บทที่ 528 ความแตกครั้งใหญ่ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 528 ความแตกครั้งใหญ่ (1)

เสี่ยวจิ้งคงอาบน้ำเสร็จก็ถึงตากู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่น

กู้เสี่ยวเป่าก็ขอให้แม่นมฝางอุ้มไปอาบน้ำส่งท้ายปีจนหอมฉุย

กู้เจียว ‘นางไม่รีบร้อน อืม นางไม่รีบร้อน’

“เสร็จแล้ว!” แม่นางเหยายิ้มเต็มใบหน้าเดินเข้ามาจากประตูหลังของห้องโถง

กู้เจียวลุกพรวดขึ้น!

เซียวเหิงที่กำลังแปะโคลงกลอนสำหรับห้องตะวันออกสำลักทันที!!

แม่นางเหยายิ้มพลางเอ่ย “อาหารส่งท้ายปีเสร็จแล้ว กินข้าวกันก่อนเถิด”

กู้เจียว “…อ้อ”

เซียวเหิงถอนใจโล่งอกเฮือกหนึ่ง

อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็น่ากระดากใจ ตอนนั้นที่ตอบรับไวปานนั้นก็เพราะบรรยากาศพาไป นางจะออกรบอยู่แล้ว แม้แต่คำขอเล็กๆ แค่นี้เขาไม่รับปากนางไม่ได้หรอก

ภายหลังมาคิดดูแล้ว ช่างน่าอายไม่น้อย

ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครใส่ใจกับเรื่องนี้จริงๆ จดจำมาสามเดือนแล้วก็ยังไม่ลืม…

นี่มันช่าง…

เซียวเหิงกระแอมในลำคอ ใช้หางตามองกู้เจียว กู้เจียวมองเขาอยู่ตลอด สบตากันแวบเดียว นางก็ถูกเขาจับได้แล้ว

ทว่าแทนที่กู้เจียวจะเบนสายตาหนีอย่างรู้สึกผิด กลับหยักยกริมฝีปากให้เขา

เซียวเหิง “…”

ดูท่าคืนนี้คงเป็นคนไม่ได้แล้ว

เรื่องพรรค์นี้ แม้จะบอกว่าคนถูกมองคือเขา แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยินยอมเสียหน่อย ด้วยเหตุนี้หากว่ากันตามตรง นับได้ว่าเขาเอาเปรียบนาง

เซียวเหิงเอ๋ยเซียวเหิง เจ้าเพิ่งจะสิบเก้า เจ้าต้องเป็นสัตว์เดรัจฉานสิ

ที่บ้านคนเยอะ ต้องต่อโต๊ะสองตัวถึงจะนั่งหมด

มื้อส่งท้ายปีอู้ฟู่มากมาย มีทั้งเนื้อหมักเค็ม ไส้กรอกที่ทำเอง และมีลูกชิ้นทอดกับมะเขือยาวจากเพื่อนบ้านด้วย แล้วก็ไก่ที่เชือดตัวหนึ่ง…ไม่ใช่ของที่บ้าน ได้มาจากตลาด หากแต่ทำเอาเจ้าพวกไก่ในบ้านตกใจกันอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว

นอกจากนี้ จี้จิ่วอาวุโสยังทำปลาเหลืองน้ำแดง น้ำแกงเป็ดแก่ใส่เห็ดเหมันต์ เนื้อแผ่นกับหน่อไม้รมควัน…

แน่นอนว่าจะขาดอาหารเจและไข่ตุ๋นกุ้งเจของเสี่ยวจิ้งคงไปไม่ได้

เนื่องจากวันส่งท้ายปีเป็นวันคล้ายวันเกิดของเซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคง จี้จิ่วอาวุโสจึงต้มบะหมี่อายุยืนมาให้ทั้งคู่คนละชามด้วย

เมื่อวานนี้ที่บ้านยังกังวลใจกันอยู่เลย พอกู้เจียวกลับมาถึงมีกลิ่นอายของการกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง

ฮ่องเต้มาเสวยที่ตรอกปี้สุ่ยนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เสวยมื้อส่งท้ายปี

พระองค์มองอาหารบนโต๊ะที่สู้อาหารในวังไม่ได้เลย ไม่รู้เพราะกับข้าวมันซอมซ่อเกินไปหรือไม่ พระองค์จึงเสวยทั้งขอบตาร้อนผ่าว

จู่ๆ ก็นึกถึงตอนที่เสด็จแม่อยู่ในตำหนักเย็น ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเช่นกัน พระองค์กับหนิงอันปีนกำแพงไปหาเสด็จแม่

ตอนนั้นพระองค์เห็นเสด็จแม่นั่งอยู่ในห้องเก่าๆ อันเย็นเยียบอย่างเดียวดาย แม้แต่กระถางถ่านยังไม่มีสักใบ พระองค์เอาขนมและขาไก่ที่กว่าจะได้มาช่างยากเย็นออกมาให้เสด็จแม่

แต่ไม่คิดเลยว่าขนมจะถูกเหยียบแบนเละ ขาไก่ก็ถูกโยนลงพื้น

ตอนพระองค์ปีนกำแพงแล้วล้มไม่มีน้ำตาสักหยด ตอนพระองค์ถูกคนในวังไล่ตี ตอนนั้นพบว่าวันส่งท้ายปีนี้เสด็จแม่คงจะหิวแย่ พระองค์กลับร้องไห้ออกมาเสียงดัง

เรื่องพวกนี้พระองค์ลืมเลือนมันไปหลังจากที่ถูกจิ้งไท่เฟยหลอกเอา หมู่นี้นึกขึ้นมาได้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

และดวงใจก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นด้วย

“ฝ่าบาทรึ” เว่ยกงกงที่กำลังวุ่นกับการยกอาหารขึ้นโต๊ะมองฝ่าบาทตัวเองด้วยสีหน้าตระหนก

พระองค์ห้ามน้ำตาไว้ไม่อยู่ จึงสะอื้นตรัสอย่างดื้อรั้น “เราไม่เป็นไร…ยาขาวนั่นมันออกฤทธิ์อีกแล้ว…”

เว่ยกงกง “…”

ทุกคน “…”

เมื่อฮ่องเต้เสวยมื้อส่งท้ายปีมื้อเดียว ก็จดจำเรื่องราวได้ไม่น้อยแล้ว ซ้ำยังรู้ซึ้งว่าช่วงเวลาหลายปีที่แตกหักกับเสด็จแม่ไปได้ทำร้ายเสด็จแม่ไปเท่าใด

นึกไม่ถึงว่าพระองค์ยังทำร้ายให้เสด็จแม่ต้องป่วยเป็นโรคเรื้อนด้วย ช่างเป็นการกระทำที่บ้าบออะไรเช่นนี้!

โชคดีที่เสด็จแม่ได้เจอหมอเทวดาน้อย หากไม่ได้ความเมตตาและฝีมือจากหมอเทวดาน้อย ชั่วชีวิตนี้พระองค์คงได้เสียพระทัยไปตลอดชีวิต

เมื่อเสวยมื้อค่ำเรียบร้อย พระองค์ก็ไปหากู้เจียวที่ห้องครัวที่กำลังผ่าฟืนต้มน้ำอยู่

“เราคิดได้แล้ว เราต้องขอบใจเจ้ายิ่งนัก” ฮ่องเต้ตรัสอย่างจริงจัง

กู้เจียวมองฮ่องเต้อย่างแปลกใจแวบหนึ่ง

ฮ่องเต้ตรัสอย่างจริงใจ “หากไม่ได้เจ้า เราคงไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากับเสด็จแม่อีก และถ้าไม่ได้เจ้า ศึกด่านชายแดนก็คงไม่ได้ราบรื่นเพียงนี้ด้วย”

เหตุใดจึงพูดเรื่องสงครามขึ้นมาเล่า

ความคิดของฮ่องเต้กระจัดกระจายอย่างอ่อนแอ คิดตั้งแต่บุญคุณที่กู้เจียวมีต่อจวงไทเฮาไปจนถึงการกระทำในศึกด่านชายแดนของกู้เจียว

“เราได้ยินเรื่องที่เจ้าไปด่านชายแดนมาแล้ว เจ้าตกสู่เงื้อมมือของกบฏราชวงศ์ก่อนเพราะช่วยปู่เจ้าและกู้เฉิงเฟิง สุดท้ายเจอการไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตายจากกองทัพใหญ่ราชวงศ์ก่อน จนเกือบจะตายอยู่ใต้คมธนูราชบุตรเขย”

“ต่อมา เพื่อผู้ป่วยโรคระบาดในเมืองหลิงกวน เจ้าก็โชคร้ายติดเชื้ออีก”

“จากนั้น เพื่อให้พี่ใหญ่เจ้าไปสังหารหน่วยกล้าตายในมือราชบุตรเขย เจ้าจึงได้ตัวแข็งเป็นรูปปั้นน้ำแข็งอยู่บนพื้นเย็นเยียบ”

“ซ้ำเจ้ายังตัวแข็งจนเป็นโรคปอด ไอเป็นเลือด แล้วสลบไป…”

ฮ่องเต้ตรัสอย่างรวดร้าว เมื่อตรัสมาถึงตอนท้ายจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นๆ ตรงท้ายทอย มวลความน่ากลัวลอยมาจากด้านหลังพระองค์

ฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ กลิ่นอายแข็งแกร่งเพียงนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะมีได้ กลิ่นอายที่ทำให้พระองค์ตัวสั่นได้เห็นได้ชัดว่าหนาวยะเยือกเพียงใด

กู้เจียวก็สัมผัสได้เช่นกัน นางหันกลับไป เห็นเซียวเหิงมาถึงเรือนท้ายตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ กำลังจ้องตนด้วยแววตาวาวโรจน์

เขาไม่ได้เอ่ยคำใด ทว่าแววตาเขากลับพรรณนาออกมาได้อย่างชัดเจนทีเดียว

ถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย เกือบตายใต้คมธนูของราชบุตรเขย ติดโรคระบาด เกือบแข็งเป็นรูปปั้น ซ้ำยังเป็นโรคปอด ไอเป็นเลือด สลบไป!

แววตาเซียวเหิงวาวโรจน์ด้วยเพลิงโทสะ กลิ่นอายรอบตัวกลับเย็นเยียบแทบถึงขีดสุด

กู้เจียวได้ยินเสียงเล็กๆ ของเสี่ยวฝูลี่กล่าวอำลาข้างหู นางตัดสินใจดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย “ข้าเปล่า!”

ฮ่องเต้ไม่รู้เลยสักนิดว่าพระองค์ทำให้กู้เจียวเผยพิรุธออกมาแล้ว พระองค์ตบบ่าเล็กๆ ของกู้เจียว ตรัส “เอาละ เอาละ เจ้าอย่าได้ปฏิเสธเลย เราได้อ่านรายงานทางการทหารจากชายแดนแล้ว เรารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนชอบเที่ยวพรรณนาไปทั่ว วางใจเถิด เราจะไม่แพร่งพรายออกไป”

กู้เจียวกำหมัดแน่น แต่เจ้าได้บอกกับคนที่ไม่ควรบอกที่สุดไปแล้ว!

เซียวเหิงหรี่ตาลงอย่างอันตราย

เหอะ คนหลอกลวง!

ในขณะนั้นเอง ในที่สุดฮ่องเต้ก็สังเกตเห็นเซียวเหิงในเรือนแล้ว

เซียวเหิงถือไม้เท้า สีหน้าเย็นเยียบเดินมาหากู้เจียว

เขามาเพื่อซักไซ้เอาความจากกู้เจียว

สายตาฮ่องเต้ตกลงบนขาเป๋และไม้เท้าของเขา ก่อนถามอย่างประหลาดใจ “เอ๋ ไหนอวี้หย่าร์บอกว่าขาเจ้าหายดีแล้ว เหตุใดเจ้ายังใช้มันอีกเล่า”

อวี้หย่าร์ในห้องเก็บฟืนปิดปากฉับ

นางไม่ได้ตั้งใจนะ!

นางบอกกับไทเฮาต่างหากล่ะ!

ฝ่าบาทมาได้ยินเอง โทษนางไม่ได้!

เหตุการณ์พลิกกะทันหันทำให้เซียวเหิงชะงักฝีเท้า เดินเซจนเกือบล้ม!!

ยามนี้ถึงตากู้เจียวหรี่ตาแล้วใช้แววตาอันตรายพินิจมองเซียวเหิงบ้างแล้ว

เฮอะ ยังมีหน้ามาว่าข้าหลอกลวง ที่แท้ก็หลอกกันทั้งคู่นี่แหละ!

……

ฮ่องเต้หลุดปากเผยความลับออกมาทีเดียวสองคนเลย ซ้ำยังไม่รู้ตัวด้วย พระองค์กำลังคิดว่าจะประทานรางวัลหมอเทวดาน้อยอย่างไรดี พลางลอบกลับวังมาพร้อมจวงไทเฮา ปล่อยให้คู่หนุ่มสาวที่ความแตกกันออกมาหมดแล้วยืนตัวแข็งอยู่หน้าห้องครัว มองหน้ากันตาปริบๆ

อวี้หย่าร์ถูกเรียกให้มาหา

“ขาของท่านชายหายดีตั้งแต่เมื่อใด” กู้เจียวถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

อวี้หย่าร์ใจกระตุก นางปรายตามองท่านชายอย่างรู้สึกผิดแวบหนึ่ง ก่อนก้มหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว “เมื่อ…เมื่อวันที่สองที่มารดาของท่านชายมาที่บ้านครั้งแรกเจ้าค่ะ…”

กู้เจียวพอจะจำได้แล้ว

องค์หญิงซิ่นหยางมาเยี่ยมครั้งแรกเป็นตอนที่เกิดเรื่องกับหนิงอ๋องได้ไม่นาน ตอนนั้นเซียวเหิงถูกหนิงอ๋องทำร้าย ขาขวาบาดเจ็บ นางไปถนนจูเชวี่ยเพื่อบอกองค์หญิงซิ่นหยางว่าเซียวเหิงใช้ชีวิตอยู่ในฝันร้ายที่ถูกองค์หญิงซิ่นหยางทอดทิ้งและเกลียดชังตัวเองจากประสบการณ์เหลือทนนั้น

องค์หญิงซิ่นหยางมาหาเซียวเหิง เพราะความช่วยเหลือจากท่านย่า เซียวเหิงถึงได้รู้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางไม่เคยทิ้งเขาเลย

สองแม่ลูกจึงได้แก้ปมในใจออกได้

ถ้าอย่างนั้น หลังจากไข้ใจเขาหายดีแล้ว ขาก็คงจะหายตามไปด้วยรึ

แต่วันรุ่งขึ้นตอนที่เขาไปทำงานที่สำนักฮั่นหลิน ไม่ได้พูดแบบนี้ชัดๆ!

“จริงสิ มือเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บหรือไม่ ยังเขียนได้อยู่หรือไม่”

“เหมือนจะยังไม่ค่อยดี…ไม่ค่อยมีแรง มือข้าจะเหมือนกับขาข้าหรือไม่ ที่…”

ตอนนั้นเขาถอนใจ ท่าทางอยากพูดบางอย่างเหมือนคนขาเป๋ที่เดินไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ!

นางปลอบใจเขาว่าไม่มีทางหรอก เพิ่มการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ขยันนวดหน่อย ต้องรักษาหายได้แน่ จากนั้นนางก็นวดให้เขาทั้งทางเลย!

ยามนี้กู้เจียวสงสัยนักว่าตอนนั้นเขาขาหายดีแล้วไม่พอ มือยังหายแล้วด้วยใช่หรือไม่!

เขาเล่นละคร!

กู้เจียวสองมือกอดอกมองเซียวเหิง แววตาเหี้ยมขึ้นนิดๆ

เซียวเหิงไม่คิดเลยจริงๆ ว่าพอตนความแตกแล้วจะแตกอีก เรื่องแสร้งขาเป๋แดงขึ้นมาไม่พอ แม้แต่ที่แสร้งมือง่อยก็แดงขึ้นมาด้วย

ยามนี้ดีนัก ไม่รู้ใครกำลังซักไซ้ไล่เลียงใครกันแน่

“เป็นอะไรไปหรือ” แม่นางเหยาในห้องโถงเห็นทั้งสามคนสีหน้าไม่ค่อยดี

กู้เจียวกับเซียวเหิงไม่ได้พูดอะไร

อวี้หย่าร์ชี้ที่กู้เจียว ก่อนเอ่ยเสียงเบากับแม่นางเหยา “คุณหนูใหญ่ล้มป่วยที่ชายแดน ซ้ำยังเกือบแข็งตาย กลับมาดันโกหกว่าตัวเองสบายดีอีก”

แม่นางเหยาสีหน้าพลันเปลี่ยน

อวี้หย่าร์ชี้เซียวเหิง “แล้วก็ขาของท่านชาย ความจริงแล้วหายดีตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ แต่เอาแต่โกหกว่าตัวเองยังขาเป๋อยู่”

แม่นางเหยา “…!!”

แม่นางเหยาสูดหายใจลึก กำผ้าเช็ดหน้าแน่น “ปีใหม่วันมงคล จะไม่โกรธแล้วกัน…” นางฝืนฉีกยิ้มออกมา “วันนี้เป็นวันเกิดอาเหิงกับจิ้งคง ทุกคนกำลังรอพวกเจ้าที่โถงแหน่ะ”

ก่อนที่นางจะหันไปมองหนุ่มสาวสองคนนี้ แล้วเอ่ยด้วยปากยิ้มตาไม่ยิ้ม “พ้นปีใหม่ไปค่อยคิดบัญชีพวกเจ้าทีหลัง!”

นางหันหลัง จับมืออวี้หย่าร์ประครองตัวเองไปห้องโถง

กู้เจียวเลิกคิ้วมองคนบางคน “ได้ยินหรือไม่ พ้นปีใหม่ไปค่อยคิดบัญชีเจ้าทีหลัง ”

เซียวเหิงแสยะยิ้มมุมปากเรียบๆ “พูดอย่างกับเจ้าไม่มีบัญชีให้คิดอย่างนั้นแหละ กู้เจียวเจียว เรื่องของเจ้าหนักกว่าข้านัก”

กู้เจียวเจียว! คำเรียกใหม่อะไรเนี่ย

เซียวเหิงหลุดโพล่งเรียกออกไป ฟังแล้วรู้สึกดีไม่น้อย

เขาพลันหยักยกมุมปากเรียกอีกครั้ง “กู้เจียวเจียว”

กู้เจียวอ้าปากพะงาบๆ คิดอยู่สองวินาที ก่อนมองเขาอย่างลุ่มลึก “ในเมื่อเสมอกันเช่นนั้น คืนนี้เจ้า…”

นางยังพูดไม่ทันจบ นิ้วเรียวยาวของเขาก็แตะลงบนกลีบปากอ่อนนุ่มของนาง “ไม่ได้ ไม่อนุญาต ไม่ให้ดูหรอก”

กู้เจียวหน้างอทันที!