บทที่ 526 พากันอ้อนเจียวเจียว (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 526 พากันอ้อนเจียวเจียว (2)

ในกล่องผ้าไหมที่หยวนถังมอบให้กู้เจียวนั้นมีจดหมายฉบับหนึ่ง กล่าวถึงเหตุผลที่ตระกูลหรงก่อกบฏ ที่แท้ที่ฮ่องเต้แคว้นเฉินโปรดปรานตระกูลหรง เอ็นดูหรงกุ้ยเฟยทั้งแม่และลูกนั้นเป็นเพียงแค่ละครตบตา ความจริงแล้วพระองค์นั้นร่างราชโองการไว้ตั้งแต่ก่อนหน้า ประสงค์จะแต่งตั้งจางเต๋อเฟยเป็นฮองเฮา และแต่งตั้งโอสรประสูติในจางเต๋อเฟยเป็นรัชทายาท

หรงกุ้ยเฟยบอกเรื่องนี้ให้ตระกูลหรงรับรู้ เดิมทีหรงกุ้ยเฟยคิดว่าท่านพ่อกับพี่ชายจะช่วยนางหาทางออก ต่อให้ต้องใช้อำนาจข่มขู่หรือเล่ห์กลล่อลวงก็ตาม แต่ต้องให้ฮ่องเต้แคว้นเฉินเปลี่ยนใจแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาให้จงได้

แต่ใครจะไปรู้ว่าป๋อซินอ๋องนั้นกลับเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอก่อน เขามาเพื่อทาบทามให้กับลูกชายเพียงคนเดียวของตน ต้องการสู่ขอลูกสาวคนโตของหรงเหยา หากเขาได้เป็นฮ่องเต้ ลูกสาวคนโตของหรงเหยาก็จะได้ชื่อว่าเป็นไท่จื่อเฟยหรือพระชายาขององค์รัชทายาท

นอกจากนั้น เขาจะมอบศักดินาและที่ดินอีกมากมายให้กับตระกูลหรง หากเทียบกับแล้วย่อมตระกูลของย่อมต้องร่ำรวยกว่ายามฮ่องเต้แคว้นเฉินปกครองเป็นแน่

ตระกูลหรงนั้นสุดทนกับชีวิตที่ต้องอยู่ในเงาของผู้อื่น โดยเฉพาะราชวงศ์ที่ตนเองช่วยเหลือให้คงอยู่ เช่นนี้แล้วสู้เป็นฮ่องเต้เสียเองไม่ดีกว่าหรือ

หรงกุ้ยเฟยยังมีลูกชายอีกคนหนึ่ง ปีนี้ยังไม่ห้าขวบดี ถึงหยวนถังจะตายก็ไม่เป็นไร พวกเขาจะผลักดันให้ฮ่องเต้วัยห้าขวบนี้ขึ้นครองบัลลังก์ให้จงได้

หลังจากนั้นก็ให้องค์ชายเก้าย้ายไปอยู่ที่ตระกูลหรง เช่นนั้นแล้วตระกูลหรงของพวกเขาก็ใกล้ชิดกับสวรรค์ยิ่งกว่าใคร

การที่ป๋อชินอ๋องยื่นของเสนอกับตระกูล เสมือนดั่งเจรจาต่อรองกับเสือ ไม่มีวันสำเร็จ สุดท้ายก็ตายด้วยคบดาบของหรงเหยา

เพราะเหตุนี้ ฮ่องเต้แคว้นเฉินก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เอ่ยถึงเรื่องแต่งตั้งจางเฟยเป็นฮองเฮาอีกต่อไป

หยวนถังเองก็มิได้กดดันให้ฮ่องเต้แคว้นเฉินแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท หยวนถังเพียงแค่แจ้งเจตจำนงต่อกษัตริย์แคว้นเฉินอย่างแน่วแน่ว่า เขานั้นต้องการตำแหน่งรัชทายาท ไม่ว่าจะได้มาด้วยการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ หรือว่าด้วยฝีมือของเขาเอง

ฮ่องเต้นั้นวางกับดักซินอ๋อง เขาจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่แล้ว มีหรือจะสู้คนหนุ่มแน่อย่างหยวนถัง

แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ จากนี้ไปหยวนถังจะมาเยือนแคว้นเจาในฐานะองค์รัชทายาท

หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่กู้เจียวเล่า จี้จิ่วอาวุโสก็ถอนหายใจยาว “ราชวงศ์นั้นไม่มีเนื้อเชื้อไข ไม่ว่าจะราชวงศ์ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น เพียงแต่หยวนถังผู้นี้…คงต้องมองเขาใหม่จริงๆ ”

โชคดีที่มิใช่ศัตรู

เมื่อเอ่ยถึงหยวนถัง กู้เจียวก็จำได้ว่าหยวนถังวานนางให้มอบของสิ่งแก่หลิ่วอีเซิง

“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่” กู้เจียวเอ่ย

“เจียวเจียวจะไปไหนหรือ” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งเข้ามาพร้อมเหงื่อชุ่มไปทั่วหัว

กู้เจียวมองท่าทางลนลานของเขาก็นึกขำ “ไม่ใช่ว่าฝึกลมปราณอยู่รึ นี่เจ้าแอบฟังพวกข้าอยู่ตลอดเลยอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ได้แอบฟังเสียหน่อย พวกเจ้าเสียงดังเองต่างหาก” เสี่ยวจิ้งคงถูกมือไปมาด้วยความรู้สึกผิด

ก็ได้ แอบฟังนิดหนึ่งก็ได้

แต่เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย แถมเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องด้วย

เขาแค่กลัวว่าเจียวเจียวจะไปโดยไม่ร่ำลาอีกต่างหาก

กู้เจียวกลับมาแล้ว ก็ย่อมต้องไปเข้าวังไปรายงานตัวกับท่านย่าสักหน่อย นางวางแผนแล้วว่าหลังจากไปรายงานตัวกับท่านย่าเสร็จก็จะเอาของขวัญจากหยวนถังไปให้หลิ่วอีเซิงต่อ

“เจียวเจียว ข้าไปด้วยได้หรือไม่” เสี่ยวจิ้งคงถามอย่างน่าเอ็นดู

“ได้สิ” กู้เจียวลูบหัวเห็ดน้อย

เส้นผมของเขานุ่มลื่น ลูบแล้วสบายมือยิ่งนัก

เสี่ยวจิ้งคงเอียงหัวเข้าไปใกล้ “หากเจียวเจียวชอบ จะลูบตลอดเลยก็ย่อมได้”

ต่อให้หัวล้านก็ไม่เป็นไร

เซียวเหิงเดินถือไม้เท้าเข้ามา เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ามีฎีกาของกรมพิธีการต้องทูลเกล้าฝ่าบาทอยู่พอดี เข้าวังด้วยกันสิ”

จี้จิ่วอาวุสมุมปากกระตุก ปีใหม่ทั้งทียังจะทูลเกล้าฎีกาอีกหรือ หาข้ออ้างให้มันแนบเนียบกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไร

แต่น่าเสียดายที่มีเพียงจี้จิ่วอาวุโสรู้เรื่องราชสำนัก ส่วนคนในบ้านนั้นไม่รู้

“ทำไมพี่เขยนิสัยไม่ดีต้องไปด้วย” จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็งอแงขึ้นมา

ยามทั้งสามคนขึ้นรถม้า ก็บังเอิญพบว่ามีสามคนที่ขึ้นมานั่งบนรถตั้งแต่ก่อนหน้า กู้เหยี่ยน กู้เสี่ยวซุ่น และกู้เสี่ยวเป่าวัยสามเดือน

กู้เจียว “…”

ลูกสมุนแปลกประหลาดก็เพิ่มขึ้นมาอีกแล้วสินะ…

เพียงแต่เหล่าลูกสมุนก็ถูกแม่นางเหยาสกัดดาวรุ่ง ช่วยไม่ได้นี่นา รถม้าไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น นั่งไปทั้งหมดคงไม่ไหว

จะให้ลูกกระจ๊อกคนไหนไปก็ไม่ยุติธรรมทั้งนั้น ก็เลยไม่ให้ไปเสียเลยทั้งหมด

ส่วนเซียวเหิงนั้นมีฎีกาเป็นข้ออ้าง จึงรอดตัวไป ไม่ถูกแม่นางเหยารั้งให้อยู่บ้าน

ดวงหน้าน้อยทั้งสี่มองนองคนบนรถม้าเคลื่อนออกไปด้วยสีหน้าหมดอาลัยตาอยาก

แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือ รถม้าของกู้เจียวและเซียวเหิงยังไม่ทันได้ออกเดินทาง รถม้าของท่านย่าก็มาถึงแล้ว

หญิงชรายังไม่รู้ข่าวว่ากู้เจียวกลับมาแล้ว นางมาเพื่ออวยพรวันเกิดให้กับเซียวเหิงและเสี่ยวจิ้งคง กู้เจียวไม่อยู่ เด็กผู้ชายทั้งสองคนคงเศร้าใจน่าดู นางจึงใช้ข้ออ้างว่าป่วยเพื่อยกเลิกงานเลี้ยงในวัง

“ท่านย่านี่! ท่านย่ามาแล้ว!”

เมื่อได้ยินเสียงจิ้งคง เซียวเหิงกับกู้เจียวลงจากม้า

ฉินกงกงเองก็ลงจากม้า เขาเลิกม่านขึ้นให้จวงไทเฮา จวงไทเฮาค้อมตัวเดินลงมา เดินไปได้ครึ่งทาง มือของฉินกงกงก็เกิดสั่นขึ้นมา ผ้าม่านร่วงหลุดมือ กระแทกเข้ากับใบหน้าจวงไทเฮาพอดี!

จวงไทเฮา “…!!!”

เจ้าแซ่ฉิน!

เขาคืนข้าฉลองปีใหม่รึ!

เจ้ากับตะพาบน้อยของพวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ!

วันนี้จวงไทเฮาต้องได้เห็นเลือด!

“มะ…แม่นางกู้!” ฉินกงกงตกตะลึงตาค้าง

จวงไทเฮาสะบัดม่านออก ไฟโทสะที่หมายจะสังเวยตะพาบน้ำของฉินกงกงทั้งสระน้ำให้แก่สรวงสวรรค์ ก็ดับมอดลงไปในพริบตาเมื่อได้เห็นกู้เจียว

“ฉินฮว๋าย” สายตาของนางหยุดอยู่ที่ใบหน้าของกู้เจียว เอ่ยเรียกฉินกงกงด้วยชื่อ

“เอ๊ะ ไทเฮา!” ฉินกงกงได้สติกลับมา

ไทเฮาฟาดศีรษะของเขาเต็มฝามือด้วยความโกรธ

ฉินกงกง “?!”

“เจ็บหรือไม่” จวงไทเฮาถาม

“ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่กล้าเจ็บหรอกพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงเอ่ยอย่างหวาดกลัว

จวงไทเฮาสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา “เช่นนั้นก็แปลว่าเจ็บ ดียิ่งนัก ไม่ได้ฝันไปสินะ”

ฉินกงกง “…”

“ท่านย่า” กู้เจียวเดินเข้ามาใกล้

จวงไทเฮามาตรอกปี้สุ่ยด้วยชุดสามัญชน มองไม่ออกเลยสักนิดว่านางคือฮองเฮาแห่งแคว้นที่แต่งองค์ทรงเครื่องหรูหราเสมอ แม้แต่รถม้าที่นางนั่งก็เหมือนกับรถม้าของชาวเมืองไม่มีผิดเพี้ยน

เพียงแค่ขั้นบันได้ค่อนข้างชัน ต้องมีคนคอยประคอง

ฉินกงกงยื่นแขนให้ในทันที

จวงไทเฮามองค้อนเขา

ฉินกงกงมองตาปริบๆ แต่ก็รู้ตัวว่าต้องถอยออกไป

กู้เจียวเข้ามาช่วยพยุงไทเฮา

ยังไม่ทันได้เขาไปในเรือน จวงไทเฮาก็สำรวจเนื้อตัวของกู้เจียวมันที่หน้าประตู

กู้เจียวเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้เดิมทีนางจะไม่ใช่หญิงสาวที่อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือน แต่ก็เคยเอาตัวเองไปตกระกำลำบาก ด้วยเหตุนี้พอนางกลับมาจากชายแดนก็เล่นเอาจวงไทเฮาแทบจำไม่ได้

ผอมลงนั้นไม่ต้องพูดถึง ตากแดดจนหมองคล้ำ แก้มแดงเพราะหนาวจนแข็ง ริมฝีปากแห้งแตก

นางกำลังอยู่ในช่วงวัยที่งามที่สุดของหญิงสาว ในสายตาของจวงไทเฮานั้นนางยังคงกล้าหาญและงดงาม แถมยังได้กลิ่นอายชายแคว้นเจาผู้ไม่เป็นรองใครเพิ่มขึ้นมาด้วย

จวงไทเฮาคิดอยู่หลายตลบว่าหากกู้เจียวกลับมาแล้วจะคาดโทษนางอย่างไรที่ทำให้ตนต้องทุกข์ใจ แต่พอหน้าจริงๆ เขา จวงไทเฮากลับพบว่าตัวเองนั้นถามไม่ออกแม้สักคำ

ความรู้สึกนับพันนับหมื่นจุกอยู่ที่กลางอก นางสูดหายใจลึก พยายามกลั้นหยดน้ำตา ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนฝ่ามือของกู้เจียว “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว…”

กู้เจียวกุมมือของนางเอาไว้

จวงไทเฮาไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่กระชับฝ่ามือของกู้เจียวให้แน่นกว่าเดิม

ขณะที่จวงไทเฮากำลังจมดิ่งไปกับอิ่มเอมใจที่กู้เจียวกลับมา ก็มีเสียงรถม้าคันหนึ่งดังขึ้นในตรอก

ม่านรถม้าเลิกขึ้น ร่างสูงใหญ่ค้อมตัวเดินออกมา

แวบแรกที่เขาเห็นจวงไทเฮายืนอยู่หน้าประตูเรือน สีหน้าก็พลันเปลี่ยน “เสด็จแม่ เสด็จแม่มิได้พักฟื้นอยู่ที่ตำหรักเหรินโซ่วหรอกรึ เหตุใดถึงได้แองมาตรอกปี้สุ่ยเช่นนี้”

จวงไทเฮาแค่นหัวเราะ ก่อนจะเหลือบตามองเขา “เจ้าบอกว่าจะเก็บตัวบำเพ็ญเพื่อเหล่าทหารมิใช่รึ เหตุใดถึงได้ถ่อมาถึงตรอกปี้สุ่ยได้”

“เรื่องนั้นเรา…” ฮ่องเต้กำลังจะบอกว่าเขาแอบออกมาเดินเล่น แต่ดันเห็นร่างเล็กที่ถูกบังอยู่หลังไทเฮาเสียก่อน

เขาตาเบิกโพรงก่อนจะเดินเจ้าไปใกล้ “หมอเทวดาน้อย เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

“ใช่ ข้ากลับมาแล้ว”

“เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร” กู้เจียวเอ่ย

ฮ่องเต้เห็นนางก็รู้สึกว่านางไม่เป็นอะไรจริงๆ ท่าทางดูฮึกเหิมด้วยซ้ำไป เขาเอ่ยอย่างยินดียิ่ง “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีนัก! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาอย่างปลอดภัย เสด็จแม่ก็จะไม่เมินเฉยข้าอีกต่อไป!”

จวงไทเฮาหน้านิ่วปากกระตุก ถึงต่อให้ไม่มีข้ออ้างว่าเจ้าเป็นคนปล่อยกู้เจียวไปชายแดน ข้าก็คร้านจะสนใจเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ฮ่องเต้รับไม่ได้ที่เสด็จของเขาจะเพิกเฉยไม่แยแสตน เขาดีใจมาก ประการแรกคือเพราะในที่สุดนางก็สนใจเขาเสียที ประการที่สองคือหมอเทวดาน้อยกลับมาแล้ว

สงครามที่ชายแดนครั้งนี้ หมอเทวดาน้อยสร้างคณูปราการไว้ไม่น้อย

เขาต้องตบรางวัลให้นางอย่างงาม!