บทที่ 527 ชอบ (2)

เพียงแต่หลังจากได้พูดคุยกัน ก็ทำให้เซวียหนิงเซียงมีความกล้ามากขึ้น

ทั้งโจวเอ้อร์จวงและเจ้าสำนักหลีล้วนแต่เป็นบุรุษมีความสามารถ หากเป็นอีกสิบปียี่สิบปีข้างหน้า ไม่แน่ว่าเซวียหนิงเซียงอาจจะเลือกชายหนุ่มมีกำลังวังชาอย่างโจวเอ้อร์จวง เพียงแต่คนที่อายุมากกว่ากู้เจียวสองปีอย่างนาง ในยามที่ต้องแบกรับภาระมากมายเช่นนี้ จึงเอนเอียงไปทางชายที่เหมือนพ่อย่างเจ้าสำนักหลีมากกว่า

เขาทั้งสุขุมและสงบนิ่ง เขาเอาใจใส่แม้ในเรื่องเล็กน้อย เขาโอบอ้อมกับทุกคน และเขาก็มีเงินด้วย

อีกอย่างโจวเอ้อร์จวงนั้นเป็นน้องชายของสามี เซวียหนิงเซียงไม่อาจก้าวข้ามผ่านคำครหานี้ไปได้

สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ นางเป็นแม่คน บางครั้งพันธะที่มาฉุดรั้งสตรีคนหนึ่งนั้นไม่ใช่สามีแต่เป็นลูก

โกว่หวาชอบเจ้าสำนักหลี ทึกทักเอาเองว่าเป็นพ่อ คนเป็นแม่อย่างนางจะทำอย่างไรได้

เหล่าฮูหยินหลีแม่ของเจ้าสำหนักหลีเองเอ็นดูเซวียหนิงเซียงและโกวหวาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ว่ากันตามตรงเซวียหนิงเซียงเองก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน นางอยากหาชายที่เป็นที่พักพิงอันมั่นคงให้แก่นางได้ไปทั้งชีวิต

ไทเฮาเองก็ยอมรับการตัดสินใจของเซวียหนิงเซียง

บนโลกนี้ใช่ว่าทุกคนจะเด็ดเดี่ยวได้เหมือนกับกู้เจียว กู้เจียวนั้นไม่มีใครเทียบได้เลย

นางไม่เคยหาความปลอดภัยจากผู้ใดทั้งสิ้น เพราะนางนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังใจอันแรงกล้า

แต่นั่นย่อมมีราคาที่ต้องแลก ไม่มีใครเกิดมาแล้วเข้มแข็ง แต่เพราะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นมาเกินไปจนทำให้นางต้องใช้บ่าน้อยๆ นี้แบกรับเอาไว้

เจียวเจียวของนาง แบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตนเอง

เซวียนหนิงเซียงไม่จำเป็นต้องเป็นเจียวเจียวคนที่สอง นางใช้ชีวิตของนางอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

นอกจากนี้เซวียหนิงเซียงยังเขียนจดหมายให้กู้เจียวหนึ่งฉบับ จวงไทเฮาเก็บมันไว้กับกระเป๋าเงินเล่นไพ่ของตัวเองตลอด นางยื่นจดหมายนั้นให้กู้เจียว

คราวนี้เซวียหนิงเซียงมิได้เล่าเรื่องสุขกลบเกลื่อนเรื่องทุกข์ เพราะถึงอย่างไรคนของจวงไทเฮาก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ต่อให้นางปิดบังก็ไม่มีความหมาย

นางถามเกี่ยวกับจวงไทเฮา ถามว่าเหตุใดจวงไทเฮาถึงได้รู้จักนาง เป็นเพราะเซียวลิ่วหลังได้เป็นจอหงวนคนใหม่จึงมีเส้นสายในเมืองหลวง หรือว่ากู้เจียวกับจวนโหวรู้จักนาง ถึงได้มีคนของไทเฮามาสร้างสถานการณ์

เซวียหนิงเซียงมานึกดูแล้วตนเองก็ไม่เคยรู้จักใครใหญ่โต

“…ยายเฒ่าที่เป็นโรคเรื้อนคนนั้นคงไม่ใช่ไทเฮาหรอกใช่ไหม จะโชคดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า เช่นนั้นก็แปลว่าข้าเคยทำอาหารถวายไทเฮาอย่างนั้นหรือ ไทเฮาเคยช่วยเลี้ยงลูกให้ข้าอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน… หลุมศพบรรพบุรุษข้าไม่ได้มีควันสีครามพุ่งออกมาสักหน่อย…คงไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกกระมัง…”

กู้เจียวคิดในใจก่อนจะหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนตอบประโยคหนึ่ง ‘เจ้าลองกลับไปดูหลุมศพบรรพบุรุษเจ้าสิ’

“เจียวเจียว! เจียวเจียว!”

เสี่ยวจิ้งคงถือจดหมายฉบับหนึ่งวิ่งเข้ามา

เดิมทีเขากำลังแปะป้ายกลอนคู่ แต่จู่ๆ ก็เห็นกู้เจียวกำลังอ่านจดหมด ถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง

เด็กก็เป็นเช่นนี้แหละหนา

“เจียวเจียว พี่หมิงเอ๋อร์ส่งจดหมายมาให้ข้าเป็นฉบับที่สองแล้ว!”

“ให้ข้าอ่านหรือ” กู้เจียวถาม

จดหมายเป็นของส่วนตัว กู้เจียวเองก็ไม่แกะซองจดหมายตามใจชอบเพียงเพราะเสี่ยวจิ้งคงยังเป็นเด็ก

แต่หากเขาอยากจะแบ่งปันกับนาง กู้เจียวก็ยินดีรับไว้

“อื้ม! อยากให้เจียวเจียวอ่าน!” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าหงึกหงัก

กู้เจียวแกะซองจดหมาย เนื้อหาในจดหมายล้วนแต่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเล็กน้อย เสี่ยวจิ้งคงเล่าถึงเรื่องราวน่าสนใจในเรือนและกั๋วจื่อเจียนในจดหมายที่ตอบกลับฉบับก่อนหน้านี้

หมิงเอ๋อร์บอกกับเสี่ยวจิ้งคงว่า เขาเองก็ต้องไปเรียนกั๋วจื่อเจียนเหมือนกัน

เพียงแต่เขานั้นเรียกวิชาวรยุทธ์

กั๋วจื่อเจียนของแคว้นเหลียงกับแคว้นเจานั้นแตกต่างกัน แบ่งเป็นวิชาบู้บุ๋น นั่นเป็นเพราะการสอบขุนนางของแคว้นเหลียงนั้นไม่ได้มีแค่ขุนนางบุ๋นแต่มีขุนนางบู๊ด้วยเช่นกัน

ยามเสี่ยวจิ้งคงอ่านจดหมายฉบับนี้ครั้งแรกยังไม่รู้สึกลึกซึ้งอะไรมากนัก แค่พออ่านพร้อมกับกู้เจียวคราวนี้เขากลับรู้สึกอิจฉาพี่หมิงเอ๋อร์เหลือเกิน

เขาเองก็อยากฝึกวรยุทธ์เหมือนกัน

เขาอยากจะปกป้องเจียวเจียว

สิ่งที่มาพร้อมกับจดหมายฉบับที่สองคือของขวัญตอบแทนบทประพันธ์เพลง ‘เงาตน’ ที่เขาเคยเอ่ยถึงในจดหมายฉบับแรก ด้วยจดหมายนั้นมีนกอินทรีย์บินมาส่ง จึงมาถึงเร็ว ส่วนของขวัญนั้นมาพร้อมกับรถม้าถึงได้ช้าเช่นนี้

อวี้ซินอ๋องและภรรยาเป็นคนเตรียมของขวัญ ล้วนแต่เป็นของเล่นสำหรับเด็กแคว้นเฉินที่ผลิตขึ้นพิเศษนับสิบกว่าชิ้น

นอกจากนี้อวี้ซินอ๋องเฟยยังรู้ว่าเสี่ยวจิ้งคงนั้นฉลาดหลักแหลม กำลังเรียนภาษาต่างแคว้นอยู่ จึงเลือกตำราสิบเล่มที่มีเพียงบัณฑิตชั้นสูงเท่านั้นที่ได้ครอบครองให้กับเขา ทุกเล่มล้วนแต่เหมาะสมกับระดับของเสี่ยวจิ้งคง

เซียวเหิงวางแผนไว้ให้เสี่ยวจิ้งคง เขาเอาวันละนิดวันละหน่อย ทักษะภาษาต่างแคว้นทั้งสามภาษาจึงพัฒนาขึ้นไม่น้อย

เพื่อยืนยันว่าตัวเองนั้นก้าวหน้า เสี่ยวจิ้งคงจึงกระโดดลงจากเก้าอีก เดินเตาะแตะกลับไปที่ห้องแล้วหยิบตำราภาษาต่างประเทศทั้งหลาย “เจียวเจียว ข้าจะท่องให้เจ้าฟังนะ”

จากนั้นเขาไขว้มือไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ได้แต่โคลงศีรษะท่องเสียงดัง

….เหมือนกู้เจียวจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

กู้เจียวจากบ้านไกลเป็นครั้งแรก แต่ก่อนล้วนแต่เป็นเซียวเหิงที่เดินทางไกล ทุกครั้งที่กลับมาเซียวเหิงจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในบ้าน ทว่าครั้งเป็นคราวของกู้เจียวที่จะได้สัมผัสความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

กู้เสี่ยวเป่าเองก็โตแล้ว กู้ซีกับกู้เสี่ยวซุ่นเองก็สูงขึ้น เสี่ยวจิ้งคงผมยาวแล้ว แถมยังท่องกลอนชั้นสูงได้หลายต่อหลายบท…

ความรู้สึกเช่นนั้นช่างแปลกใหม่ไม่น้อย

อาหารเย็นไม่ได้ทำเสร็จรวดเร็วขนาดนั้น แต่พอต้มน้ำจนเดือดแล้ว แม่นางเหยาก็ตะโกนเรียกเด็กๆ มาอาบน้ำ

“รีบอาบน้ำถอดเสื้อผ้าออกไปซัก วันแรกของปีใหม่จะได้ไม่ต้องซักผ้า” แม่นางเหยาเอ่ย

“ข้าอาบก่อน!” เสี่ยวจิ้งคงกลายร่างเป็นหนูน้อยรักการอาบน้ำในพริบตา พลันลืมไปเสียสนิทเลยว่าช่วงสามเดือนที่กู้เจียวไม่อยู่นั้นเขาต่อต้านการอาบน้ำมาเพียงใด!

“เจียวเจียวก็ไปอาบก่อนเถอะ” แม่นางเหยาเอ่ยเสียงอ่อยโยน

“เจ้าค่ะ” กู้เจียวตอบกลับ

น้ำต้มในตอนนี้เพียงพอสำหรับสองคนอาบเท่านั้น คนที่เหลือจึงต้องรออีกรอบหนึ่ง

“พี่เขย ขอบคุณท่านนัก ได้โปรดอาบน้ำให้ข้าด้วย” เสี่ยวจิ้งคงเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู เอ่ยอย่างนอบน้อมกับเซียวเหิงที่กำลังติดแผ่นป้ายกลอนคู่

เซียวเหิงมุมปากกระตุก “เอ๊ะ คราวก่อนเหมือนเจ้าจะไม่ได้พูดเช่นนี้นี่ หากผู้ใดกล้าลากเจ้าไปอาบน้ำ เจ้าจะทำเช่นไรนะ”

หนีออกจากบ้าน

“อะแฮ่ม” เสี่ยวจิ้งคงกระแอมให้โล่งคอ ผายมือยักไหล่ เอ่ยด้วยสีหน้าจนใจ “ทุกคนย่อมเคยมีช่วงวัยคึกคะนองอยู่แล้ว”

เซียวเหิง “…”

เซียวเหิงพาเสี่ยวจิ้งคงอาบน้ำที่ห้องฝั่งตะวันตก

ถ่านไฟในห้องตะวันตกนั้นเผาไหม้ลุกโชน ไม่หนาวเลยสักนิด

กู้เจียวเองก็ไปอาบน้ำเช่นกัน

นางเพิ่งรู้ว่าที่เรือนมีถังไม้ใบใหม่เพิ่มขึ้นมา ทั้งใหญ่ทั้งลึก ยามนั่งลงไปสามารถแช่น้ำได้ทั้งตัว

ฟู่ว์

สบายดียิ่งนัก

ปลายเท้าน้อยของน้ำสะบัดตีน้ำขึ้นลง

ตีได้ครู่หนึ่งก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้

นางกลับมาโดยไม่มีบาดแผลเลย เช่นนั้นก็แปลว่าทวงสัญญาจากสามีได้แล้วสินะ

เซียวเหิงเดินออกมาจากห้องฝั่งตะวันตก ก็เห็นกู้เจียวที่อาบน้ำสระผมเสร็จแล้ว สวมเสื้อผ้าอบอุ่นนั่งอยู่กลางห้องโถง

เซียวเหิงตกใจเล็กน้อย “เหตุใดถึงเสร็จแล้วนัก”

เสี่ยวจิ้งคงยังเล่นน้ำในอ่างอยู่เลย เพราะน้ำเริ่มเย็นแล้ว เขาถึงต้องเดินไปตักน้ำเดือดมาอีกสักถังให้เสี่ยวจิ้งคง

ดวงตากลมโตคู่นั้นของกู้เจียวมองเขาเป็นประกาย

จวงไทเฮากินข้าวเหนียวเคลือบน้ำตาลแดงอยู่ในครัว ฮ่องเต้เองก็ตามติดแจ ภายในห้องโถงจึงเหลือเพียงกู้เจียวคนเดียว

ท้องฟ้าเริ่มสลัว ทว่าดวงตาของกู้เจียวนั้นเปล่งประกาย ดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้

“เหตุใด…เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น” เซียวเหิงถาม

“ข้าไม่ได้บาดเจ็บ” กู้เจียวเอ่ย

“อืม ข้ารู้” เซียวเหิงพยักหน้า

ว่าจบเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แววตาพลันตื่นตระหนก แพขนตากะพริบถี่รัว ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

กู้เจียวเท้าแก้มด้วยสองมือมองเขา แววตาน้อยนั้นกำลังเฝ้าคอยอย่างไม่ปกปิด