ตอนที่ 639 เสียขวัญและกำลังใจ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 639 เสียขวัญและกำลังใจ

ดาบของหน่วยตรวจเมืองจ่ออยู่ที่คอของปี้เหิงทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้

ด้านหน้ามีฟ่านอวี๋ไหวและหน่วยตรวจเมือง ด้านหลังมีเสียนอ๋องและกองทัพหนานตู พวกเขาไร้หนทางถอยหนีแล้ว

ปี้เหิงหลับตาเงยหน้าขึ้นฟ้าอย่างจำยอม หยาดฝนไหลลงบนใบหน้าของเขาร่วงสู่เบื้องล่าง คนของพวกเขาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว กำลังใจของกองกำลังรักษาพระองค์ไม่เหลืออยู่แล้ว พวกเขายอมจำนน

ฟ่านอวี๋ไหวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าปี้เหิง มองดูปี้เหิงและซิ่นอ๋องที่สิ้นลมหายใจไปแล้วนิ่ง จากนั้นตะโกนด้วยเสียงดังกังวาน “ฝ่าบาททรงฟื้นคืนสติแล้ว ซิ่นอ๋องเสียชีวิตแล้ว ผู้ใดยอมจำนนจะไว้ชีวิต!”

บริเวณนั้นเงียบกริบไปชั่วขณะ

ราชครูถานรีบวิ่งออกมาจากตำหนักด้านใน “ใต้เท้าฟ่าน ระวังเสียนอ๋อง เหลียงอ๋อง!”

ฟ่านอวี๋ไหวหันกลับไปมองราชครูถานที่ยืนอยู่หน้าตำหนัก

เสียนอ๋องกำดาบคมในมือแน่น ยกยิ้มมุมปากท่ามกลางสายฝน เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยชัยชนะ จากนั้นตะโกนลั่น “ซิ่นอ๋องก่อกบฏสังหารฝ่าบาทและองค์รัชทายาท พวกข้ามาช่วยเหลือช้าเกินไป จะสังหารพวกกบฏไม่ให้เหลือเพื่อแก้แค้นแทนฝ่าบาทและองค์รัชทายาท!”

สิ้นเสียงของเสียนอ๋อง ดาบคมเปื้อนเลือดตวัดไปยังฟ่านอวี๋ไหว

“ระวังขอรับใต้เท้า!” ทหารหน่วยตรวจเมืองเบิกตาโพลง รีบกระชากแขนของฟ่านอวี๋ไหวที่ยังไม่ทันหันกลับไปมองให้หลบไปทางด้านหลัง

ฟ่านอวี๋ไหวหันกลับไปมองอย่างไม่อยากเชื่อ ดาบคมที่เดิมทีควรตัดโดนศีรษะของเขา บัดนี้ขยายใหญ่อยู่เบื้องหน้าเขา ตาข้างซ้ายของเขาอาบไปด้วยเลือดแดงฉานในทันที ความเจ็บปวดจู่โจมไปยังดวงตาข้างซ้ายของเขาจากนั้นแผ่ซ่านไปยังใบหน้าครึ่งซีก

ฟ่านอวี๋ไหวใช้มือข้างหนึ่งกุมตาเอาไว้พลางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นอีกครั้งหน้าตำหนักของฮ่องเต้

กองทัพหนานตูของเสียนอ๋องสู้รบกับหน่วยตรวจเมืองและกองกำลังรักษาพระองค์อย่างสุดชีวิต

ฟ่านอวี๋ไหวที่ถูกลูกน้องลากไปหลบอยู่ทางด้านหลัง เขาใช้มือข้างหนึ่งกุมบาดแผลบริเวณดวงตาที่มีเลือดสดไหลทะลักออกมาตลอดเวลาเอาไว้ มืออีกข้างผลักร่างของลูกน้องออก จับดาบด้วยมือข้างเดียว ตะโกนลั่น “เสียนอ๋อง เหลียงอ๋องกบฏ! คุ้มกันตำหนัก!”

ภายในตำหนักที่ส่องสว่างด้วยแสงจากโคมไฟและตะเกียง แววตาของฮ่องเต้ที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงฉาน เขาชี้นิ้วไปทางนอกตำหนักอย่างอ่อนแรง ลมหายใจติดขัด เจ็บปวดบริเวณหน้าอกเล็กน้อย ทว่า เขากล่าวสิ่งใดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

จะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าซิ่นอ๋อง โอรสที่เกิดจากฮองเฮาที่เขารักและทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กจะสังหารบิดาอย่างเขาเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ไปครองเช่นนี้!

จะให้เขาเชื่อได้อย่างไรว่าเสียนอ๋องที่เคยเสี่ยงชีวิตปกป้องเขาจนไม่สามารถมีทายาทได้อีกจะก่อกบฏ!

ใช่แล้ว…ใช่แล้ว! หนานตูจวิ้นจู่บุตรสาวคนเดียวของเสียนอ๋องกำลังตั้งครรภ์สายเลือดของราชวงศ์ ดังนั้นเสียนอ๋องจึงเกิดความคิดอยากครอบครองบัลลังก์ราชวงศ์หลินของเขาขึ้นมา!

ฮ่องเต้โมโหจนใบหน้าแดงก่ำ แสงไฟจากตะเกียงส่องกระทบใบหน้าที่ซูบผอมของฮ่องเต้เห็นชัดจนน่าเวทนา

“เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ!” องค์รัชทายาทคุกเข่าอยู่ข้างเตียงของฮ่องเต้ น้ำตาไหลอาบหน้า “เสด็จพ่อต้องรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงใหญ่มองผ่านฉากกั้นแกะสลักลายดอกไม้ออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง จากนั้นเดินถือไม้เท้าเข้ามาด้านในตำหนัก เกาเต๋อเม่ารีบสั่งให้ขันทีเล็กเก็บมุ้งบนเตียงไปแขวนไว้ที่ตะขอทองแดงให้เรียบร้อยอย่างหวั่นวิตก จากนั้นรีบแหวกม่านสีเหลืองอ่อนออก

เมื่อเห็นองค์หญิงใหญ่เดินถือไม้เท้าเข้ามาด้านใน ดวงตาของฮ่องเต้ไหววูบเล็กน้อย เขาต้องกล่าวเอ่ยสิ่งใดบางอย่าง ทว่า กลับไอออกมาแทนจึงได้แต่มองไปทางองค์หญิงใหญ่นิ่งๆ

องค์รัชทายาทรีบรับกระโถนมาจากมือของเกาเต๋อเม่าแล้วถลาเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้โบกมือ เขาใช้ศอกหยัดกายขึ้นจากเตียง เอนพิงหัวเตียง หายใจหอบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสงบสติอารมณ์ได้

“ฝ่าบาท!” องค์หญิงใหญ่ก้มศีรษะให้ฮ่องเต้เล็กน้อย

ฮ่องเต้ควบคุมสติได้จึงหันไปกล่าวขอบคุณองค์หญิงใหญ่จากใจจริง “เสด็จป้า ลำบากเสด็จป้าช่วยดูแลเราในช่วงหลายวันมานี้แล้ว!”

“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลเพคะ ไป๋ชิงเหยียนไปนำทัพทหารค่ายผิงอันมาช่วยเหลือฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทสบายพระทัยได้เพคะ คนตระกูลไป๋ทุกรุ่นล้วนเต็มใจปกป้องแผ่นดินต้าจิ้น แม้ตระกูลไป๋จะเหลือเพียงคนเดียวก็จะคุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาทด้วยชีวิตเพคะ” องค์หญิงใหญ่ก้มหน้า จากนั้นย่อกายให้ฮ่องเต้เล็กน้อย

ฮ่องเต้มองดูถุงหอมซึ่งวางอยู่ข้างม่าน เม้มปากเล็กน้อย

ตระกูลไป๋…

ตระกูลไป๋ที่มีชีวิตอยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองแผ่นดินต้าจิ้น

จู่ๆ ฮ่องเต้ก็คิดถึงไป๋เวยถิง ไป๋ฉีซานขึ้นมา

กระทั่งนึกถึงบิดาของไป๋เวยถิงที่เคยพบเมื่อครั้นเยาว์วัย

ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กหกขวบ กองทัพไป๋ได้รับชัยชนะกลับมาจากสงคราม ชายชราผมขาวโพลนผู้นั้นสวมชุดเกราะนั่งอยู่บนหลังม้าศึกด้วยท่าทีองอาจและทรงพลัง เป็นบุรุษที่เก่งกาจและมีบารมีเหมือนดั่งที่เสด็จพี่รองเคยเล่าให้เขาฟังจริงๆ

ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา จวนเจิ้นกั๋วกงเป็นเหมือนดาบคมจากสวรรค์ แม้ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน ทว่า ไม่เคยพ่ายแพ้และล้มลง ชื่อเสียงและบารมีของพวกเขาดังไกลไปทั่วทั้งใต้หล้า

ฮ่องเต้กำหมัดที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น หากครั้งนี้ไป๋ชิงเหยียนนำทัพมาช่วยเหลือเขาและองค์รัชทายาทด้วยความจงรักภักดีจริงๆ

เช่นนั้นเขาจะปล่อยให้ตระกูลไป๋มีชีวิตอยู่ต่อไป ให้ไป๋ชิงเหยียนได้รับใช้องค์รัชทายาทอย่างจงรักภักดี

เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเหล่าทหารดังมาจากนอกตำหนัก เสียงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ภายในตำหนักเงียบกริบ ทุกคนต่างอยู่อย่างหวาดกลัว

ฟ่านอวี๋ไหวต่อสู้พลางถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องถูกคุ้มกันอยู่ตรงกลางพลทหารถือโล่ พวกเขาต่อสู้พลางบีบให้ฝ่ายศัตรูถอยหลังหนีขึ้นไปยังบันไดสูงของตำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

เสียนอ๋องในชุดเกราะกลัวว่าด้วยนิสัยอ่อนแอของเหลียงอ๋องจะทำให้เขาขาอ่อนเมื่อเห็นเลือดสดและซากศพมากมายเช่นนี้ มือหนึ่งของเสียนอ๋องกระชากแขนของเหลียงอ๋องเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างกำดาบแน่น เดินขึ้นบันไดไปอย่างมั่นคง เมื่อเห็นว่าเข้าใกล้ตำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ แววตาของเสียนอ๋องเต็มไปด้วยชัยชนะราวกับคนบ้าคลั่ง “เร็ว อีกนิดเดียวเท่านั้น!”

อยู่ตรงหน้านี้เอง…

เขาใกล้จะได้กลายเป็นพ่อตาของจักรพรรดิแล้ว เมื่อบุตรสาวของเขาคลอดบุตรชายออกมา เขาจะสังหารเหลียงอ๋อง ใต้หล้านี้จะกลายเป็นของสกุลหลิ่วของเขาทันที

ในสมองของเสียนอ๋องเต็มไปด้วยเกียรติยศของตระกูลหลิ่ว เท้าไม่ทันระวังจึงเหยียบลงบนแขนขาดวิ่นข้างหนึ่งที่กองอยู่บนพื้นจนเกือบเซล้มไปบนพื้น ทว่า แขนกำยำและมีพละกำลังช่วยรั้งเขาไว้เสียก่อน

เสียนอ๋องมองไปทางเหลียงอ๋องซึ่งอยู่ข้างกายตนด้วยความประหลาดใจ

เหลียงอ๋องก้มหน้าต่ำ กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงและหนักแน่น ดูไม่หวาดกลัวหรือหวั่นเกรงสิ่งใดแม้แต่น้อย “ระวังพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อตา…”

เสียนอ๋องไม่มีเวลาคิดถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น จู่ๆ ด้านหลังก็เกิดเสียงสู้รบดังสนั่นขึ้นเสียก่อน

เสียนอ๋องรีบหันหลังกลับไปมองทันที

ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวทะยานตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ม้ากระโดดข้ามกองทัพหนานตูเข้ามา หยาดฝนไหลจากขนของม้าศึกหยดลงบนพื้น

ไป๋ชิงเหยียนกันฟันกรอด ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวของหญิงสาวจ้องไปทางเสียนอ๋องที่มีสีหน้าตกตะลึงนิ่ง รวบรวมสติ ง้างสายธนูแล้วยิงออกไปเต็มแรง

เหลียงอ๋องเห็นเพียงสตรีในชุดเกราะสีเงินขี่ม้ากระโจนเข้ามาท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ ความหนาวเหน็บคืบคลานจากปลายเท้าขึ้นสู่ศีรษะ เขาไม่ทันได้ร้องตะโกน…

ลูกธนูลอยผ่านสายฝนตรงเข้ามา เหลียงอ๋องรู้สึกว่ามีลมเฉียดผ่านใบหูของเขาไปอย่างเฉียดฉิว เสียนอ๋องถูกแรงปะทะบางอย่างกระแทกจนเซล้มไปทางด้านหลัง

เหลียงอ๋องหันกลับไปมองเสียนอ๋อง เขาเห็นเสียนอ๋องนอนเบิกตาโพลงเอามือกุมคอของตัวเองอยู่บนพื้น เลือดสดไหลทะลักออกมาจากลำคอและปากไม่หยุด

“เสียนอ๋อง!”

“ท่านอ๋อง!”

“เสียนอ๋อง!”

แม่ทัพหนานตูที่คุ้มกันอยู่ข้างกายของเสียนอ๋องร้องตะโกนลั่น การสูญเสียหัวหน้าทัพไปอย่างกะทันหันทำให้กองทัพเริ่มวุ่นวาย เสียขวัญและกำลังใจไปทันที