ตอนที่ 525 เป็นเจ้า หลี่! (1)
เหตุใดองค์เง็กเซียนจึงรวดเร็วเช่นนี้?
นี่ไม่เหมือนศาลสวรรค์ นี่ไม่เหมือนศาลสวรรค์เลย
โดยปกติแล้ว จะต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการจัดทำพระราชโองการ กระบวนการเลื่อนขั้นตำแหน่งเทพจะใช้เวลานานกว่าสิบถึงยี่สิบปี แม่ทัพสวรรค์สามัญจะต้องทำงานเป็นเวลาสองถึงสามวันเพียงเพื่อจะได้ออกไปด้านนอกประตูสวรรค์!
แม้การกำจัดเศษซากของราชวงศ์ก่อนหน้านี้จะเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ฮวารี่เทียนก็ควรต้องมีกระบวนการในการเคลื่อนย้ายกองกำลังใช่หรือไม่?
สุริยงทรงกลดบนแผ่นฟ้า และยิ่งไปกว่านั้น ในเวลานี้ดวงสุริยาก็กำลังเอียงไปทางทิศตะวันตก มันคงต้องใช้เวลาพอสมควรในการนำกองทหารจากศาลสวรรค์พุ่งไปที่นั่นใช่หรือไม่?
นับประสาอะไรกับที่ร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนยังคงต้องปิดบังตัวเขา รอโอกาสโจมตีอย่างรุนแรง และเตรียมแผนสำรองที่จะสังหารลู่หยาอย่างแน่นอน…ทว่าเมื่อดูจากท่าทีในตอนนี้ เหตุใดถึงดูราวกับว่าองค์เง็กเซียนกำลังจะโจมตี?
โชคดีที่เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาขององค์เง็กเซียนแล้ว เขาก็หยุดองค์เง็กเซียนเอาไว้ในช่วงเวลาสำคัญได้…
ในหอสมบัติหลิงเซียว หลี่ฉางโซ่วรอคอยอยู่เงียบๆ พร้อมด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสับสนว่า ‘ข้าเป็นผู้ใด และข้าอยู่ที่ใด’
สับสนสุดเหวี่ยงจริงๆ
องค์เง็กเซียนหลับตาและตั้งสมาธิ เพ่งจิตไปที่ฮวารี่เทียน และเขาก็นำเหล่าทหารของเขาออกไปเงียบๆ จากดวงสุริยาเลิศฟ้าสง่างาม
ดวงสุริยาซึ่งเกิดจากดวงตาซ้ายของเทพผานกู่ ยังเป็นน้ำพุหยางแห่งสวรรค์และปฐพี
ก่อนที่เต๋าสวรรค์จะสมบูรณ์ ครั้งหนึ่ง เทพธิดาสุริยา “ซีเหอ” ได้ขับเคลื่อนดวงสุริยาไปมาจากทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกทุกวัน และมันก็เริ่มต้นเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นประจำ
ในสมัยโบราณ เผ่าอีกาทองคำซึ่งเกิดบนดวงอาทิตย์ได้เข้าสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด หลังจากที่ซีเหอกลายเป็นราชินีปีศาจของเผ่าปีศาจ จักรพรรดิปีศาจจุนก็ได้สร้างวังอีกาทองคำเพื่อให้เป็นที่พำนักของซีเหอและองค์ชายสิบ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดวงสุริยาก็ถูกเต๋าสวรรค์ควบคุมการเคลื่อนไหวดำเนินการ
ในตอนท้ายของยุคโบราณตอนปลาย ช่วงปลายของสงครามจอมเวท กองทัพมนุษย์พิชิตศาลปีศาจได้ และจักรพรรดิปีศาจก็สิ้นชีพลง
เมื่อบรรดาเซียนมนุษย์อีกนับล้านโจมตีวังอีกาทองคำ ซีเหอได้ปลงพระชนม์ชีพด้วยพระองค์เอง และวังอีกาทองคำส่วนใหญ่ก็ถูกทำลาย
ในขณะนี้ เขายืนอยู่นอกดวงสุริยาและมองเข้าไปภายใน ที่ด้านหลังค่ายกลสลายไฟกัลป์ เขาได้เห็นซากปรักหักพัง วัสดุล้ำค่ามากมายนับไม่ถ้วนได้ถูกเพลิงแท้แห่งดวงสุริยาแผดเผาจนกลายเป็นซากขยะที่ลุกโชนโชติช่วง
เดิมที กลุ่มทหารที่ฮวารี่เทียนนำมานั้น ได้ผ่านเขตค่ายกลสลายไฟกัลป์ ด้านนอกดวงสุริยาไปแล้ว
ทว่าหลี่ฉางโซ่วแจ้งไปได้ทันเวลาว่า องค์เง็กเซียนทรงเปลี่ยนพระทัยแล้ว จากนั้น ฮวารี่เทียนก็ส่งข้อความเสียงออกไปทั่วทุกที่ว่าอาจมีการซุ่มโจมตีที่นี่และพวกเขาจะล่าถอยไปชั่วคราว
ฉับพลันนั้น แม่ทัพสวรรค์ที่เขานำมาก็ตื่นตัวขึ้นอย่างมากในทันที พวกเขาไม่ตื่นตระหนกใดๆ และล่าถอยกลับไปอย่างเป็นระเบียบ
ในเวลาเดียวกันนั้น…ในส่วนที่ลึกที่สุดของซากปรักหักพังเหล่านี้ ในห้องโถงใหญ่ที่ส่วนใหญ่ได้พังทลายลงมา มีนักพรตเต๋าชราผู้หนึ่ง นั่งอยู่ที่มุมของซากปรักหักพัง ซึ่งมีข่ายอาคมป้องกันกั้นเป็นชั้นๆ ล้อมรอบเอาไว้
ใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อยในขณะที่ลมปราณของเขาก็สั่นสะท้าน เสื้อคลุมเต๋าของเขาเต็มไปด้วยเลือด เมื่อดูจากทิศทางการไหลเวียนของเลือดและรูปทรงของคราบเลือดแล้ว ดูเหมือนว่า…มันจะเป็นเลือดที่พ่นออกมา
ห้องโถงนั้นเย็นเยียบยิ่ง ราวกับว่ามีค่ายกลที่แยกคลื่นความร้อนออกจากดวงสุริยา
เลือดที่พ่นออกมาด้านหน้านักพรตเต๋าชรานั้น หลั่งนองจนกลายเป็นสายธารเลือดรอบกายเขา
หากมีผู้อื่นมาเห็นเข้า ย่อมต้องคิดว่าเขากำลังใช้ทักษะปีศาจอันใดอยู่อย่างแน่นอน…
นักพรตเต๋าชราไม่ได้สังเกตว่าเลยแม้แต่น้อยว่า ในเวลานี้ ร่างของบรรดาแม่ทัพสวรรค์ที่มาและออกไปนอกดวงสุริยาเหล่านั้น อยู่ในสภาพที่เลวร้ายมากแล้ว
เหตุใด? เหตุใดถึงมีเรื่องนี้เกิดขึ้นได้?
นักพรตเต๋าชราลืมตาขึ้น ทันใดนั้น ลมปราณของเขาก็เริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อาจอธิบายได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงต้องหลับตาลงอีกครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ปั่นป่วนในใจอย่างอับจนหนทาง
ในคราแรกนั้น เขาได้รับบาดเจ็บเบื้องต้นจากสมบัติล้ำค่าของเขา คือ มีดบินสังหารเซียน
ขณะที่เขากำลังปรับแต่งมีดบินสังหารเซียน จู่ๆ วิญญาณมีดบินก็ตื่นขึ้นและเกือบจะคร่าชีวิตของเขาไปแล้ว
นั่นจึงเป็นเหตุให้นักพรตเต๋าชราต้องปิดผนึกมีดบินสังหารเซียนเอาไว้ชั่วคราวอย่างไร้ทางเลือกแล้วรีบรักษาและฟื้นตัวเองอย่างรวดเร็ว…
ทว่าหลังจากนั้น… แม้เป็นเพียงการนั่งทำสมาธิธรรมดาๆ แต่มันก็สามารถเรียกจิตมารมาได้
แต่เมื่อทำความเข้าใจเต๋าของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็เจ็บปวดทรมานกับแรงสั่นสะเทือนแห่งเต๋าใหญ่ที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนในหนึ่งหมื่นปีหรือแม้แต่แสนปี และในขณะนั้นเต๋าของเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บจากเต๋าใหญ่…
เขาต้องหาโอสถมารักษาอาการบาดเจ็บ แต่แท้จริงแล้ว เขากลับหยิบคลังเวทจัดเก็บออกมาผิด ทั้งยังไม่ได้สติพอจนกลืนโอสถพิษเข้าไป…
*แค่กๆๆ*
นักพรตเต๋าชราพยายามระงับการกระอักเลือดและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาหยิบขวดกระเบื้องออกมาจากกระเป๋าหน้าอกอย่างระวัง และดูให้แน่ใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นขวดกระเบื้องที่บรรจุโอสถเยียวยารักษาเขาจริงๆ
นักพรตเต๋าชราคลี่ยิ้ม ทว่าเมื่อเปิดกฎห้ามที่อยู่บนขวด รอยยิ้มของเขาก็แข็งทื่อฉับพลัน
ทันใดนั้น เขาก็ล้มลงและเม็ดโอสถกองหนึ่งก็ร่วงหล่นลงอยู่ในมือของเขา แล้วฤทธิ์โอสถสุดท้ายก็สลายไปเงียบๆ…
โอสถสลาย?!
แม้จะมีคำพูดที่ว่าหากฤทธิ์โอสถในเม็ดโอสถเกินการควบคุม เม็ดโอสถก็จะแหลกสลาย แต่… แต่นี่!
นักพรตเต๋าชราริมฝีปากสั่น และน้ำตาสองหยดก็ค่อยๆ ไหลลงมาบนใบหน้าของเขา…
เกิดอันใดขึ้น?
ความจริงแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้น นักพรตเต๋าชราก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นกะทันหัน และสิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือ…
หรือว่าข้าได้สูญเสียโชคไปแล้ว?
อย่างไรก็ตาม นักพรตเต๋าชราบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้อย่างระมัดระวัง และตระหนักได้ว่าโชคที่เขาควรจะมีนั้น ยังคงอยู่ และโชคที่เหลืออยู่ของเผ่าปีศาจก็กลายเป็นโชคฟื้นฟูชะตาและรวบรวมมาที่เขา
หรือข้าติดหนี้บุญ?
จากนั้นนักพรตเต๋าชราก็หยิบเครื่องมือเวทชิ้นที่สองของเขาออกมาและมองดูมันอย่างระมัดระวัง
มันเป็นตำราสาปแช่งที่ปรมาจารย์ผู้หนึ่งแห่งศาลปีศาจได้สร้างขึ้นมาในเวลานั้น ซึ่งปรมาจารย์ปีศาจคุนเผิงเป็นผู้เสนอแนวคิดโดยรวมนี้เพื่อให้เป็นวิชาลับสำหรับศาลปีศาจใช้ลงทัณฑ์เหล่าปีศาจที่ก่อปัญหาวุ่นวาย
ตำราเล่มนี้มีชื่อว่า ตำราเจ็ดลูกศรหัวตะปูและประกาศต่อโลกภายนอกว่า ขอเพียงรู้ชื่อแซ่และวันเดือนปีเกิดของวิญญาณเท่านั้น ก็จะสามารถทำให้มันตายได้
ความจริงแล้ว การนำเอาตำราเจ็ดลูกศรหัวตะปูมาใช้ หรือเอามาศึกษาฝึกฝนเรียนรู้พัฒนาไปนั้น เป็นเรื่องยากมาก
ประการแรก มีสองอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่จะขาดไปเสียไม่ได้ นั่นคือ ต้องมีเสี้ยวปราณวิญญาณและเสี้ยวลมปราณจากวิญญาณต้องสาป จากนั้นเขาจะต้องถ่ายเทปราณวิญญาณและลมปราณนั้นเข้าไปในตำราเจ็ดลูกศรหัวตะปู แล้วต้องทำความเคารพและฝึกยิงลูกศรเป็นประจำทุกวัน
สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนเพื่อทุ่มเทลงไปกับการใช้ตำราเจ็ดลูกศรหัวตะปูนั้นสูงค่ามหาศาลมากเช่นกัน และประเด็นที่สำคัญคือ มันจะส่งผลเสียหายต่อบุญหรือโชค
หากร่ายเวทไปได้ครึ่งทางแล้ว บุญหรือโชคไปต่อไม่ได้ ผู้ร่ายเวทก็จะถูกเวทโจมตีกระแทกกลับฉับพลันจนได้รับความเจ็บปวดและกลายเป็นเลือดทันที…
………………………………………………………………..