ตอนที่ 662 คนสูงวัยชอบรำลึกความหลัง
“เจ้าก็มองข้าสูงส่งเกินไป เป้าหมายในเวลานั้นของข้าง่ายมาก…คือทำให้ราษฎรได้กินอิ่มท้อง” ตอนหลินเว่ยเว่ยทะลุมิติเวลามา ในภาคเหนือกำลังประสบภัยแล้ง แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแล้วพอหวนนึกถึงก็ยังทำให้นางปวดใจอยู่ดี
“เป้าหมายนี้เป็นความปรารถนาของคนหลายรุ่นมารวมกัน แต่เจ้าทำสำเร็จ ! ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริง ๆ ! ” หลังจากรับประทานแอปเปิลในมือหมดแล้ว เจียงโม่หานก็ขุดหลุมฝังเมล็ดองุ่นของภรรยาและแกนแอปเปิลที่ตัวเองรับประทานลงไป “ข้างหน้ามีหมู่บ้านอยู่ ถ้าออกเดินทางตอนนี้แล้วตอนเย็นพวกเราน่าจะได้ไปค้างแรมที่นั่นพอดีกระมัง ? ”
เนื่องจากสภาพอากาศกำลังดี ทั้งสองคนจึงขี่ม้าตัวเดียวกันออกไปท่องเที่ยวต่อ ระหว่างนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เล่าเรื่องสัตว์ที่นางเลี้ยงไว้ในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณให้สามีฟังด้วยเสียงแผ่วเบา นางพูดถึงพืชผลที่ปลูกในนั้น ผลไม้และพืชผักล้วนเพียงพอให้พวกนางกินไปหลายชั่วอายุ สาเหตุที่มีคนบอกว่าพวกนางเหมือนคนอายุ 40 ปีต้น ๆ แต่ความจริงอายุมากถึง 60 ปีแล้วจะต้องเกี่ยวข้องกับน้ำพุวิญญาณในห้วงมิติแน่นอน…
สองสามีภรรยาขอนอนค้างแรมในหมู่บ้านเล็ก ๆ ตรงเบื้องหน้าที่มีอยู่แค่สิบกว่าหลังคาเรือน แม้หมู่บ้านจะเล็กแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและบรรยากาศอบอุ่น คนชรานั่งพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ ส่วนพวกเด็ก ๆ ก็วิ่งเล่นกันรอบหมู่บ้าน ไม่รู้นั่นคือลูกหมาของบ้านไหน มันก็กำลังวิ่งตามนายน้อยอย่างมีความสุขและยังเห่าเป็นระยะด้วย…มีชีวิตชีวามากเหลือเกิน
ขณะที่หลินเว่ยเว่ยมองภาพเหล่านั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ…นางคิดถึงวันเวลาตอนอยู่ที่หมู่บ้านฉือหลี่โกว
“ทั้งสองท่านมาขอพักแรมกระมัง ? ” ในเส้นทางหลายร้อยลี้มีเพียงหมู่บ้านนี้แห่งเดียวจึงมีคนมาขอพักในหมู่บ้านบ่อยครั้ง ชายชราสองสามคนที่สนทนากันอยู่ใต้ต้นไม้จึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นสองสามีภรรยาลงจากหลังม้า พวกเขาทักทายด้วยความสุขุม
ลูกหมาน้อยที่ดูจะอายุครบเดือนได้ไม่นานก็ทำใจกล้าแล้วเดินเข้ามาดมรองเท้าของหลินเว่ยเว่ยพร้อมหางที่สั่นระรัว เด็กน้อยไม่กี่คนที่วิ่งเล่นกันอยู่ก็มองรถม้าและม้าด้านหลังของพวกนางกับบรรดาบ่าวรับใช้…
เจียงโม่หานพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ขอรับ เดินทางผ่านมาฟ้าก็มืดแล้วจึงอยากขอพักค้างแรมสักคืน ขอท่านผู้อาวุโสได้โปรดเมตตาด้วย…”
หลินเว่ยเว่ย “…” บทสนทนานี้ทำให้นางอดนึกถึงละครการเดินทางสู่ทิศตะวันตกเวอร์ชั่นปี 1983 ไม่ได้ ตอนเสวียนจั้ง (พระถังซัมจั๋ง) ขอพักค้างแรมก็เหมือนจะพูดแบบนี้ ? นางเหลือบมองสามีตัวเอง แม้อายุมากแล้วสำหรับนางยังเห็นว่าเขารูปงามยิ่งกว่าเสวียนจั้ง !
ชายชราผมขาวคนหนึ่งเคาะกระบอกยาสูบที่รองเท้า หลังลุกขึ้นแล้วก็พยักหน้าให้พวกนาง “บ้านข้าเพิ่งสร้างใหม่ ส่วนบ้านเก่ามีห้องว่าง เพียงพอให้พวกท่านนายบ่าวเข้าพักได้…ตามข้ามาเถิด ! ”
หลังจากเจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยเดินตามหลังชายชราคนนั้นไปแล้ว พวกนางก็เริ่มหาเรื่องสนทนา “ท่านผู้อาวุโสดูแข็งแรงมาก ! ”
“แต่ผ่านปีนี้ไปก็อายุ 60 แล้ว ! ” ชายชราเดินเอามือไพล่หลัง ทันใดนั้นก็มีเด็กน้อยตัดผมทรงฝากาน้ำชาครอบเดินเข้ามาจับมือเขา ชายชราจึงลูบศีรษะเด็กคนนั้นด้วยรอยยิ้ม
เจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยหันมามองหน้ากัน ‘เยี่ยม ! อายุรุ่นเดียวกันเลย’
หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาบอกเจียงโม่หาน ‘ท่านเจียงโฉวฝู่ ท่านดูหนุ่มกว่ามาก ! ’
เจียงโม่หานเผยแววตาแห่งรอยยิ้ม ก่อนจะดึงมือนางมาจับโดยใช้แขนเสื้อบังไว้ เขาพูดต่อ “ท่านผู้อาวุโส ผลผลิตในไร่ช่วงสองปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
ชายชรามีใบหน้าเปื้อนยิ้มทันที “ดี ดีมาก ! ปีก่อนบ้านข้าปลูกข้าวสาลี 5 หมู่ ข้าวโพด 3 หมู่ พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ได้ข้าวสาลีมา 4,000 กว่าชั่ง ข้าวโพดอีก 3,000 ชั่ง ! ต้องขอบคุณเมล็ดพันธุ์ให้ผลผลิตสูงของจ่างกงจู่ (องค์หญิงขั้นหนึ่ง) นี่เป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยคิดฝันแม้แต่ตอนยังหนุ่มก็ตาม ! ”
หลินเว่ยเว่ยผู้เป็นจ่างกงจู่พูดว่า “อาหารมากมายขนาดนี้ บ้านพวกท่านกินกันหมดหรือ ? ”
“กินไม่หมดอยู่แล้ว ! ” ชายชราพูด “ที่เขตมีคนรับซื้อ ข้าวสาลีชั่งละ 4 อีแปะ ข้าวโพด 2 อีแปะ ในหนึ่งปี นอกจากได้กินแล้วก็ยังทำเงินได้หลายสิบตำลึง ! ”
สำหรับราษฎรแล้ว งานที่ทำมาตลอดทั้งปีสามารถทำให้อิ่มท้องได้นั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว ดังนั้นยิ่งไปต้องพูดถึงว่ายังหารายได้เพิ่มอีกเลย
“ตอนสมัยข้ายังหนุ่ม หลังจากใช้พืชผลส่งจ่ายภาษีและค่าเช่าที่แล้วก็แทบไม่เหลือ วันหนึ่งกินได้ 2 มื้อก็มีแต่บ้านที่ฐานะดีหน่อยเท่านั้น แต่ก็ยังต้องคอยประหยัดตลอดทั้งปี พอลองคิดดูแล้ว…ความรู้สึกอดมื้อกินมื้อช่างทรมานเหลือเกิน ! สมัยนั้นแย่สุด ๆ เปลือกไม้รากไม้ถูกคนอื่นขุดกินหมด แม้แต่ดินก็ยังกิน…” คนสูงวัยชอบรำลึกความหลังเป็นธรรมดา
หลานชายคนเล็กก็แกว่งแขนเขาไปมา ขณะถามด้วยความสงสัย “ท่านปู่ ดินอร่อยหรือขอรับ ? ”
“อร่อยอะไรกัน ? กินมากไปก็ท้องอืด ท้องเสีย ได้แต่ตายทั้งเป็น…” ชายชราลูบศีรษะหลานชายแล้วถอนหายใจออกมา “พวกเจ้าเกิดมาในยุคสมัยนี้ก็เหมือนตกมาในรังแห่งความสุข ! ”
หลานชายพยักหน้าแล้วพูดด้วยท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ “ข้ารู้ ! ชีวิตดี ๆ ของพวกเราเป็นสิ่งที่จ่างกงจู่สร้างให้ ! ท่านปู่ เหตุใดจ่างกงจู่ถึงสร้างเมล็ดพันธุ์ให้ผลผลิตสูงออกมาได้ขอรับ ? แล้วเมื่อก่อนไม่มีคนสร้างออกมาได้หรือ ? ”
ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความเคารพ “จ่างกงจู่เป็นพระโพธิสัตว์ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ ในปีนั้นภาคเหนือประสบภัยแล้งอย่างรุนแรง ผู้คนไม่มีข้าวสารหรือน้ำให้ดื่มเลย ในขณะที่กำลังจะอดตายแล้ว พระโพธิสัตว์บนสวรรค์ก็บังเอิญลงมาแดนมนุษย์และทนเห็นผู้คนทุกข์ทรมานไม่ได้จึงจำแลงกายเป็นหญิงชาวบ้าน…เมล็ดพันธุ์ให้ผลผลิตสูงนี้จะต้องเป็นของที่พระนางนำมาจากสวรรค์ด้วยแน่นอน”
หลานชายยังถามต่อ “แต่ท่านปู่ขอรับ หากพระโพธิสัตว์จำแลงกายเป็นหญิงชาวบ้าน แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นจ่างกงจู่ได้อีกขอรับ ? ”
“พระโพธิสัตว์ในร่างหญิงชาวบ้านบังเอิญเป็นบุตรสาวที่พลัดพรากของเทพสงครามแห่งต้าเซี่ย หลังตามหากันจนเจอแล้ว พระนางยังได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้และองค์รัชทายาทไว้ อดีตฮ่องเต้จึงแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิง” สิ่งที่ชายชราพูดเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ได้ยินมาจากคนในเมืองทั้งสิ้น
จ่างกงจู่ตัวจริง “…” เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาจุติ ? ที่แท้ต้นฉบับนิทานพื้นบ้านและตำนานต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นเพราะแบบนี้เอง !
ระหว่างสนทนากัน พวกนางก็มาถึงบ้านหลังใหม่ของชายชรา เขาพูดกับบุตรชายคนโตที่กำลังทำงานอยู่ในแปลงผักว่า “มีแขกมา รีบไปจัดการบ้านหลังเก่า ! ”
บุตรชายคนโตหัวเราะ “ท่านพ่อ วันนี้เครื่องนอนของบ้านเก่าเพิ่งซักเสร็จ น้องชาย น้องสาว ตามข้ามา ! ”
น้องชาย ? น้องสาว ? พวกเราอายุเท่าบิดาของเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องเรียกท่านลุงกับท่านป้าต่างหาก ! มีตาแต่ไร้แววจริง ๆ !
บ้านหลังเก่าของชายชราเหมือนบ้านในหมู่บ้านฉือหลี่โกวไม่มีผิด ห้องหลักสามห้อง ห้องปีกอีกด้านละหนึ่งห้อง แม้พวกเขาจะย้ายออกจากบ้านเก่าแล้ว แต่บ้านหลังนี้ไม่ได้ดูทรุดโทรม เห็นได้ชัดว่ามีคนเข้ามาทำความสะอาดบ่อยเพียงใด
บุตรชายคนโตอธิบาย “นี่ไม่ใช่เพราะมีแขกมาขอพักค้างแรมบ่อยหรอกหรือ ! อย่างไรก็ต้องดูแลไว้หน่อย ไม่เช่นนั้นได้ทำให้แขกต้องรอแน่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยถึงได้เข้าใจว่า ‘นี่ก็คือโฮมสเตย์แบบยุคโบราณ ! คนที่มาขอพักย่อมเกรงใจเกินกว่าจะพักโดยไม่จ่ายเงิน ? อย่างไรนี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางหารายได้กระมัง ! ’
นางมองหุบเขาตรงหลังบ้าน คิดว่าภูเขาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวงดงามกว่า นางส่ายหน้าก่อนจะถามว่า “ในหุบเขามีสัตว์ให้ล่าหรือไม่ ? ”