเริ่มคิดถึงกรรไกรในจวนอ๋องขึ้นมา
“เอาเถิด ข้าไม่รังเกียจหากจะให้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์” เจียงซื่อกล่าวออกมาอย่างสงบและบางเบา
นางตอบรับอย่างเรียบง่าย กลับทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสตกตะลึง
“ไม่รู้ว่าคำทำนายอีกสองอย่างนั้นคือเรื่องใด”
หัวหน้าผู้อาวุโสได้สติกลับคืนมาแล้วส่ายหน้า “คำทำนายอีกสองอย่างนั้น บัดนี้ข้าไม่สะดวกบอกเจ้า นอกเสียจากว่าเจ้าให้สัญญาจะเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวอย่างแท้จริง”
เรื่องนี้ เจียงซื่อไม่สามารถทำได้
นางจึงละความพยายามที่จะสืบเรื่องความลับของคำทำนายอีกสองประการลง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรามาสนทนากันเรื่องความร่วมมือเถิด”
“ความร่วมมือ?” หัวหน้าผู้อาวุโสทำสีหน้าแปลกใจ
เจียงซื่อยิ้มแล้วพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ความร่วมมือที่มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หัวหน้าผู้อาวุโสคิดเห็นว่าอย่างไร”
“เช่นนั้นเจ้าจงกล่าวมาเถิดว่าเป็นความร่วมมือเช่นไร”
“เผ่าอูเหมียวต้องการสตรีศักดิ์สิทธิ์ ส่วนข้านั้นคือพระชายาอ๋องแห่งต้าโจว ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ยามที่เผ่าอูเหมียวจำเป็นต้องให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกาย ข้าจะให้ความร่วมมือเท่าที่ทำได้ ส่วนข้าก็จะเป็นพระชายาอ๋องต่อไป จนกระทั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นต่อไปปรากฏขึ้น”
“แล้วพวกเราต้องทำสิ่งใด” หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
นางมองออกว่าหากเทียบกันกับอาซังที่แสนบริสุทธิ์แล้ว พระชายาอ๋องแห่งต้าโจวผู้อยู่ตรงหน้านี้ช่างไม่ธรรมดา
มีได้ต้องมีเสีย ต้องดูว่าเงื่อนไขที่พระชายาเยี่ยนอ๋องเสนอมานี้ นางจะรับได้หรือไม่
เจียงซื่อมองไปทางหัวหน้าผู้อาวุโส จากนั้นมองไปทางผู้อาวุโสฮวา นางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตามปกติแล้วไม่ว่าทำเรื่องใด หากข้าและท่านอ๋องพบเรื่องราวที่ยากจะจัดการ ข้าขอให้เผ่าอูเหมียวยื่นมือเข้ามาช่วยเราให้รอดพ้น”
หัวหน้าผู้อาวุโสนิ่งเงียบครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตกลง”
หลังจากที่นางตอบตกลงแล้ว ก็ได้หยิบตราแผ่นเล็กออกมา “นี่คือตราสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อใดที่เจ้าพบกับความลำบาก จงนำตรานี้มาที่เผ่าอูเหมียว เผ่าอูเหมียวจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มความสามารถ
เจียงซื่อรับตราประทับของสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ธรรมดานี้ไป นางรู้สึกว่าการเดินทางในครั้งนี้สมบูรณ์ยิ่งนัก
จากนั้นไม่นาน หัวหน้าผู้อาวุโสก็ได้รับข่าวว่ามีคนนำตราสตรีศักดิ์สิทธิ์มาร้องขอเข้าพบ