ตอนที่ 664 ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว จ่างกงจู่ของข้า
พวกข้ารับใช้และองครักษ์ที่ตามไปด้วย กว่าจะกลับมาก็ผ่านไปนานและบัดนี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน พวกเขาไม่ยอมลุกขึ้นมา จากปากพวกเขาคืออดีตเจียงโฉวฝู่และองค์หญิงเว่ยเว่ยสองสามีภรรยาขับเกวียนเทียมล่อไปตามถนนเขตเริ่นอันเพื่อมุ่งหน้าสู่หุบเขา
หลายปีมานี้ถนนระหว่างฉือหลี่โกวและเขตเริ่นอันถูกซ่อมแซมแล้วซ่อมแซมอีก จึงถือว่าเป็นถนนที่ไม่เลว เป็นถนนสองเลนเหมือนยุคอนาคตที่รถม้าสองคันสามารถสวนทางกันไปมาได้ สองสามีภรรยาชำนาญทางและขับเกวียนเทียมล่อเก่งมากด้วย ตัวรถและตัวล้อถูกออกแบบใหม่ รถจึงวิ่งได้อย่างนิ่มนวลและมั่นคง รถม้าขององครักษ์และข้ารับใช้ด้านหลังกำลังขับตามพวกนางอยู่ห่างๆ
แต่ใครจะไปคาดคิดว่าในระหว่างทางโค้งหนึ่งบนหุบเขาจะบังเอิญพบกับคุณชายเจ้าสำราญกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ควบม้าบนเส้นทางหุบเขาที่ขรุขระอย่างบ้าคลั่ง
พวกเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าพอเลี้ยวมาก็จะเจอเกวียนเทียมล่อจึงลดความเร็วไม่ทัน โชคดีที่ผู้นำกลุ่มมีทักษะขี่ม้าค่อนข้างดีจึงเลี่ยงตอนกำลังจะชนเกวียนเทียมล่อได้
ทว่าล่อของเจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยตื่นตกใจ มันวิ่งเบี่ยงไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ อย่างไรก็ตามด้านข้างเป็นหุบเหวลึกจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง ทันใดนั้นล่อก็เสียการทรงตัวจึงทำให้เกวียนและสองสามีภรรยาร่วงตกเหว…
ซุ่นจื่อที่บัดนี้ผมขาวเต็มศีรษะเรียบร้อยแล้วก็ตกใจจนหายใจแทบไม่ออก “เดิมทีนายท่านที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับสามารถกระโดดออกมาได้ แต่พอหันไปดูที่เกวียนด้านหลังแล้ว ก่อนที่เกวียนจะร่วงลงไป ท่านก็ยังพยายามดึงเชือกเพื่อควบคุมล่อ…ถ้าบ่าวไม่ฟังคำพูดของฝูเหรินคือเปลี่ยนม้าของเราเป็นล่อที่เพิ่งซื้อมา เรื่องนี้ก็อาจไม่เกิดขึ้น…เป็นความผิดของบ่าว เป็นความผิดของบ่าวทั้งหมด ! ”
“ท่านปู่ ท่านย่า…”
“ท่านตา ท่านยาย…”
“ท่านพ่อ ท่านแม่…”
“ท่านลุง ท่านป้า…”
…
จวนสกุลเจียงดังระงมไปด้วยเสียงสะอื้น หลินจื่อถิงสนิทกับพี่รอง ข้าวของที่ถูกส่งกลับมาทุกเดือนจะมีส่วนของเขาด้วยเสมอ เวลาเขาเขียนจดหมายหาพี่สาวก็จะเป็นซองกระดาษปึกหนาๆ ทั้งนั้น หลังได้ยินข่าวร้ายนี้แล้วเขาก็แทบยืนไม่ไหว ด้านหน้ามืดมิด หายใจไม่ออก แทบล้มลงไปทันที บุตรชายทั้งสองคนเข้ามาประคองเขาไว้พร้อมน้ำตานองหน้า…ท่านป้าท่านลุงจากไปแล้ว ท่านพ่อก็จะตามไปด้วย !
บุตรสาวของหลินเว่ยเว่ยร้องไห้จนหมดสติไปหลายรอบ เมื่อวานนางยังได้รับเครื่องประดับทำจากงาช้างและสร้อยข้อมือมรกตจากมารดาอยู่เลย แต่วันนี้คนในจวนสกุลเจียงกลับมารายงานว่าบิดามารดาร่วงตกเหว เป็นหรือตายยังไม่รู้ ถ้าผู้รายงานที่ไปด้วยนั้นไม่ใช่คนสนิทฝีมือดีที่สุดของน้องชาย นางจะต้องทุบคนผู้นั้นจนตายแน่นอน ตอนแรกเขามารายงานว่าพวกท่านจากไปแล้วด้วยซ้ำ…สาปแช่งใครกัน ? ท่านพ่อท่านแม่ก็แค่หายตัวไป ! แล้วจะ…
บุตรชายคนโตของหลินเว่ยเว่ยกัดฟันแน่น ดวงตาแดงก่ำ พยายามกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้แล้วปลอบใจพี่สาวกับพวกเด็ก ๆ…
จ้าวจินเฉิงที่ดำรงตำแหน่งหมินอ๋องคนปัจจุบันกำหมัดแน่นและตรัสด้วยสุรเสียงเด็ดขาดว่า “ไม่ได้บอกว่าหาตัวไม่พบหรอกหรือ ?…ไม่แน่ว่าอาจมีคนใจดีช่วยไปแล้วก็ได้ ! อย่าเพิ่งร้องไห้กัน ! เปิ่นหวางจะไปดูที่เขตเริ่นอัน ! ”
ท้ายที่สุดหมินอ๋อง บุตรชายคนโตสกุลเจียงและหลินจื่อถิงก็เดินทางไปยังที่เกิดเหตุพร้อมกัน ฮ่องเต้ก็ส่งโอรสทั้งสี่ไปด้วย
เมื่อไปถึงโค้งนั้นแล้ว ทุกคนก็ลงไปที่ก้นหน้าผา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนงุนงงคือซากศพของล่อมีให้เห็น ซากเกวียนก็ยังอยู่ มีเพียงสิ่งเดียวที่หายไปคือร่างของสองสามีภรรยา โดยรอบเป็นพงหญ้าสูงเท่าตัวคน ทว่าทุกคนกลับไม่พบรอยเลือดแต่อย่างใด หรือแม้แต่ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย…สองสามีภรรยาคู่นี้ราวกับหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาจึงไปเกณฑ์ทหารและเจ้าหน้าที่ในบริเวณนี้มาตามหารอบหุบเขาที่อยู่ใกล้กัน แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของทั้งสองคน ต่อมาจึงขยายขอบเขตการค้นหาไปยังเขตและอำเภอที่อยู่โดยรอบ…แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่พบอะไร
หลินจื่อถิงและบุตรชายคนโตของหลินเว่ยเว่ยตามหาด้วยตัวเองอยู่หลายเดือน แต่พวกเขาก็ต้องเสียแรงเปล่า พวกเขาเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนักจึงไม่สามารถหาอยู่แบบนี้ได้ตลอด เวลาครึ่งปีเป็นเวลามากสุดที่ฮ่องเต้จะให้พวกเขาลางานได้แล้ว หลังจากนั้นครึ่งปีพวกเขาจึงต้องกลับมาที่เมืองหลวง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ในการตามหา ปีแรก ปีที่สอง…ต่อจากนั้นอีก 2-3 ปีก็ยังไม่มีข่าวคราวของสองสามีภรรยาเหมือนเดิม
ตำนานพื้นบ้านกล่าวว่าอดีตเจียงโฉวฝู่และองค์หญิงเว่ยเว่ยเป็นเทพเหวินฉวี่ซิง (เทพแห่งการศึกษา) กับเทพธิดาผู้ดูแลงานเกษตรกรรมจากสรวงสวรรค์ อวี้หวงต้าตี้ (เง็กเซียนฮ่องเต้) ส่งทั้งสองลงมาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือฮ่องเต้หยวนชิงและฮ่องเต้จิ่งหมิงฟื้นฟูแผ่นดินต้าเซี่ย ตอนนี้ครบกำหนดเวลาแล้วจึงถูกเรียกตัวกลับสวรรค์…
ผู้คนบนแดนมนุษย์จึงสร้างวัดและสร้างรูปปั้นให้ทั้งสองพระองค์ ธูปหอมถูกจุดพวยพุ่งมากเป็นทบทวี…
…
โอ๊ย !
เจ็บ !
เจ็บไปทั้งตัว !
หลินเว่ยเว่ยร้องโอดครวญ…สติค่อย ๆ กลับมาแจ่มชัดเพราะความเจ็บปวด…ความทรงจำสุดท้ายของนางคือระหว่างที่เกวียนเทียมล่อจะตกเหว สามีก็กระโจนเข้ามาหานางซึ่งถูกเหวี่ยงออกจากเกวียน ก่อนทุกอย่างจะดับวูบ นางถูกเขากอดไว้แน่น สองมือประสานกันพร้อมกับข้างหูที่มีเสียงอ่อนโยนแต่หนักแน่นของเขาดังว่า “ในเมื่ออยู่คู่กันจนนิรันดร์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ตายด้วยกันได้…”
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าก่อนที่เกวียนจะตกเหว เขามีเวลามากพอที่จะกระโดดออกไปได้…เจ้าทึ่ม…โอ๊ย ! เจ็บ ! หืม ? ถ้ารู้สึกเจ็บได้ก็แปลว่านางยังไม่ตาย ! ! แล้วใต้เท้าโฉวฝู่ของนางอยู่ที่ใด ? เขาเองก็…
หลินเว่ยเว่ยพยายามลืมตา แต่นางรู้สึกเวียนหัวไปหมด…ศีรษะของนางจะต้องกระแทกแน่นอน สมองจึงได้รับความกระทบกระเทือน ไม่ได้การ นางต้องกลับมามีสติให้ได้ ไม่แน่ว่าตาเฒ่ารูปงามของนางอาจกำลังรอให้นางไปช่วยชีวิตเขาอยู่ !
ทันใดนั้นเอง จมูกของนางก็ได้กลิ่นน้ำมัน…ช้าก่อน เหตุใดถึงมีกลิ่นน้ำมัน ? นางนั่งเกวียนไม่ใช่หรือ ไม่ได้นั่งรถยนต์สักหน่อย ! ! รถยนต์ ? เจ้านี่เกือบถูกลืมเลือนในช่วง 50 กว่าปีที่นางอยู่ในโลกยุคโบราณ…
“เว่ยเว่ย ! เว่ยเว่ย ! ! ” จู่ ๆ ข้างหูก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นและตามด้วยเสียงทุบกระจก…
ไม่ถูก !
หลินเว่ยเว่ยพยายามลืมตา จากความเลือนรางสู่ความกระจ่างชัด…จากภาพล่อเทียมเกวียนตรงเบื้องหน้ากลายเป็นภาพตัวรถบัสที่ผิดรูปร่าง หน้าต่างแตกกระจาย มีเศษกระจกหล่นอยู่ทุกที่ สัมภาระในรถก็กระจัดกระจาย…
นี่คือ…รถบัสที่นางนั่งไปฝึกงานคันนั้น ? หรือว่า…นางจะกลับมาแล้ว ?
เพราะรถบัสตกเหว นางจึงทะลุเวลาไปและก็ต้องกลับมาเพราะเกวียนเทียมล่อตกเหวอย่างนั้นหรือ ? สำหรับคนอื่นแล้ว การไม่ตายเพราะเกวียนเทียมล่อตกเหวถือว่าโชคดีมาก แต่สำหรับนางแล้วไม่อยากกลับมา เพราะถ้านางกลับมา แล้วตาเฒ่าของนางจะทำอย่างไร ? ลูกหลานและคนในครอบครัวของนางจะเสียใจมากขนาดไหน ? ชีวิตที่ไม่มีเขา นางจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ?
หยาดน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงมาอย่างช้า ๆ…
“เว่ยเว่ย ! รีบออกมา ! น้ำมันกำลังรั่วออกจากถัง มันระเบิดได้ตลอดเวลา เว่ยเว่ย ! เว่ยเว่ย ! ! ” หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ หันไปมอง ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งนางถึงจะนึกออกว่าผู้หญิงที่เคาะกระจกรถอยู่คือรูมเมทและเพื่อนสนิทในมหาวิทยาลัยของนาง
ระเบิด ? บางทีการระเบิดอาจทำให้นางได้ไปเกิดใหม่ ทำให้นางทะลุมิติเวลากลับไปยังต้าเซี่ย กลับไปอยู่กับคนรัก แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อยู่แล้ว คนในครอบครัวนาง คนรักของนางล้วนอยู่อีกโลกหนึ่ง หากสูญเสียพวกเขาไปแล้วชีวิตนางจะมีความหมายอะไรอีก ?
มีใครบางคนกำลังพยายามถีบกระจกหลังรถอย่างสุดชีวิต นางนั่งอยู่แถวหลังสุด คนผู้นั้นคงอยากจะช่วยนางออกไป พอมองไปด้านหน้าแล้วก็พบว่าในรถไม่เหลือใครสักคนแล้ว…คงถูกช่วยออกไปหมดแล้วกระมัง ? แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…
“เว่ยเอ๋อร์ เว่ยเอ๋อร์ ! ” คนที่ใช้เท้าถีบกระจกอยู่พลางตะโกนออกมาด้วยเสียงที่ไม่คุ้นชิน แต่คำที่ตะโกนออกมานั้นกลับฟังเหมือนแฝงไปด้วยความห่วงใย
ในที่สุดกระจกหลังที่แตกอยู่แล้วก็ถูกชายหนุ่มคนนั้นถีบเป็นรูขนาดใหญ่ เขาถอดเสื้อชั้นนอกของตัวเองออกแล้วคลุมที่ปากรูกระจกเอาไว้ จากนั้นก็ย่อตัวมุดเข้ามา เมื่อเห็นดวงตาคู่งามของนางมองมา เขาก็คลี่ยิ้มให้ “ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว จ่างกงจู่ของข้า ! ”