บทที่ 710 จ้าวจิ่งซวนกลับมายังเมืองหลวง

เมื่อนอนคนเดียวแม้แต่ผ้าห่มก็ไม่อุ่นเหมือนเคย

เมื่อคิดถึงไออุ่นของภรรยา แม้เว่ยฉิงล้มตัวนอนลงบนเตียงก็ยังข่มตาหลับลงไม่ได้ แต่สักพักเขาก็หลับไป

ในความฝันเขาขี่ม้าวิ่งไปยังทิศๆ หนึ่งราวกับว่าที่ปลายทางมีบางอย่างที่สำคัญอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อเขากำลังจะไล่ตามทัน เสียงเคาะประตูก็ปลุกเขาตื่นจากความฝันเสียก่อน

บ่าวรับใช้มาปลุกเขาเมื่อถึงเวลาที่จะต้องไปทำงาน

เว่ยฉิงลุกจากเตียงเขารู้สึกเวียนหัวก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้บ่าวรับใช้ช่วยเข้ามาแต่งตัวให้

“นายท่านผอมลงอีกแล้ว” บ่าวรับใช้พูดในขณะที่ช่วยเขาพันสายคาดเอว

ผอมลงไม่ได้หรือ?

เมื่อก่อนนี้เว่ยฉิงกินข้าวได้ถึงสี่ชาม แต่หลังจากภรรยาของเขาออกจากเมืองหลวงไป ความอยากอาหารของเขาก็ค่อยๆลดน้อยลง จนตอนนี้กินข้าวได้แค่ชามเดียวเท่านั้น เมื่อก่อนเคยมีคนพูดว่าเมื่อกังวลจะกินข้าวไม่ลง เขาไม่เคยเข้าใจเลยเพราะเวลาเว่ยฉิงเศร้าเขาจะยิ่งกินมากขึ้น เพราะยิ่งกินมากเท่าไรความกังวลก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น จนกระทั่งภรรยาไม่อยู่ข้างกายเช่นเคย เขาจึงเข้าใจความหมายของคำนี้

หลังจากที่เว่ยฉิงแต่งตัวเสร็จ เขากินอาหารเช้าอย่างง่ายๆ แล้วออกไปข้างนอกทันที เมื่อลมเย็นพัดมาร่างกายของเขาก็ยิ่งตื่นตัวมากยิ่งขึ้น

ในตอนที่ภรรยาของเขาจากไปเป็นช่วงฤดูหนาว ตอนนี้กำลังเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วความหนาวเย็นเริ่มลดลง สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาแทนที่ลมหนาว อีกไม่นานอากาศก็คงจะอุ่นขึ้น

ภรรยา…เมื่อไหร่เจ้าจะกลับมา…

เว่ยฉิงถอนหายใจออกมาเงียบๆ เขาขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ที่ด้านหน้าประตูแล้วมุ่งไปยังวังหลวง เมื่อเข้าไปในท้องพระโรงเขาก็พบกับเหลียงโส่วฝู่

พระสนมเหลียงมีพี่ชายสามคน พี่ชายคนโตคือ เหลียงหยูเป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักศึกษาหลวง คนที่สองคือเหลียงตงหรือเหรินโส่วฝู่ คนที่สามเหลียงเต้า เป็นแม่ทัพที่กุมอำนาจทางการทหารและเป็นผู้นำทัพไปออกรบ

เหลียงหยูไม่เอาธุระและกิจการของสกุล ตำแหน่งหัวหน้าสกุลเหลียงจึงตกเป็นของเหลียงตง

ใบหน้าของเหลียงตง ทั้งซูบผอมและซีดเซียวจนแทบดูไม่ได้เลย เขาไอเป็นพักๆ ในตอนแรกที่ฮ่องเต้โจวได้มอบภารกิจสำคัญให้กับจ้าวจิ่งซวนนั้น ข้าราชบริพารหลายคนคิดว่าสกุลเหลียงรวมถึงเหลียงตงจะได้ครองอำนาจ แต่เมื่อองค์ชายหกหายตัวไปสกุลเหลียงก็นับว่าจบสิ้นแล้ว

เหล่าข้าราชบริพารจึงเริ่มตีตัวออกห่างนายท่านเหลียง

“ใต้เท้าเหลียง” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น เหลียงตงหันมองไปยังผู้ที่เดินเข้ามาหาอย่างประหลาดใจ อู่อวี้ผู้นี้เป็นคนสนิทของฝ่าบาท คนผู้นี้ไม่เคยยืนยันอยู่กับฝ่ายใดสำหรับการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท

ในตอนที่สกุลเหลียงมีอำนาจอู่อวี้ไม่เคยเข้ามาประจบเขาแม้แต่น้อย แต่ในตอนที่สกุลเหลียงหมดอำนาจอู่อวี้กลับเข้ามาพูดคุยกับเขา

“ใต้เท้าอู่” เหลียงตงโค้งคำนับเว่ยฉิงเป็นการตอบแทน

“ตอนนี้อากาศหนาวมากแล้วใต้เท้าเหลียงควรรักษาสุขภาพนะขอรับ” เว่ยฉิงทักขึ้น

“ใต้เท้าอู่อาการเจ็บป่วยของข้าไม่ได้เกิดจากอากาศที่หนาวเย็นแต่เป็นเพราะความกังวลต่างหาก เหลียงตงถอนหายใจ

ตอนนี้สถานการณ์ขององค์ชายหกจ้าวจิ่งซวนซึ่งเป็นที่พึ่งพาที่สำคัญที่สุดของสกุลเหลียงไม่ดีนัก ด้วยเพราะเขาหายตัวไป แม้จะส่งลูกน้องฝีมือดีสองคนไปคุ้มกัน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องจ้าวจิ่งซวนเอาไว้ได้ พวกเขาจึงโดนลงโทษจำคุกอยู่ในห้องขัง

ตอนนี้สกุลเหลียงเหมือนกับหม้อที่มีก้นรั่ว เว้นเสียแต่ว่า…องค์ชายหกยังมีพระชนม์ชีพอยู่

แต่เวลาผ่านมาร่วมสองเดือนแล้ว ผู้คนที่ถูกส่งไปได้เลิกค้นหาเขาแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะเจอองค์ชายหกไม่มีอีกต่อไป

“องค์ชายหกมีโชคชะตาที่ลิขิตไว้ เขาจะกลับมาอย่างแน่นอน” เว่ยฉิงกล่าว

เหลียงตงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังปลอบใจตัวเอง แต่มันไม่ได้ง่ายเหมือนโรยน้ำตาลลงบนหน้าขนม ยากนักที่จะหาคนยื่นมือมาช่วยเหลือ แต่ในยามที่สกุลเหลียงตกต่ำจนถึงที่สุดเช่นนี้ ใต้เท้าอู่ยังอุตส่าห์มาปลอบโยนเขา เขาจะจดจำไว้ในใจ

“ขอบคุณในคำอวยพรของท่าน”

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันเข้าไปในท้องพระโรง ทำให้ใครหลายคนต่างมองด้วยความแปลกใจ ใต้เท้าอู่เป็นคนสนิทของฝ่าบาทเหตุใดเขาถึงได้สนิทกับเหลียงตงถึงเพียงนี้

เป็นไปได้หรือไม่ว่าองค์ชายหกยังมีชีวิตอยู่?

แม้ว่าฮ่องเต้จะทรงโปรดปรานองค์ชายหกแต่ตอนนี้พระองค์ได้หายสาบสูญไป ไม่ว่าจะเข้าหาสกุลเหลียงแบบไหน ล้วนไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น หรือจะเป็นเพราะบุตรทั้งสองของใต้เท้าอู่เป็นสหายที่ดีขององค์ชายหก เขาจึงได้ทักทายเหลียงตง

“ใต้เท้าเหลียงท่านดูไม่ค่อยดีนะ” น้ำเสียงที่ไร้ความปราณีดังขึ้น คนที่พูดนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หวังหมิ่นไฉ่ พี่ชายของหวังกุ้ยเฟย ลุงของจ้าวชู

“อ้อ! จริงด้วย ใต้เท้าเหลียงหากท่านไม่มีความสามารถพอก็ไม่ควรรับงานนี้ ปกป้ององค์ชายหกได้ไม่ดีทำให้เกิดอุบัติเหตุ นี่ไม่ใช่กลายเป็นคนผมขาวส่งคนผมดำหรอกหรือ…” หวังหมิ่นไฉ่ลดเสียงของเขาลงให้พอได้ยินกันสองคน

เหลียงตงไม่ได้ตั้งใจฟังในสิ่งที่หวังหมิ่นไฉ่พูด การหายตัวไปขององค์ชายหกนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการปราบโจร ย่อมเกี่ยวข้องกับสกุลหวังอย่างแน่นอน

คิดแล้วยิ่งทำให้เหลียงตงหดหู่มากขึ้น ครั้งนี้สกุลหวังและองค์ชายสามร้ายกาจมากเกินไปแล้ว

สกุลเหลียงของเขาคงยากที่จะกลับมายืนหยัดได้

หวังหมิ่นไฉ่เห็นเหลียงตงผู้ที่เคยหยิ่งผยองในอดีตทำท่าตกใจจนพูดไม่ออกไม่ออก เขาก็ยิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ เมื่อข้าราชบริพารทั้งหลายมาถึงแล้วฮ่องเต้โจวก็เสด็จเข้ามาในท้องพระโรง

ภายในท้องพระโรงเงียบลง

ฮ่องเต้โจวที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรมีสีพระพักตร์อิดโรย พระเกศามีสีขาวแซมจนดูชันษาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก

เห็นได้ว่าเรื่องที่เกิดกับจ้าวจิ่งซวนได้ส่งผลกระทบกับฮ่องเต้โจวไม่ใช่น้อย

หลังจากที่หารือเรื่องสำคัญแล้ว ข้าราชบริพารบางคนจากฝ่ายของจ้าวชูก็ได้กราบทูลเร่งรัดเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทว่า องค์ชายสามเป็นคนที่มีใจคอกว้างขวางและมีพระเมตตาจึงเหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นเป็นรัชทายาท

เมื่อฮ่องเต้โจวนึกถึงครั้งสุดท้ายที่เขาตั้งใจจะแต่งตั้งองค์ชายสาม ทว่าหอฉีอานได้ถล่มลงมาเสียก่อน ทำให้พระองค์ทรงหวั่นพระทัยมาก

“ข้าจะหารือเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง” ฮ่องเต้โจวตรัสทิ้งท้ายก่อนจะออกไปจากท้องพระโรง

ในไม่ช้าเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ประชุมก็ลอยไปเข้าหูของจ้าวชู

“จ้าวจิ่งซวนตายไปแล้ว กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ว่าฝ่าบาททรงรีรอสิ่งใดอยู่จึงไม่ทรงแต่งตั้งองค์รัชทายาท” หวังหมิ่นไฉ่กล่าวด้วยความไม่พอใจ จ้าวชูมีท่าทีใจเย็น เขาจิบชาช้าๆ

“พี่รองขี้โรค น้องสี่เป็นคนเสเพล น้องห้าพิการ น้องเจ็ดชาติตระกูลต่ำต้อย ส่วนน้องแปดอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น…” รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเจ้าชูลึกซึ้งขึ้น

“น้องหกจากไปแล้วตอนนี้ข้าเป็นเพียงตัวเลือกเดียวของเสด็จพ่อ”

จ้าวชูรู้ว่าฮ่องเต้โจวไม่พอใจตัวเอง้วยเรื่องใด เหตุการณ์ของแคว้นต้าฉีเหมือนหนามยอกอกเขา แต่ถึงกระนั้นเมื่อเทียบกับพี่น้องที่เหลือ เขาก็เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด หากฮ่องเต้โจวไร้ทางเลือก ในไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งรัชทายาทย่อมตกเป็นของเขาแน่นอน

ตอนนี้เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น

สีหน้าของจ้าวชูเผยความมั่นใจออกมา

…..

ภายในห้องบรรทมของฮ่องเต้โจว

ฮ่องเต้โจวทรงปวดพระเศียรเป็นอย่างมาก เมื่อเต๋อชุนนำโอสถมาถวาย พระองค์จึงทรงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

“ลูกสองสุขภาพไม่ดี ลูกสี่ไม่เอาไหน ลูกห้าแข้งขาอ่อนแรง ลูกเจ็ดขี้ขลาดเกินไป ส่วนลูกแปด…เขาอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น” ฮ่องเต้โจวถอนหายใจเบาๆ

เดิมทีพระองค์ทรงต้องการให้องค์ชายหกขึ้นเป็นรัชทายาท แต่แล้วกลับเป็นเสียเช่นนี้ …ในประวัติศาตร์ที่จารึกไว้ มีหลายครั้งที่องค์รัชทายาทล้มเหลวจนได้ทำลายสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างมาให้ พระองค์ไม่ต้องการองค์ชายที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น

จะต้องเป็นลูกสามจริงๆหรือ?

หากองค์รัชทายาทยังอยู่ เขาคงเติบโตเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา สง่างาม

เมื่อมองดูบุตรชายที่ล้วนสิ้นหวังของตน ฮ่องเต้จะหวนนึกถึงเด็กคนนั้นเกือบทุกครั้ง

หลังจากมีอุบัติเหตุของลูกหกเกิดขึ้น พระองค์หาตัวคนกระทำผิดไม่ได้ ตอนนี้ทรงเริ่มสงสัยแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกหกกันแน่ ฮ่องเต้โจวทรงลุกขึ้นยืน

“ข้าจะไปพบสนมเหลียง”

……

พระสนมเหลียงยังนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพอ่อนแอ เมื่อรู้ว่าฮ่องเต้โจวเสด็จมา นางพยายามที่จะลุกขึ้นทำความเคารพ แต่ฮ่องเต้โจวทรงหยุดนางเอาไว้

“ไม่ต้องมากพิธี ร่างกายไม่แข็งแรงควรพักผ่อน”

“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” พระสนมเหลียงทูลตอบ

พระสนมเหลียงที่เคยได้รับเสียงร่ำลือว่าเป็นสตรีที่เข้มงวด ดุร้าย ตอนนี้กลับนอนอย่างไร้เรี่ยวแรง พระพักตร์ซีดเซียว

ยามที่ถังหลี่เอ่ยปากว่าจะไปตามหาจ้าวจิ่งซวน พระสนมเหลียงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ด้วยเหตุที่จ้าวจิ่งซวนชื่นชมถังหลี่มาก พระนางจึงเชื่อพระทัยและเชื่อมั่นในตัวหญิงสาวผู้นั้นว่านางจะต้องหาจ้าวจิ่งซวนพบอย่างแน่นอน

นางรอคอยด้วยหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทว่าวันแล้ววันเล่าผ่านไป ความหวังของนางค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อยๆ แม้จะหลอกตนเองเท่าใด แต่นางคงต้องยอมรับความจริงที่ว่าจ้าวจิ่งซวนได้จากนางไปแล้วจริงๆ

พระสนมเหลียงมีกจะฝันเห็นบุตรชายจมอยู่ในน้ำที่เย็นเฉียบ ตะเกียกตะกายร้องขอความช่วยเหลือจากนางผู้เป็นมารดา

“เสด็จแม่ ข้าหนาว ช่วยข้าด้วย”

นางพยายามเอื้อมมือไปจับบุตรชายแต่ทุกครั้งไม่เคยทำได้สำเร็จ

พระสนมเหลียงตื่นจากฝันร้าย พระวรกายอ่อนแอลงทุกวัน แต่ด้วยแรงแค้นที่อยากหาสาเหตุการตายของบุตรชาย ทำให้นางยังคงยืนหยัดหายใจอยู่ได้

พี่รองของนางได้สืบหาต้นตอการหายตัวไปของจ้าวจิ่งซวนทำให้รับรู้เรื่องราวที่น่าสงสัยหลายเรื่อง นักฆ่าเหล่านั้นไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นคนของสกุลหวังและจ้าวชู!

พระสนมเหลียงไม่มีอะไรจะสูญเสียอีกต่อไป นางคิดจะเดินหน้าและไม่มีวันปล่อยให้จ้าวชูและหวังกุ้ยเฟยได้เสพสุขอย่างง่ายๆ

“ฝ่าบาท หม่อมฉันฝันถึงจิ่งซวนเมื่อคืนนี้ ลูกพูดกับหม่อมฉันว่าเขาถูกฆ่าตาย เขาต้องการให้หม่อมฉันล้างแค้นให้เขา ความฝันนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ หม่อมฉันควรทำอย่างไรดี…”

พระสนมเหลียงไม่ได้เอ่ยวาจาออกมาตามตรงว่าจ้าวจิ่งซวนถูกสังหาร นางหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยไว้ให้ฮ่องเต้โจวได้ฉุกคิดเอง

ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสว่ากระไร หากทรงครุ่นคิดอยู่ในพระทัย

“ฝ่าบาท หม่อมฉันขอถวายของสิ่งนี้ให้พระองค์เพคะ” พระสนมเหลียงหยิบสายรัดพระองค์ออกมาจากใต้หมอน ส่งถวายแก่ฮ่องเต้

“ช่วงนี้หม่อมฉันร่างกายอ่อนแอ ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง สายรัดพระองค์ชิ้นนี้จึงไม่มีความละเอียดประณีตเท่ากับของห้องพระภูษา ขอฝ่าบาทอย่าได้รังเกียจเลยเพคะ”

ฮ่องเต้โจวทอดพระเนตรสายรัดพระองค์อย่างลำบากพระทัย

แม้ว่านางจะเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนแอ แต่นางยังมีแก่ใจคิดถึงเขา ภายนอกพระสนมเหลียงอาจจะดูเข้มงวด ก้าวร้าว แต่แท้จริงแล้วนางเป็นสตรีที่อ่อนโยนทั้งยังจริงใจกับเขาเป็นอย่างมาก

องค์เต้โจวทรงรู้สึกผิดอยู่ในพระทัย แท้จริงแล้วเขาได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวขององค์ชายสามจ้าวชูมาก่อนหน้านี้ ทำให้เขายิ่งเกิดความลังเลที่จะแต่งตั้งให้ลูกสามเป็นองค์รัชทายาทมากยิ่งขึ้น

ข่าวที่ฮ่องเต้โจวประทับอยู่ที่พระตำหนักของสนมเหลียงล่วงรู้ไปถึงพระสนมหวังกุ้ยเฟยในที่สุด นางขบพระทนต์แน่น พระหัตถ์บีบขนมที่ทรงถืออยู่จนแหลก

บุคคลที่สตรีในวังหลังจะพึ่งพาได้มีเพียงบุตรชายของนางเท่านั้น พระสนมเหลียงแม้ไร้คนพึ่งพา กระนั้นยังมีความสามารถทำให้ฝ่าบาททรงโปรดปรานรั้งอยู่ในตำหนักของนางได้ถึงค่อนวัน ช่างสมกับเป็นนังจิ้งจอกมากเล่ห์เสียจริง พระสนมหวังคิดว่าถ้าหากเป็นนางแล้วคงยากที่จะทำเช่นนั้นได้

ตอนนี้พระวรกายของฝ่าบาทเริ่มอ่อนแอลงมาก การแต่งตั้งองค์รัชทายาทเริ่มใกล้เข้ามา

วันใดที่ชูเอ๋อร์ขึ้นครองบัลลังก์ วันนั้นนางจะได้เป็นไทเฮา ถึงตอนนั้นแล้วนางจัดการสนมเหลียงให้กลายเป็นมนุษย์สุกร[1]ในทันที

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว พระสนมหวังกุ้ยเฟยทรงมีอารมณ์เบิกบานมากขึ้น

ในกลางดึกคืนนั้น พระนางไม่ได้ล่วงรู้เลยว่ามีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาถึงเมืองหลวงอย่างเงียบๆ

องค์ชายหกที่ใครๆ เข้าใจว่าสิ้นพระชนม์ไปแล้วอยู่ในรถม้าคันนั้น

และผู้ที่รออยู่ที่หน้าประตูเมืองก็คือเว่ยฉิงนั่นเอง

[1] เป็นการลงโทษในสมัยโบราณตัดมือตัดเท้าโยนลงในถังสุรา