บทที่ 527 ชอบ (1)
ในวังหลวงมีงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ ทั้งฮ่องเต้ละไทเฮาต่างก็แอบหนีออกมา เหลือเพียงแต่เซียวฮองเฮาและไท่จือเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงใหญ่ เชิญมาทั้งองค์หญิงซิ่นหยางและพระญาติมาร่วมฉลองที่สงครามชายแดนได้จบลง และต้อนรับปีใหม่ที่กำลังมาเยือน
ไม่เคยมีงานเช่นนี้มาก่อนในราชสำนักเลยก็ว่าได้
ฮ่องเต้เดินเข้าไปในลานบ้านอย่างสบายใจเฉิบ เสด็จแม่อยู่ที่ไหน เขาก็จะอยู่ที่นั่นด้วย!
เว่ยกงกงมองฮ่องเต้ของตัวเองแล้วก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ตั้งแต่เชื่อว่าตัวเองถูกวางยา ฝ่าบาทก็ทำอะไรตามใจตัวเองจนกู่ไม่กลับ ควรจะเตือนพระองค์หรือไม่นะ ว่าพระองค์กินยาหลอกเม็ดหนึ่งลงคอไปก็เท่านั้น
“เสด็จแม่! เรามาแล้ว!”
ฮ่องเต้กลายร่างเป็นหมาน้อยกระดิกหางของจวงไทเฮาในทันที
เว่ยกงกงยกมือขึ้นปิดตา พับผ่าเถอะ! ทนดูไม่ไหวแล้ว!
เดิมทีกู้เจียวตั้งใจว่าจะเข้าวังรายงานตัวกับท่านย่าเสียหน่อย แต่ในเมื่อท่านย่ามาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรง
กู้เจียวกับหญิงชราเดินเข้าไปให้ห้องโถง
ตอนแรกไม่ได้สังเกตนัก แต่พอได้พาท่านย่าเดินเล่นไปรอบหนึ่งก็ได้พบว่าช่วงสามเดือนที่ตนเองจากไป เรือนหลังนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
แปลงผักบริเวณส่วนหน้าของลานบ้านกว้างขึ้น ปลูกต้นหอมและหัวผักกาดเพิ่มขึ้นมา บ่อปลาที่เคยเลี้ยงปลาตัวเล็กๆ อยู่ตรงข้ามกับแปลงผักถูกถมไปแล้ว เปลี่ยนมาเป็นอ่างเลี้ยงปลาแทน
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเสนอความคิด เขาบอกว่าในบ้านมีน้องชายแล้ว น้องชายก็ควรมีพื้นที่เล่นเป็นของตัวเอง แม้น้องจะยังเล็ก แต่เขานั้นก็ยืนกรานว่าจะเสียสละบ่อปลาน้อยของตนให้ได้
ส่วนทางเชื่อมไปยังเรือนข้างกันก็ไม่ใช่ทางเดินอีกต่อไป กำแพงฝั่งนั้นได้ถูกรื้อถอนออกไปแล้ว ตอนนี้ลานท้ายเรือนของเรือนทั้งสองหลังได้เชื่อมต่อกันเป็นลานกว้าง
“ท่านปู่ซื้อเรือนหลังนั้นแล้ว” พอเห็นกู้เจียวสีหน้ามึนงงมองลานท้ายเรือนที่เชื่อมต่อกัน เซียวเหิงจึงอธิบายให้นางฟัง
“ราคาไม่น้อยเลยกระมัง” กู้เจียวพึมพำ
เซียวเหิงพยักหน้า “อืม จ่ายไปหนึ่งพันตำลึงน่ะ”
เดิมทีก็ไม่ได้แพงขนาดนี้หรอก ทว่าตั้งแต่มีจอหงวนคนใหม่ ตรอกปี้สุ่ยก็กลายเป็นที่รู้จักในนามตรอกจอหงวน ราคาที่ดินจึงแพงขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งพันตำลึงนี้ก็นับว่าเป็นราคามิตรภาพแล้ว
กู้เจียวถามอย่างประหลาดใจ “ท่านปู่เอาเงินเยอะแย่ขนาดนั้นมาจากไหน”
หากนางจำไม่ผิด เงินเดือนของจี้จิ่วประจำกั๋วจื่อเจียนก็ไม่ได้สูงขนาดนั้นนี่นา
เซียวเหิงมุมปากกระตุก “ก็…ขายตำแหน่งน่ะสิ”
กู้เจียว ‘ท่านปู่ก็ทำเรื่องแบบนี้กับเขาด้วยหรือ’
ขั้นตอนการขายตำแหน่งของจี้จิ่วอาวุโสมีอยู่ว่า อันดับแรกเขานั้นประกาศข่าวขายบ้าน หลังจากนั้นก็มีคนใจไม่ซื่อมาหาถึงเรือน และมอบเงินก้อนใหญ่เพื่อติดสินบนจี้จิ่วอาวุโส
จี้จิ่วอาวุโสหอบเงินไปหาฮ่องเต้ที่ห้องทรงอักษร ก่อนจะฟ้องฝ่าบาทด้วยความเดือดดาล “กระหม่อมฮั่วเสียนประพฤติชอบมาตลอดชีวิต ภักดีต่อฝ่าบาท ไม่เคยคิดแปรเป็นอื่น! แต่กลับมีคนคิดติดสินบนข้า ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลายิ่งนัก! กระหม่อมขอสาบาน ต่อให้ขุนนางบู้บุ๋นทั้งราชสำนักจะถูกซื้อตัวไปทั้งหมด แต่กระหม่อมจะไม่มีวันถูกซื้อเด็ดขาด!”
ประโยคสุดท้ายของจี้จิ่วอาวุโสโน้มน้าวความคิดของฮ่องเต้ได้สำเร็จ ตั้งแต่ฮ่องเต้ว่าราชการมาก็พบเจอเรื่องราวมากมาย วินาทีนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจวงไทเฮาถึงได้เด็ดขาดเหลือเกินในตอนนั้น
ฮ่องเต้กับไทเฮานั้นเลือกใช้คนไม่เหมือนกัน ฮ่องเต้เป็นคนเข้มงวด เพราะอย่างนั้นคนที่เขาเลือกใช้งานต้องเป็นคนซื่อตรง อย่างเช่นท่านเหล่าโหว หรืออย่างจี้จิ่วอาวุโส มีเพียงเซวียนผิงโหวคนเดียวที่ค่อนข้างรอบจัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรม
ส่วนจวงไทเฮานั้นค่อนข้างใจกว้าง นางให้ความสำคัญกับการใช้คนในระยะยาว ยอมรับข้อเสียของคน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือถังเย่ว์ซาน
ถังเย่ว์ซานผู้นี้สร้างคุณงามความดีไว้มากมาย แต่ผิดลูกผิดเมียคนอื่น หากเป็นฮ่องเต้คงไม่มีทางใช้งานเขา
แต่สงครามชายแดนครั้งนี้ ฮ่องเต้กลับรู้สึกว่าถังเย่ว์ซานผู้นี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย
ฮ่องเต้เริ่มนึกถึงแนวทางการปกครองของไทเฮา ก็พบว่ามีหลายเรื่องที่เขาควรเรียนรู้จากตัวของไทเฮา
น้ำใสเกินไปก็ไร้ปลา
ก็เหมือนระบอบสืบทอดตำแหน่งขุนนางจากบรรพบุรุษ หากจะยกเลิกไปเลยนั้นไม่มีทางทำได้ เพราะสั่นคลอนอำนาจและผลประโยชน์ของเหล่าขุนนางมากเกินไป สุดท้ายเสด็จแม่ก็ใช้การระบบการสอบขุนนางทั้งหกกรมมาแก้ไขปัญหาที่ได้อย่างง่ายดาย
แม้จะยังมีการสืบทอดตำแหน่งโดยสายเลือดอยู่ ทว่าก็ลดทอนอำนาจและอายุงานของตำแหน่งที่สืบทอดโดยสายเลือดไปได้มาก เรียกได้ว่าเป็นการถ่วงดุลอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบ
ฮ่องเต้รู้ดีว่าอย่างไรการซื้อขายตำแหน่งก็ยังคงมีอยู่
จี้จิ่วอาวุโสปฏิเสธ แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เที่ยวไปต่อรองกับคนอื่น หากหาคนอื่นได้ก็ไม่รู้ว่าเป็นใครอีก สู้ให้จี้จิ่วอาวุโสเป็นคนรับคำไม่ดีกว่าหรือ
เช่นนี้แล้วอย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่าขุนนางคนไหนซื้อตำแหน่งมา คุมหมากทั้งกระดานไว้ได้ พอความเคลื่อนไหวในราชสำนักสงบลง เขาก็จะต้อนคนพวกนั้นเข้าแหมาให้หมด
ด้วยพระราชานุญาตของฮ่องเต้ จี้จิ่วอาวุโสจึงรับเงินสินบนอย่างเปิดเผย และซื้อเรือนหลังใหญ่ข้างเรือนจอหงวน!
จวงไทเฮาและฮ่องเต้นั่งอยู่ในห้องโถง ทั้งสองมีเรื่องมากมายอยากจะคุยกับกู้เจียว
จี้จิ่วอาวุโสตรงไปทำข้าวเหนียวทอดเคลือบน้ำตาลแดงในครัวอย่างรู้งาน
เซียวเหิงตั้งใจว่าจะไปเป็นลูกมือให้อาจารย์เสียหน่อย แต่ก็ถูกจี้จิ่วอาวุโสปฏิเสธ
ไม่รู้ตัวเลยหรือว่าฝีมือการปรุงอาหารของตนนั้นเป็นอย่างไร
“อาเหิงมาช่วยติดกลอนคู่หน่อยจ้ะ” แม่นางเหยายิ้มเอ่ย
“ขอรับ” เซียวเหิงเดินออกไป หิ้วแป้งเปียกถังหนึ่ง พาเหล่าเด็กชายในเรือนออกไปหน้าประตูเพื่อแปะกลอนคู่
จวงไทเฮาไม่ได้ถามถึงเรื่องในสนามรบ เรื่องพวกนั้นเอาไว้ฉลองปีใหม่เสร็จค่อยถามก็ได้ นางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแทน
ขันทีและองครักษ์ที่นางส่งไปยังหมู่บ้านชิงเฉวียนได้พบกับเซวียหนิงเซียงแล้ว เรื่องที่โจวเอ้อร์จวงกับเจ้าสำนักหลีมาสู่ขอเซวียหนิงเซียงพร้อมกันนั้นเป็นที่เล่าลือไปทั่ว
เซียวหนิงเซียงเป็นแม่หม้ายสาว คนในหมู่บ้านดูแคลนนาง แต่กลับคิดจะฉวยโอกาสเอาเปรียบนาง แต่ก่อนมีครอบครัวของกู้เจียวและแม่นางโจวแม่สามีอยู่ด้วย คนชั่วพวกนั้นจึงยังไม่ออกอาการ
ต่อมาครอบครัวของกู้เจียวย้ายออกไป แม่นางโจวก็ตายจาก องครักษ์ลับสองนายของกู้เหยี่ยนก็กลับมาเมืองหลวงแล้ว ชีวิตจองเซวียหนิงเซียงจึงย่ำแย่นัก
มีอยู่หนหนึ่ง นางนอนหลับตอนกลางคืน พวกนักเลงหัวไม้หมู่บ้านข้างเคียงก็ปีนรั้วเข้ามาในเรือนของนาง กดนางลงกับเตียงหมายจะข่มเหงนาง แต่โกว่หวาตื่นเสียก่อน ร้องไห้จ้าเสียงดังจนชาวบ้านตื่นตกใจ เจ้าคนนั้นถึงได้หนีไป
ในหมู่บ้านไม่มีทางปิดข่าวได้แน่นอน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน วันต่อมาก็รู้ไปทั่วทั้งหมู่บ้าน
นักเลงหัวไม้ผู้นั้นนามว่าหลี่ต้าจู๋ วันต่อมาภรรยาของเขามาอาละวาดเซวียหนิงเซียงถึงที่เรือน ด่าทอเซวียหนิงเซียงว่าเป็นหญิงแพศยาชั้นต่ำ… แก้ผ้ายั่วยวนสามีของนางกลางทุ่งกลางนา ทั้งยังเชิญชวนผู้ชายให้ค้างอ้างแรมดึกดื่น
เซวียหนิงเซียงเปลี่ยนจากเหยื่อกลายเป็นหญิงแพศยาที่ยั่วยวนผู้ชายในชั่วข้ามคืน ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยไม่น้อย เซวียหนิงเซียงไม่เคยเอ่ยถึงในจดหมายเลย หากไม่ใช่เพราะคนของจวงไทเฮาไปถึงหมู่บ้าน ก็คงไม่รู้ว่าเซวียหนิงเซียงพบเจอกับเรื่องน่าอดสูเช่นนี้
นายอากรหลัวปกป้องเซวียหนิงเซียง แต่ยิ่งเขาปกป้องป้องนางเท่าไร ก็ยิ่งตกเป็นขี้ปากชาวบ้านยิ่งกว่าเดิม
จนกระทั่งท้ายที่สุด นายอากรอย่างเขาก็กลายเป็นเหมือนตัวประหลาด
เจ้าสำนักหลี่รู้เรื่องเข้าก็อย่างจะรับตัวเซวียหนิงเซียงมาอยู่ที่ตัวอำเภอ แต่บังเอิญว่าโจวเอ้อร์จวงดันกลับมาพอดี
เรื่องราวจึงลุกลามใหญ่โตจนรู้ไปทั่วทั้งบาง เอาเป็นว่าคนทั้งหมู่บ้านรู้แล้วว่าน้องชายสามีและเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียงนั้นต่างก็ถูกใจเซวียหนิงเซียง จะพูดให้ถูกก็คือพวกเขาคิดว่าเซวียหนิงเซียงยั่วยวนพวกเขาทั้งสอง
เซวียหนิงเซียงกลายเป็นที่โจษจัน
แม้แต่ครอบครัวฝั่งแม่ของนางที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยลี้ก็ได้รับจดหมาย ทั้งยังมาด่าเซวียหนิงเซียงจนร้องห่มร้องไห้ถึงที่บ้าน
บางคราคนเราก็เป็นเช่นนี้แหละหนา แม้จะเห็นว่าเซวียหนิงเซียงต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างอยากลำบาก แต่กลับไม่อยากเห็นนางปีนขึ้นมาจากเหวได้
ในสายตาของใครหลายคน แม่หม้ายที่สามีตายจากไม่ควรถูกเหลียวแล จะมีชีวิตสงบสุขอย่างคนอื่นเขาได้อย่างไร
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดนั้นมีทางออก คนเรานั้นกล้าด่าทอคนที่ต่ำต้อยกว่าดั่งก้อนหินที่ขวางทาง แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าด่าขุนเขาสูงตระหง่านท้ายหมู่บ้าน
จวงไทเฮาจึงต้องการจะยกเซวียหนิงเซียงให้เป็นขุนเขาที่สูงที่สุดลูกนั้น
“ไทเฮาประสงค์จะเชิญแม่นางเซวียไปยังเมืองหลวง”
คำพูดของขันทีเล่าลือไปทั่ว ชาวบ้านทั่วสารทิศต่างพากันคลานเข่าเข้ามาหานาง
ขุนนางใหญ่ที่สุดที่พวกเขารู้จักคือนายอำเภอ ไทเฮาคือผู้ใดอย่างนั้นหรือ คือพระโพธิสัตว์ คือศาสดา คือเจ้าชีวิต! เพียงแค่ชี้นิ้ว ไม่ ไม่ต้องใช้นิ้วชี้หรอก แค่เอ่ยออกมาคำเดียวก็สามารถชี้ชะตาของคนทั้งหมู่บ้านได้ว่าจะเป็นหรือตาย!
สายตาที่มองมายังเซวียหนิงเซียงเปลี่ยนจากอิจฉาริษยาเป็นหวาดกลัว
พวกเขาอิจฉาไม่ไหวหรอก
แน่นอนว่าไทเฮานั้นไม่ได้บังคับให้เซวียหนิงเซียงเข้าเมืองหลวงแต่อย่างใด เพียงแต่อยากจะกอบกู้ศักดิ์ศรีให้แก่นางก็เท่านั้น
คนที่จวงไทเฮาส่งตัวไปบอกกับเซวียหนิงเซียงว่า ไทเฮาคอยช่วยเหลือนางอยู่ นางไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น อยากจะแต่งงานมีสามีสักสิบแปดคนก็ไม่มีใครกล้านินทานางอีกต่อไป
เซวียหนิงเซียงตกใจกับคำพูดขัดศีลธรรมนั้น มีสามีสิบแปดคนอย่างนั้นหรือ นางไม่ได้เคยคิดเช่นนั้นเสียหน่อย