ตอนที่ 663 จู่ ๆ ก็…หายตัวไป ?
“ทำไม ? หรือเจ้ายังอยากแสดงความสามารถเหมือนในวันวาน ? ไม่ดูตัวเองบ้าง เจ้าอายุเท่าไรแล้ว ? คิดว่าตัวเองยังเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ อยู่หรือ ? ” เจียงโม่หานอ่านความคิดนางออกจึงได้แต่คลี่ยิ้มและส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
บุตรชายผู้อาวุโสส่ายหน้า “ปีก่อนยังมีฝูงหมาป่าลงมาบ้าง แต่ทางการช่วยขับไล่ให้พวกเราหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่โดนกำจัด พวกมันก็หนีไปอยู่หุบเขาลูกอื่นแล้ว ช่วงนี้ไม่ได้ยินว่ามีสัตว์ใหญ่อะไรให้ล่า แต่คนในหมู่บ้านก็ยังได้พวกไก่ป่าหรือกระต่ายป่ามาบ้าง หากพวกท่านอยากกินอะไรแปลกใหม่ ข้าจะไปหาจากคนในหมู่บ้านมาให้พวกท่านก็ได้ ! ”
“ไม่ต้องหรอก อีกประเดี๋ยวพอจัดการอะไรเสร็จแล้ว ข้ากับสามีจะขึ้นไปเดินเล่นบนหุบเขาสักหน่อย ลองเสี่ยงโชคดูบ้าง ตอนนั้น ข้า…พวกเราก็เป็นนายพรานที่มีชื่อเสียงของหมู่บ้านเช่นกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดถึงขุนเขาของบ้านเกิด นางคิดถึงจ่าฝูงหมาป่าเจ้าเทาและฝูงหมาป่าของมัน ยังมีหมีควายขี้ขลาดตัวนั้น…
ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว พวกมันจะต้องไม่อยู่บนโลกนี้แล้วแน่นอน ลูกหมาน้อยเจ้าดำที่จ่าฝูงหมาป่าเจ้าเทายกให้นางก็แก่ตายไปเมื่อ 30 ปีก่อน ส่วนรุ่นหลังของเจ้าดำก็ไม่รู้เกิดมากี่รุ่นแล้ว แทบไม่หลงเหลือสายเลือดของหมาป่าอยู่เลย แม้แต่เจ้านกแก้วหงส์แดงที่อายุยืนก็เพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน…
วันเวลาล่วงเลย การเวียนว่ายตายเกิดก็เช่นเดียวกัน พวกนางสองคนอายุ 60 ปีแล้ว ในสมัยโบราณแบบนี้ถือว่าเป็นคนอายุยืนมาก อาจมีสักวันที่พวกนางต้องกลับเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็ได้…หลินเว่ยเว่ยหันมาสบตากับสามีพลางกุมมือเขาไว้แน่น…นางหวงแหนช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้มาก
ในขณะที่พวกบ่าวรับใช้กำลังทำความสะอาดห้อง สาวใช้ก็นำชุดเครื่องนอนที่นำมาด้วยปูพื้นที่ของตน หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานก็ไปเดินเล่นรอบภูเขาที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน ยังนำกระต่ายป่าตัวอ้วน 3 ตัวและไก่ป่าอีกสองตัวกลับมาด้วย…‘เอาออกมาจากห้วงมิติน้ำพุวิญญาณ’
พอชายชราและบุตรชายของเขาเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ…ดูจากท่าทางสูงส่ง รัศมีไม่ธรรมดาของสองสามีภรรยาคู่นี้แล้วก็รู้ว่าเป็นผู้มั่งคั่ง แต่ใครจะไปคาดคิดว่าพวกนางล่าสัตว์เก่งขนาดนี้ หรือเกิดในครอบครัวนายพรานจริง ? ไม่ถูก ! ครอบครัวนายพรานที่ไหนจะออกจากบ้านทีหนึ่งแล้วยกขบวนกันมาเป็นคาราวานขนาดนี้ ไหนจะคนคุ้มกัน สาวใช้และยังมีพวกบ่าวรับใช้อีก ?
“ผู้ชายที่ดูอ่อนแอนั้นคงไม่ได้เกิดมาในตระกูลแม่ทัพหรอกกระมัง ? ” ทำให้คนอื่นอดมองแต่รูปร่างภายนอกไม่ได้จริง ๆ !
อดีตเจียงโฉวฝู่ที่โดนคนสงสัยว่าเกิดมาในตระกูลแม่ทัพก็อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น นอกจากนี้สองสามีภรรยายังลงแปลงนาเพื่อช่วยชายชราถอนหญ้า ใส่ปุ๋ย…หลินเว่ยเว่ยให้คำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนพวกเขาเพาะปลูกและยังมอบหนังสือเกษตรกรรมเล่มใหม่ให้แก่หมู่บ้านด้วย เนื้อหาด้านในครอบคลุมทุกด้าน !
ในวันรุ่งขึ้นที่พวกหลินเว่ยเว่ยจากไป บุตรชายผู้ใหญ่บ้านที่เข้าไปเรียนหนังสือในเขตก็กลับมา เมื่อเห็นหนังสือเกษตรกรรมเล่มนี้รวมถึงลายเซ็นพระนามบนหน้าปก เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “นี่เป็นหนังสือเล่มใหม่ของจ่างกงจู่ ! ยังมีลายเซ็นพระนามด้วย ! ท่านพ่อขอรับ ท่านได้หนังสือเล่มนี้มาจากไหน ? เวลาอ่านจะต้องระวังนะขอรับ หนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเรา ! ”
ผู้ใหญ่บ้านเล่าที่มาของหนังสือให้บุตรชายฟัง จากนั้นยังเรียกชายชรามาสอบถามอย่างละเอียด บุตรชายผู้ใหญ่บ้านหลั่งน้ำตาด้วยความตื่นเต้น “เป็นจ่างกงจู่กับใต้เท้าโฉวฝู่ ! ข้าได้ยินอาจารย์ใหญ่ที่สำนักศึกษาบอกว่าหลังลงจากตำแหน่งแล้ว ท่านโฉวฝู่ก็ออกมาท่องเที่ยวเป็นเพื่อนจ่างกงจู่ คาดไม่ถึงว่าพวกพระนางจะมาเยือนหมู่บ้านของพวกเรา ! ท่านพ่อขอรับ ข้าจะคัดลอกหนังสือเล่มนี้ออกมา ส่วนเล่มต้นฉบับพวกเราเก็บไว้เป็นสมบัติเถิดขอรับ ! ”
อดีตเจียงโฉวฝู่และองค์หญิงเว่ยเว่ยเดินทางลงใต้ของแม่น้ำแยงซีก่อน ทั้งสองไปยังพื้นที่ที่จ่งตูอย่างบุตรชายคนรองปกครองอยู่ พวกนางแทบจะเดินจนทั่ว นายอำเภอคนไหนสูบเลือดสูบเนื้อราษฎร เจ้าหน้าที่คนไหนทำงานขยันหมั่นเพียรหรือเจ้าหน้าที่คนไหนทำงานลวก ๆ…พวกนางต่างจดไว้อย่างละเอียดแล้วส่งไปให้บุตรชายจัดการ
หลินเว่ยเว่ยเน้นการพัฒนาพื้นที่การเกษตรในแถบนี้ ตรงไหนต้องปรับปรุง จุดไหนต้องปรับให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศในท้องถิ่น นางต่างให้คำแนะนำได้ทั้งนั้นและให้คนนำไปส่งให้บุตรชายเช่นกัน…
เมื่อมีการดูแลและคำแนะนำของพวกนางแล้ว บุตรชายคนรองของบ้านสกุลเจียงก็ปกครองพื้นที่ได้ดีกว่าเดิมและตามมาด้วยผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ส่วนพื้นที่ที่หลินจื่อเหยียนดูแลอยู่ พวกนางก็ทำเหมือนกัน…สามีภรรยาคู่นี้เหมือนสายฝนที่ตกทันเวลา ไปที่ไหนก็ร่มเย็น สร้างประโยชน์บางอย่างให้แก่ราษฎรและขุนนางที่สุจริตก็ได้สร้างชื่อเสียงจากพวกนางด้วย
มีขุนนางไม่น้อยที่อยากให้พวกนางมายังเขตปกครองของตนบ้างเพื่อมอบคำแนะนำอันแสนล้ำค่าออกมา แน่นอนว่าขุนนางกังฉินเหล่านั้นก็ไม่อาจหลบซ่อนอยู่ภายใต้สายตาอันเฉียบคมของพวกนางได้ ทั้งสองส่งฎีกาไปถึงเมืองหลวง ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจการก็ลงมา หลังรวบรวมหลักฐานได้แล้ว ขุนนางกังฉินก็โดนปลดจากตำแหน่ง ริบทรัพย์หรือประหารชีวิตก็ว่ากันไปตามความผิด…
ด้วยเหตุนี้ขุนนางชั้นผู้น้อยจึงเริ่มหวาดกลัวและควบคุมความประพฤติของคนในครอบครัวเพราะกลัวว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะจับจุดอ่อนได้
และก็มีขุนนางบางคนที่สืบหาร่องรอยของสองสามีภรรยา แต่พวกนางกลับล่องหนได้เหมือนวิญญาณ ไม่เดินทางในเส้นทางปกติและยังคอยสวมบทบาทต่าง ๆ ด้วย ประเดี๋ยวปลอมตัวเป็นพ่อค้าผ่านทาง ซื้อของประจำท้องถิ่นจากเมืองนี้แล้วส่งไปขายอีกเมืองหนึ่ง ประเดี๋ยวก็แต่งตัวเป็นคู่สามีภรรยาจากชนบทที่ขับเกวียนเทียมวัวไปขายผักผลไม้ในเมือง อีกเดี๋ยวแต่งตัวเป็นสำนักคุ้มกันสิ่งของ หลินเว่ยเว่ยในชุดบุรุษและรองเท้าเสริมความสูงยิ่งดูเหมือนบุรุษมากกว่าบุรุษแท้ ๆ เสียอีก ส่วนเจียงโม่หานโดนภรรยาแปะเคราให้ เรื่องความสูงพอแล้ว แต่ผอมไปหน่อยสำหรับผู้ชายดิบเถื่อน…
สถานที่ที่พวกนางจะไปเที่ยวก็ไม่แน่นอน บางคนบอกว่าเห็นพวกนางที่ตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี แต่ผ่านไปไม่นานที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ก็มีคนเห็นพวกนางสองคน…สองสามีภรรยาคู่นี้เป็นหน่วยสืบราชการลับหรือไร ? ยังหาคนมาแต่งตัวเป็นพวกตนในทุกหนทุกแห่ง ระหว่างนั้นมีเรื่องราวของทั้งสองเกิดขึ้นมากมาย ยังมีคนที่ไม่เคยเจอแล้วเข้าไปทักผิดคนจนทำให้เกิดเรื่องขำขันขึ้นไม่น้อย !
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ สองสามีภรรยาเดินทางไปทั่วหล้า ฮ่องเต้จิ่งหมิงยังให้ฐานะพวกนางว่า ‘ผู้ตรวจการแทนสวรรค์’ เพราะแม้ว่าทั้งสองจะเดินทางไปท่องเที่ยว แต่ก็มีส่วนร่วมกับราชกิจในราชสำนักไม่น้อย
ทั้งสองคนแทบจะไปเที่ยวทุกที่ที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินแล้ว หากเจอสถานที่ชอบก็จะเช่าบ้านพักอยู่กันระยะหนึ่ง แต่มีเพียงทั้งสองคนเท่านั้น ข้ารับใช้อะไรต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ด้วย นางทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า…ใช้ชีวิตที่แสนจะธรรมดา เรียบง่ายและเป็นชีวิตคู่ที่อบอุ่นที่สุด แน่นอนว่าด้วยฐานะและความมั่งคั่งของทั้งสองคนจึงไม่แตกตื่นกับเงินจำนวนไม่กี่ตำลึงที่คนธรรมดามักจะหวงแหน…
พวกลูกหลานในเมืองหลวงได้รับจดหมายและของฝากประจำท้องถิ่นจากพวกนางทุกเดือน หลังได้ทราบเรื่องราวต่าง ๆ จากพวกองครักษ์และข้ารับใช้ว่าสองสามีภรรยาสุขสบายดี ซ้ำยังดูอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย พวกลูกหลานก็วางใจ…ขอแค่พวกนางมีความสุขก็พอ
แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าในฤดูใบไม้ร่วงที่พวกนางทั้งสองอายุ 68 ปีนั้น จู่ ๆ จวนสกุลเจียงก็ได้รับข่าวร้าย…องค์หญิงเว่ยเว่ยและเจียงโฉวฝู่…หายตัวไป !
คนในจวนสกุลเจียง จวนสกุลหลินและตำหนักหมินอ๋องต่างกรีดร้องคร่ำครวญกันทันที แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังตกพระทัยตามไปด้วย ถึงขั้นเสด็จออกจากวังมาตรัสถามเรื่องราวจากจวนสกุลเจียง…จดหมายฉบับก่อนบอกว่าทั้งสองคนกลับไปเยี่ยมญาติที่ฉือหลี่โกวแล้วอยู่ดี ๆ จะหายไปได้อย่างไร ?