บทที่ 656 ดื่มสุราอีกแล้ว

บทที่ 656 ดื่มสุราอีกแล้ว

เพราะความสัมพันธ์ของหลินซือ การไปมาหาสู่ของเหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวจึงยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ซวีจ้าว คราวที่แล้วเจ้าไปดูกริชกับข้ามาไม่ใช่รึ? ข้าไปรับของมาแล้วเจ้าดูสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เหยาเอ้อหลางล้วงกริชออกมาจากอ้อมแขน จากนั้นก็โยนให้ซวีจ้าวโดยตรง

ซวีจ้าวหูตาว่องไวยื่นมือออกไปรับกริชด้ามนั้นด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็มองเหยาเอ้อหลาง ด้วยสายตาอธิบายไม่ได้

“ฝีมือใช้ได้ เงินที่จ่ายไปนับว่าคุ้มค่า” หลังจากมองพิจารณาทั้งหมดหนึ่งรอบแล้ว ซวีจ้าวจึงเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้า ให้ข้าเลี้ยงสุราเจ้าดีหรือไม่?” ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหยาเอ้อหลางก็พลันประหลาดใจรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้ดื่มสุรากับซวีจ้าวมานานมากแล้ว

ผู้อื่นไม่รู้ แต่เขาย่อมรู้ดี

ยามที่ซวีจ้าวดื่มสุรากับไม่ดื่มสุราเหมือนกลายเป็นคนละคน อีกทั้งความคอแข็งของซวีจ้าวก็ไม่นับว่าดีนัก ดังนั้นหากจะจับซวีจ้าวมอมสุราก็ไม่ถือว่ายากเกินไปสำหรับเหยาเอ้อหลาง

“ข้าไม่อยากดื่มสุรา” ครั้นได้ยินคำว่าสุราสองพยางค์นี้ ซวีจ้าวก็พลันขมวดคิ้วทันที ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเหยาเอ้อหลางมีความกระตือรือร้นอยากชวนเขาดื่มสุรายิ่งนัก?

“ดื่มเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้เจ้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี ต่อไปถ้ามีเรื่องต้องทำอยากจะดื่มสุราก็ดื่มไม่ได้แล้วนะ”

“ไม่ไป”

“ซวีจ้าว ข้าตั้งใจเลี้ยงสุราเจ้าเชียวนะ แม้แต่เจ้าก็ไม่คิดจะไว้หน้าข้าหรือไร?”

ซวีจ้าวไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดการดื่มสุราและหน้าตาของเขาถึงเกี่ยวข้องกัน แต่คำพูดของเหยาเอ้อหลางก็ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะโต้แย้งกลับไปอย่างไร เขาเรียนแต่วิชาที่ใช้ในทางทหารมาโดยตลอด การพูดการจาจึงไม่ได้เก่งเหมือนกับเหยาเอ้อหลางเพียงนั้น

สุดท้ายก็ถูกเหยาเอ้อหลางเกลี้ยกล่อมจนหลวมตัวตามไปหอสุราแห่งหนึ่งจนได้

เพราะเป้าหมายของเขาคือดื่มสุรา ดังนั้นอาหารอะไรพวกนั้นจึงไม่ได้ต้องการมากนัก

“เถ้าแก่ ขอสุราฮัวเตียวชั้นดีสองไห แล้วก็ถั่วแกล้มอีกสองสามจาน”

“ได้เลย” ครั้นซวีจ้าวได้ยินคำพูดของเหยาเอ้อหลางก็เตรียมจะปฏิเสธด้วยจิตใต้สำนึก ถึงอย่างไรการดื่มสุราในคราวที่แล้วก็ล่อไปคนละเหยือกแล้ว ตอนนี้กลับล่อถึงสองไห มันเยอะเกินไปไหม?

“ซวีจ้าว วันนี้ข้าตั้งใจมาเลี้ยงสุราเจ้า เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

“ข้าไม่หนี”

“งั้นก็ดี” เห็นได้ชัดว่ายังไม่ทันดื่ม เหตุใดเหยาเอ้อหลางถึงได้เริ่มพูดจาไร้สาระแล้ว? ซวีจ้าวมองเหยาเอ้อหลาง ราวกับไม่เข้าใจว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด

เหยาเอ้อหลางนั่งอยู่เงียบ ๆ โดยไม่พูดสิ่งใด ตลอดจนสุราฮัวเตียวสองไหถูกยกเข้ามา นัยน์ตาของเหยาเอ้อหลางถึงได้ทอเป็นประกาย

ซวีจ้าวคนนี้ มักมีเรื่องราวให้คิดวกวนอยู่ในใจมากมาย แต่ไม่เคยพูดกับเขา ตอนนี้มีโอกาสนี้แล้ว เขาจะคอยดูว่าซวีจ้าวจะซ่อนเร้นมันไว้ลึกเพียงใด

“ซวีจ้าว สุราจอกนี้ข้าขอดื่มให้เจ้า ความจริงแล้วก่อนหน้านั้นข้าคิดว่าวันเวลาของข้านั้นแสนวิเศษมากแล้ว ทักษะการต่อสู้ก็พอใช้ได้ แต่หลังจากเจอเจ้า ข้าก็เพิ่งได้รู้ว่าเหนือเขายังมีเขา เหนือคนก็ยังมีคนที่เหนือกว่า ในด้านวิทยายุทธ์เจ้านับว่ามีพรสวรรค์”

ซวีจ้าวเห็นเหยาเอ้อหลางยกจอกขึ้นสูง ตัวเองย่อมยกเว้นไม่ได้เช่นกัน เขายกจอกขึ้นสูง หลังจากชนกับเหยาเอ้อหลางแล้วก็ดื่มรวดเดียว

เหยาเอ้อหลางเห็นซวีจ้าวกระตือรือร้นเช่นนี้ ก็พลันดีใจอยู่ภายใน เร่งเร้าให้ซวีจ้าวดื่มอีกจอก แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“จอกที่สอง ข้าขอดื่มให้เจ้าผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าคอยอยู่ข้างกายข้า เกรงว่าข้าคงตกอยู่ในอันตรายหลายคราไปแล้ว ดังนั้นเจ้าคือคนที่มีพระคุณของเหยาเอ้อหลาง”

“ชมกันเกินแล้ว”

ครั้นแก้วที่สองลงท้องไป เหยาเอ้อหลางมองไปยังซวีจ้าวที่เริ่มมีดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย ผ่านประสบการณ์มาหลายครั้ง เหตุใดความคอแข็งของซวีจ้าวถึงไม่เพิ่มขึ้นเลย

“จอกที่สาม ขอบคุณที่เจ้าช่วยวาดเส้นตัดขอบภาพกริชซ้ำให้ข้า ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่ากริชด้ามเล็ก ๆ เพียงด้ามเดียวจะสามารถประณีตได้เช่นนี้ ซวีจ้าว แม้ว่าเจ้าจะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่มีความสามารถมาก และข้าเหยาเอ้อหลาง น้อยนักที่จะชื่นชมผู้อื่นด้วยใจจริง”

ยังไม่ทันรอให้ชนจอกกับซวีจ้าว เหยาเอ้อหลางก็ดื่มจนหมดจอกแล้ว

บางทีอาจเพราะได้รับอิทธิพลจากการกระทำของเหยาเอ้อหลาง ซวีจ้าวจึงดื่มด้วยโดยไม่กล่าวสิ่งใด และอาจเพราะอึดอัดใจ ด้วยเรื่องที่มากเกินไปจึงอยากทำตามใจตัวเองบ้าง

เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าว คิดคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ของซวีจ้าวอยู่เงียบ ๆ ในใจ คาดว่าคงถึงช่วงกำลังพอดีแล้ว จึงหยุดดื่มแล้วมองซวีจ้าวอย่างเงียบ ๆ

“ซวีจ้าว ช่วงนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดีไม่ใช่รึ?”

“ใช่ ก่อนหน้านั้นข้ามักรู้สึกว่าทักษะการต่อสู้ของข้านั้นเก่งกาจมาก การควบคุมสติของตัวเองแข็งแรงมาก แต่ช่วงนี้ข้าพบว่าตัวเองเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไร ดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงทั้งสิ้น”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่รู้สิ บางทีอาจเพราะจิตใจของข้าไม่เหมือนเดิมก็ได้กระมัง”

“เปลี่ยนไปอย่างไร?”

“ก็…ก็เหยาเอ้อหลาง เห็น ๆ อยู่ว่าข้าเคยพูดกับเขาแล้ว ข้าอยากออกรบ ปกป้องบ้านเมือง แต่เขาอยากรั้งข้าไว้ ให้ช่วยอยู่ข้างกายเขา ในใจข้ารู้ดีทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่กลับยังสับสนว่าจะอยู่หรือไม่อยู่”

ซวีจ้าวเมาแล้วจริง ๆ เริ่มพูดจาไม่ได้ศัพท์ แต่ตรรกะยังแข็งแกร่งอยู่

ไม่รู้ว่าเพราะสุราที่ดื่มหนักหน่วงเกินไปหรือไม่ ซวีจ้าวถึงคิดว่าตอนนี้ตัวเองกำลังฝัน ดังนั้นเหยาเอ้อหลางถามสิ่งใด เขาก็ตอบกลับโดยไม่คิด

“เช่นนั้นเจ้าเคยพูดกับเขาไหม?”

“พูดว่าอะไร? ข้าเป็นบุรุษ ไฉนเลยจะกล้าบ่นอุบอิบเหมือนกับสตรีเหล่านั้น ข้าคิดมาดีแล้ว”

“ในใจเจ้า เหยาเอ้อหลางเป็นคนเช่นไร?”

“หึ คุณชายตระกูลขุนนาง เป็นผู้ลากมากดีคนหนึ่ง แต่ต้องบอกว่านิสัยเขาใช้ได้ อย่างน้อยการได้อยู่กับเขาก็ทำให้ข้าสบายใจ ไม่อึดอัด”

คำพูดของซวีจ้าวได้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเหยาเอ้อหลางได้สำเร็จ เขาเองก็รู้สึกดีกับซวีจ้าวเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสหายที่อยู่รอบตัวของซวีจ้าวและเขาล้วนแตกต่างโดยสมบูรณ์ กระทั่งสิ่งที่แสวงหาก็ยังแตกต่าง แต่เขาชอบอยู่กับซวีจ้าวเป็นที่สุด

เท่าที่คำนวณ เขาไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนสหายคนอื่นนานมากแล้ว ทุกวันเอาแต่เทียวไปเทียวมาระหว่างจวนตัวเองกับจวนหลิน แต่เขาก็มีความสุข

“แล้วเจ้ายังมีเรื่องอื่นกังวลอยู่ในใจอีกไหม?”

“มีสิ เยอะมากด้วย แต่ข้าบอกเจ้าไม่ได้ เพราะประเดี๋ยวเจ้าจะเป็นกังวล” ซวีจ้าวพูดจบ ก็ชูนิ้วชี้ของตัวเองขึ้น วางตรงปากเป็นการส่งสัญญาณว่าให้เก็บเป็นความลับ เหยาเอ้อหลางถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าซวีจ้าวยังมีด้านนี้อีกด้าน

“แล้วเจ้าบอกสิ่งใดกับข้าได้บ้าง?”

“บอกเจ้าไว้เลย ช่วงนี้ข้าเบิกบานใจอย่างมาก ปกติแล้วข้ามักอยู่ตัวคนเดียว แต่ตอนนี้มีเหยาเอ้อหลางอยู่ข้างกายข้า ทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตที่กำลังเงียบเหงาไม่ได้น่าเบื่อเพียงนั้น แต่ข้าบอกเหยาเอ้อหลางไม่ได้ มิเช่นนั้นเขาจะต้องหัวเราะเยาะข้าแน่นอน นิสัยของเขา ข้าเข้าใจดี”

ครั้นได้ยินคำพูดของซวีจ้าว เหยาเอ้อหลางก็อดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้ หรือว่าซวีจ้าวจะมีคนแบบนี้อยู่ในใจ?

แต่ยิ่งได้ดื่มสุรากับซวีจ้าวมากขึ้น เหยาเอ้อหลางก็ยิ่งค่อย ๆ รู้จักซวีจ้าวลึกซึ้งขึ้น จากการได้สัมผัสก็เข้าใจว่าซวีจ้าวไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยความรู้สึกโดยง่าย