เจียงซื่อมีความรู้สึกว่าหากนางรู้เรื่องคำทำนายอีกสองอย่าง บางทีอาจจะสามารถเปิดโปงความลับที่ตั่วหมัวมัวแอบกระทำอยู่ในพระราชวังได้
แต่เรื่องนี้นางไม่อาจเอ่ยถามหัวหน้าผู้อาวุโส
เรื่องของตั่วหมัวมัว นางและอาจิ่นรู้ดี แต่หัวหน้าผู้อาวุโสไม่รู้ว่าทั้งสองรู้
ความระมัดระวังจะขาดตกไปไม่ได้ ความรู้สึกที่เจียงซื่อมีต่อหัวหน้าผู้อาวุโสซับซ้อนยิ่งนัก นางทั้งเคารพ ทั้งซาบซึ้งและขณะเดียวกันก็ค่อนข้างระแวดระวัง
กระทั่งนางเคยคิดว่า เมื่อชาติก่อนที่นางเคยร่อนเร่มาที่เผ่าอูเหมียวบางทีอาจไม่ได้เรียบง่ายดังนั้น
“อาจิ่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำทำนายทั้งสามของหัวหน้าผู้อาวุโสไท่ซั่งกล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงอันตราย เกิดอะไรขึ้นกัน
“ไม่รู้หรือ” เจียงซื่อหรี่ตาลงมองไปทางเขาด้วยท่าทางกึ่งยิ้ม
อวี้จิ่นถูกนางมองด้วยสายตาแปลกประหลาดเช่นนั้น ความรู้สึกถึงอันตรายก็ทวีคูณมากยิ่งขึ้น เขาพยายามฝืนยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร สิ่งนี้นับว่าเป็นความลับของชนเผ่าอูเหมียวมิใช่หรือ”
“แต่เจ้ารู้วิชาลับมากมายของเผ่าอูเหมียว”
อวี้จิ่นตกตะลึง
“เจ้ายังรู้อีกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังได้ตายแล้ว”
ลำคอของอวี้จิ่นคันหนักหนา เขาอยากจะกระแอมมันออกมาสักหน่อย
“อีกทั้งเจ้ายังมีตราประทับของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
อวี้จิ่นยกมือขึ้นลูบไปที่ใบหน้าของตนแล้วคว้ามือของเจียงซื่อเอาไว้ “อาซื่อ เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน!”
เจียงซื่อเผยอริมฝีปากขึ้น “อืม”
อวี้จิ่นเหม่อลอย
นางตอบตกลงอย่างง่ายดายเช่นนี้เชียว?
เจียงซื่อผลักเขาแล้วตะคอกว่า “เจ้ารีบอธิบายสิ!”
เจ้าบ้านี่ นางให้โอกาสในการอธิบายต่อเขา ยังทำเหม่อลอยอยู่อีก หรือต้องการจะให้กรรไกรของนางมาดูแลเขาแทน?
“ข้าจะอธิบาย…” อวี้จิ่นได้สติกลับคืนมา แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะกล่าวจากสิ่งใดก่อนดี “เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ยาว…”
เจียงซื่อใช้มือถูไถกันไปมา “เล่าให้สั้น”
การที่นางไม่ได้พกกรรไกรติดตัวไว้ตลอดเวลาดูเหมือนจะทำให้ควบคุมลำบากขึ้น
“หลังจากที่ข้าเดินทางมายังหนานเจียงในครั้งแรก มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าหลงทางอยู่ในป่าจั้งชี่ และได้ช่วยอาซังเอาไว้โดยบังเอิญ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นพบกับดวงตาอันมืดมนของเจียงซื่อ อวี้จิ่นก็ได้แต่ยกมือขึ้นลูบคลำไปที่จมูกของตนเองแล้วยิ้มว่า “เอาเถิด ข้ามองจากระยะไกลและเห็นว่าสตรีผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้า จึงคิดว่าเป็นเจ้า ดังนั้นข้าจึงได้รีบเร่งเข้าไปช่วยไว้…”
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นมอง
คำว่า ‘รีบเร่ง’ อาจิ่นใช้ได้อย่างดียิ่งนัก
เขาเหลือบมองเจียงซื่อ อวี้จิ่นรีบกล่าวขึ้นอีกว่า “หลังจากที่ช่วยเอาไว้จึงได้รู้ว่าไม่ใช่เจ้า”
เจียงซื่อยกมือขึ้นเท้าคาง จากนั้นเอ่ยถามด้วยความแปลกใจว่า “ในตอนนั้นพวกเราเคยพบกันเพียงแค่ครั้งหนึ่ง ข้ากับอาซังหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่ข้า”
อวี้จิ่นหูแดงเรื่อ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเขินอายว่า “เอาเป็นว่าข้ารู้ก็แล้วกัน”
เขาจะไม่บอกกับอาซื่ออย่างเด็ดขาด แม้ว่าทั้งสองจะได้พบกันน้อยครั้งนัก แต่นางปรากฏขึ้นในฝันของเขานับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวันเวลานานขึ้น ความฝันนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ภรรยาที่เขาเฝ้าคอยมาทั้งชีวิต จะจำผิดได้อย่างไร
“แล้วต่อจากนั้นเล่า”
อวี้จิ่นชะงักลงเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “หลังจากที่ช่วยอาซังเอาไว้แล้ว เดิมทีข้าไม่คิดว่าจะมีการติดต่อกันอีก คาดไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้อาวุโสกลับเป็นคนอบอุ่นยิ่งนัก นางส่งคนมาขอบคุณข้า จากนั้นต่อมาในทุกๆ ปีก็มักจะได้รับของขวัญจากพวกนาง มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าตั้งใจว่ากำลังเตรียมตัวจะไปออกรบ แต่ต้องแก้ไขความยุ่งยากที่เกิดจากโรคท้องถิ่นก่อน จึงได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากเผ่าอูเหมียว หัวหน้าผู้อาวุโสให้การช่วยเหลือข้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไปๆ มาๆ จึงคุ้นเคยกัน…”
เขาเหลือบมองไปทางเจียงซื่อแล้วรู้สึกว่าตนควรที่จะกล่าวต่อไปอีก “ประมาณเมื่อสามปีก่อน บ่าวรับใช้ของอาซังเดินทางมาหาข้าเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ กล่าวว่าหัวหน้าผู้อาวุโสมีเรื่องด่วนต้องการให้ข้าเดินทางไปพบ และเมื่อข้าเดินทางไปถึงจึงได้รู้ว่าที่แท้เกิดเรื่องขึ้นกับอาซัง”
“อาซังเป็นอะไรงั้นหรือ” เจียงซื่อเม้มริมฝีปากถาม
สำหรับเหตุผลการตายอันแท้จริงของอาซังนั้นนางไม่รู้ชัด
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ดูไม่เหมือนกับมีอาการเจ็บป่วย ดูเหมือนกับว่า…”
เมื่อเห็นอวี้จิ่นชะงักลง เจียงซื่อจึงเอ่ยถามว่า “เหมือนกับสิ่งใด”
“เหมือนกับในหนังสือละครที่กล่าวว่าธาตุไฟเข้าแทรก”
ทั้งๆ ที่กำลังสนทนาถึงเรื่องจริงจังดังนี้ แต่เจียงซื่อแทบจะหลุดหัวเราะออกมา นางพยายามเม้มริมฝีปากแล้วสงบสติอารมณ์
อวี้จิ่นเกรงว่าเจียงซื่อจะไม่เข้าใจจึงอธิบายอย่างอดทนว่า “ผู้ที่ฝึกวิทยายุทธ์เช่นพวกเรา การฝึกฝนอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บจากภายในได้ แต่อาการธาตุไฟเข้าแทรกมีอยู่เพียงในบทละคร ในโลกนี้ไม่มีอยู่จริง”
เจียงซื่อกล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงแต่สงสัยว่าเจ้าอ่านบทละครกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
อวี้จิ่นชะงักลง เขายิ้มแล้วตอบว่า “เจ้าหลงต้านชอบอ่าน ข้าก็เพียงอ่านเป็นครั้งคราว เปิดผ่านๆ เท่านั้น”
บุรุษผู้เคร่งขรึมและเฉลียวฉลาดเช่นเขา จะมัวเอาเวลาไปนั่งอ่านหนังสือละครได้อย่างไร
“ก่อนจะสิ้นใจ อาซังกล่าวสิ่งใดกับเจ้าหรือไม่” เจียงซื่อไม่สนใจเรื่องที่อวี้จิ่นกล่าวถึงหลงต้าน นางเอ่ยถามถึงหัวข้อสนทนาก่อนหน้า
อวี้จิ่นตะลึงเล็กน้อย “นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับข้า เพียงแค่นำตราประทับของสตรีศักดิ์สิทธิ์มาให้ข้า ข้าคิดว่าในเผ่าอูเหมียวมีสิ่งแปลกประหลาดมากมาย ในอนาคตคาดว่าคงจะใช้ได้ในยามจำเป็น จึงได้รับเอาไว้”
“ตราประทับสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นมีประโยชน์ยิ่งนัก เจ้านำมันมาคืนเช่นนี้ไม่เสียดายหรือ” เจียงซื่อพึมพำออกมา
อวี้จิ่นดึงร่างของนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด พยายามทำความคุ้นเคยกับใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เทียบกับการที่จะได้พาเจ้ากลับบ้านแล้ว ไม่มีสิ่งใดน่าเสียดายหรอก”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ก็นึกถึงท่าทางของหัวหน้าผู้อาวุโสอูเหมียวที่อยากจะให้ตนพานางกลับไปเสียที เขารู้สึกเคอะเขินเสียจนเผยอยิ้มขึ้นที่มุมปาก
เขาวางแผนมาอย่างดุเดือดในการไปช่วยเหลือนาง และตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแน่วแน่ ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยากจะส่งตัวนางออกไปยิ่งนัก เรื่องเหล่านี้จะให้คนภายนอกรับรู้ไม่ได้
“อาจิ่น ในวันนี้เราพักผ่อนกันสักคืนเถิด รอวันพรุ่งนี้พวกเราควรจะแยกกันเดินทาง ข้ากับเหล่าฉินและหลงต้านไปด้วยกัน ส่วนเจ้าไปกับพี่รองของข้า”
เจียงซื่อแอบหนีออกมา การเดินทางกลับไปเมืองหลวงพร้อมกับอาจิ่น หากถูกพบเข้าคงจะแย่
อวี้จิ่นไม่ได้คัดค้าน เขาพยายามอดทนแล้วกล่าวว่า “เรื่องช่วยเหลือผู้อื่น ในอนาคตให้พวกหลงต้านลงมือก็พอ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเอง”
ในวันนี้นางช่วยเด็กหนุ่มที่เป็นคนแบกหามศพ วันพรุ่งนี้อาจช่วยเด็กหนุ่มที่ขี่ม้า ในโลกนี้มีเด็กหนุ่มมากมาย นางจะช่วยได้หมดหรือ
ในฐานะชายหนุ่มที่เอาตัวของเขาเข้าแลกกับบุญคุณการช่วยชีวิต เขาเข้าใจดีว่าอันตรายในการเข้าไปช่วยคนโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเป็นเช่นไร
ส่วนเรื่องหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว ชายตาเท่าถั่ว น่ารังเกียจดังคางคกผู้นั้นเขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรก็จะฆ่าให้ตายอยู่ดี
เจียงซื่อพยักหน้าตอบรับ และไม่ได้กล่าวว่าใครบางคนช่างใจแคบเหลือเกิน
ในตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะนางใจดีเข้าไปช่วยคนโง่เง่าบางคน ก็คงจะไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงกลางดึก เขาพบว่าเจียงซื่อไม่มีทีท่าจะลบหน้าออกให้เป็นดังเดิม อวี้จิ่นอดไม่ได้จึงเอ่ยเตือนว่า “ควรนอนแล้ว”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นแล้วขยิบตาให้อวี้จิ่น “อืม นอนเถิด”
“เอ่อ…เป็นเช่นนี้ข้าไม่คุ้นชิน…”
แม้จะรู้ว่าเป็นเจียงซื่อ แต่หากนางยังมีใบหน้าเป็นเด็กหนุ่ม ยามกอดนางเอาไว้รู้สึกขัดใจยิ่งนัก
เจียงซื่อผลักมือของเขาออก “นอนเสียเถิด ข้ามักรู้สึกว่าทุกอย่างจะไม่ราบรื่นเช่นนี้ เราควรระวังเอาไว้ก่อน”
ชนเผ่าทั้งหลายนับสิบชนเผ่านำโดยเผ่าอูเหมียวล้วนมีวิธีจัดการเป็นเอกลักษณ์ของตนมากมาย การที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ออกจากการฝึกฝนตนได้อย่างราบรื่น คาดว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของหลายปีมานี้ ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้เดินทางออกไปจากหนานเจียงจะวางใจไม่ได้เด็ดขาด
อวี้จิ่นทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับโดยไม่พอใจเท่าไรนัก
หากเทียบกับความปลอดภัยแล้วนั้น เรื่องอื่นควรที่จะละทิ้งไว้ก่อน
แค่กๆ ที่จริงแล้วเขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่ทางที่ดีควรฟังอาซื่อเอาไว้ ใครบางคนจึงจำเป็นต้องกดความต้องการลงไป
ในไม่ช้าราตรีอันมืดมิดก็มาเยือน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงัดราวกับว่าแม้แต่เสียงลมก็หยุดนิ่ง มีเพียงเงาของใบไม้ที่นอกหน้าต่างไหวเอนไปมาเป็นครั้งคราว
หนอนสีดำตัวหนึ่งมองไปคล้ายกับงูแทรกเข้าไปด้านในจากตรงรอยแยกของประตูอย่างไร้สุ่มไร้เสียง มันกำลังคืบคลานขึ้นไปบนเตียง…