ตอนที่ 528 การจัดเตรียมการฝึกบำเพ็

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 528 การจัดเตรียมการฝึกบำเพ็ญเพื่อทะยานขึ้นสู่สวรรค์ (1)

ในกระท่อมมุงจาก หลิงเอ๋อร์เม้มปากขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยน้ำที่เปื้อนบนใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง

หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างขอโทษ จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น พลางกอดอก และแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปจ้องมองที่ด้านนอกของประตูภูเขา เวลานี้ชายหนุ่มที่มีคิ้วหนาตาโตได้ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา

เกิดอันใดขึ้น?

ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

เป็นไปได้อย่างไรกัน? หนุ่มน้อยคนนี้ คือ หลี่จิ้ง[1] แม่ทัพแห่งด่านเฉินถังหรือ? สามีของฮูหยินยิน? บิดาของซานจ้า[2]? เขาจะถูกจับไปมือเปล่าแน่ๆ… แค่กๆ เป็นไปไม่ได้

เป็นไปได้หรือที่เขาจะกลายเป็นเทพได้ในอีกไม่กี่สิบปี?

เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!

ดินแดนเทวะทักษิณไม่มีเสวียนเหนี่ยวให้กำเนิดซาง[3] จากมุมมองของมนุษย์ ไม่มีวี่แววบ่งบอกถึงอาณาจักรซาง ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการปราบดาเทพ!

หลี่ฉางโซ่วตรวจสอบมันหลายครั้งแล้ว ในขณะนั้น โลกมนุษย์ของดินแดนเทวะทักษิณ เทียบเท่ากับสถานะที่เหล่าผู้กล้าของดินแดนได้ถูกแบ่งแยกออกหลังจากภัยพิบัติและเรื่องเร่งร้อนต่างๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว

เนื่องจากอาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลของดินแดนเทวะทักษิณ ระดับการพัฒนาของสถานที่ต่างๆ จึงแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ และแม้กระทั่งในบางพื้นที่ ชนเผ่าชายและหญิงยังใช้วิธี “ตีให้สลบแล้วค่อยไปขอใบรับรอง[4]” ด้วยระดับการพัฒนาของพวกเขาที่แตกต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ลำดับของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพควรเป็นดังนี้

ขั้นตอนแรกควรให้องค์เง็กเซียนรู้สึกว่า ศิษย์ของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋านั้น ไม่พอใจเขา ดังนั้นเขาจึงไปพร่ำบ่นกับบรรพาจารย์เต๋า

ขั้นตอนที่สองคือ บรรพาจารย์เต๋า ได้เรียกสามปรมาจารย์ซันชิงทั้งสาม[5]คนมาและขอให้ทั้งสามสำนักลงนามในรายนามทะเบียนเทพเพื่อให้บรรดาศิษย์ของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋านั้นได้เติมเต็มในตำแหน่งเทพของศาลสวรรค์

ขั้นตอนที่สาม ซึ่งจะเกิดขึ้นเป็นเวลานานหลังจากมีการลงนามในรายนามทะเบียนเทพแล้ว เทพีหนี่วาจะไม่พอใจกับบทกวีที่พระเจ้าตี้ซินแห่งซางทรงประพันธ์ขึ้นมา

นางจึงต้องการลงทัณฑ์กษัตริย์แห่งซางและทำให้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ในขณะนี้ เหล่าปรมาจารย์จอมปราชญ์ก็จะตระหนักว่ามหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพน่าจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอำนาจของกษัตริย์ในโลกมนุษย์แห่งดินแดนเทวะทักษิณ

สำนักบำเพ็ญเต๋าฉานจึงใช้กลยุทธ์ในการรับศิษย์เพื่อป้องกันภัยพิบัติ[6] ส่วนสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยก็ใช้กลยุทธ์ปิดผนึกเกาะเพื่อไม่ให้ออกไปจากเกาะ

หลี่ฉางโซ่วมีความคิดนี้หลายร้อยครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีโอกาสน้อยอย่างยิ่งที่เขาจะทำผิดพลาด ขั้นตอนเหล่านี้ต้องใช้เวลามากกว่าสองสามร้อยปี!

หลี่ฉางโซ่วจ้องมองที่ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูสำนักและอดจะจมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้งไม่ได้

เขาต้องมั่นคง อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตอนนี้เขายังไม่มีข้อมูลมากนักจริงๆ

แล้วข้าจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นได้อย่างไร?

นั่นง่ายมาก…

หลี่ฉางโซ่วบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้ เขาวิเคราะห์ความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้อย่างระมัดระวัง หลังจากได้เข้าสู่เซียนจินแล้ว เขาก็สามารถ “รำลึกถึง” รายละเอียดต่างๆ มากมายที่เดิมทีเขาได้ลืมมันไปแล้วในชาติก่อน

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ครองหยางบริสุทธิ์ที่มีวัยอาวุโสมาก เฉกเช่นปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีชีวิตอยู่มานานนับไม่ถ้วน ก็สามารถทำการหยั่งรู้เพื่อเรียกคืนความทรงจำที่ห่างไกลได้เช่นกัน

ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็ดึงข้อมูลบางส่วนที่เกี่ยวกับหลี่จิ้งมาจากความทรงจำของเขาในมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ

หลี่จิ้งผู้เป็นแม่ทัพแห่งด่านเฉินถัง และยังเป็นแม่ทัพคนสำคัญแห่งต้าซาง

เขาเป็นผู้ซื่อสัตย์ รักชาติและจงรักภักดีต่อกษัตริย์ บางครั้งเขาก็ออกรบแนวหน้าด้วยความกล้าหาญ และบางคราว ก็ยอมจำนนต่อศัตรูอย่างขี้ขลาด

เขาอ้างว่าเขาได้ศึกษาวิชาเต๋ามาเป็นเวลาหลายปี แต่มันก็ยากที่เขาจะได้ฝึกฝนเต๋า ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกลับไปยังโลกมนุษย์และกลายเป็นแม่ทัพ ซึ่งนั่นขัดแย้งกับที่เขาอ้างว่าเขาปกป้องด่านเฉินถังมานานหลายชั่วอายุคน

หลังจากมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ ร่างของเขาก็ถูกระบุอยู่ในรายนามทะเบียนเทพ และเขาก็ได้กลายเป็นจอมทัพแห่งศาลสวรรค์ หลี่เทียนหวาง

บุตรชายคนโตนาม จินจาและบุตรชายคนรองของเขานาม มู่จา ได้ติดตามอาจารย์ของเขา เหวินชู่ กวงฝ่าเทียนจุน[7] และนักพรตเต๋าสือหัง[8] เข้าสู่สำนักบำเพ็ญประจิมในขณะที่บุตรชายคนที่สามของเขา นาจา และหลี่เทียนหวางได้รับใช้องค์เง็กเซียน

หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและยังคงคิดต่อไป

เรื่องเกี่ยวกับหลี่จิ้งที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือ การแตกหักกับนาจา บุตรชายคนที่สามของเขา

สำหรับนาจาแล้ว แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี เขาเป็นเจ้าเด็กน้อยที่เก่งที่สุดในตำนาน

ในความเป็นจริงแล้ว จากมุมมองของหลี่จิ้ง นาจาควรได้รับการลงโทษจากการสังหารองค์ชายมังกรและเป็นเหตุนำความหายนะมาสู่ด่านเฉินถัง นอกจากนี้ เขายังควรได้รับการลงโทษที่บังเอิญพลั้งมือสังหารโอรสของราชินีสือจี[9]

เมื่อคิดเช่นนั้น หลี่ฉางโซ่วก็อดคิดไม่ได้ว่า…

ในฐานะมนุษย์ธรรมดา หลี่จิ้งอาจไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดของไข่มุกวิญญาณที่ภรรยาของเขาตั้งท้องมาสามปีครึ่ง ใช่หรือไม่?

หากหลี่ฉางโซ่วต้องตัดสิน หลี่จิ้งก็จะเป็นผู้สนับสนุนการปกครองแบบปิตาธิปไตย[10] เขาจะไม่ตีสอนลูกๆ ของเขา แต่เขาจะไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบต่อการให้ความรู้เป็นอย่างดีแก่ลูกๆ ของเขาเอง

และเบื้องหลังนั้น มือมืดใหญ่ที่สุดที่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมแล่เนื้อชำแหละกระดูกของนาจา ก็คือ ไท่อี่เจินเหริน[11] ซึ่งเอาใจศิษย์ของเขามากเกินไปและมอบสมบัติทั้งหมดให้เขา

หลังจากที่นาจาสร้างสมบัติบงกช[12]ขึ้นมาได้แล้ว ก็ดูเหมือนว่า การไล่ตามหลี่จิ้งของเขา จะเป็นการกบฏต่ออำนาจการปกครองแบบปิตาธิปไตยของบิดาของเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเกินจริงมากไป

หือ?

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่… เมื่อหลี่จิ้งถูกนาจาไล่ล่าสังหาร หลี่จิ้งได้รับความช่วยเหลือจากนักพรตเต๋าหรานเติ้ง และนาจาได้แทงหอกของเขาใส่นักพรตเต๋าหรานเติ้ง

หลังจากนั้น หรานเติ้งก็ใช้สมบัติเจดีย์หลิงหลง[13]ทำให้นาจาต้องยอมสยบก่อนจะมอบสมบัติเจดีย์หลิงหลงนี้ให้หลี่จิ้งเพื่อใช้สมบัตินี้ปราบนาจา ต่อมาหลี่จิ้งจึงนับถือนักพรตเต๋าหรานเติ้งเป็นอาจารย์ของเขา

ก่อนหน้านี้ หลี่จิ้งมักอ้างว่าเป็นศิษย์ของตู้เอ้อร์เจินเหริน

เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า โดยปกติแล้ว พวกแม่ทัพมนุษย์มักชอบโอ้อวดและโกหกว่ามีกำลังพลแปดแสนนายทั้งที่จริงๆ แล้วมีกำลังพลเพียงสองแสนนายเท่านั้น หรือว่ามันอาจจะ…

ก่อนหน้านี้ หลี่จิ้งมักอ้างว่าเขาเป็น “ศิษย์ของตู้เอ้อร์เจินเหรินแห่งภูเขาคุนหลุน” เช่นนั้น ก็ย่อมหมายความว่าเขากำลังจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักตู้เซียน?

เขาฝึกฝนในสำนักตู้เซียนเป็นระยะเวลาหนึ่งจนรู้สึกว่าไม่มีความหวังที่จะได้มีชีวิตยืนยาวเป็นอมตะ จากนั้นเขาจึงกลับไปยังโลกมนุษย์เพื่อเตรียมใช้ประโยชน์จากมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพเพื่อขึ้นสู่สวรรค์และสุขสำราญกับชีวิตนิรันดร์?

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกายทันที!

ในขณะนั้น จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนได้เห็นความจริงในตำนานที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในหมอก!

บัดนี้ มีคำถามในทางปฏิบัติเพิ่มเติมอีกคำถามหนึ่งตามมา… “เช่นนั้นแล้ว ข้าจะใช้หลี่จิ้งวางแผนอะไรได้บ้าง?”

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่งข้อความเสียงไปยังหลี่จิ้งซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่นอกประตูสำนัก

“ตอนนี้ จงอดทนรออย่างสงบก่อน ข้าจะตระเตรียมให้เจ้าได้เข้าฝึกฝนสำนักในภายหลัง ข้าหวังว่าเจ้าจะพากเพียรฝึกฝนและไม่ลืมความตั้งใจเดิมในวันนี้ของเจ้า”

บัดนั้น เจ้าหนูหลี่จิ้งก็ก้มกราบกรานให้สำนักอยู่ที่ด้านนอกสำนัก

หลี่ฉางโซ่วไม่ได้มองไปมากกว่านี้อีก เขายังคงนั่งนิ่งครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นอย่างลับๆ

ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เช็ดใบหน้าของนางให้สะอาดอย่างเศร้าใจ เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ของนางกำลังส่ายศีรษะและพยักหน้า นางจึงไม่กล้ารบกวนเขาอีก และทำได้เพียงหลบไปอาบน้ำชำระกายเงียบๆ

ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็คิดได้กระจ่างชัดเจน

มันจะเสียเปล่าหากไม่ใช้หมากที่ถูกส่งตรงมาหาเขาถึงหน้าประตูให้เป็นประโยชน์!

เขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับนักพรตเต๋าหรานเติ้งอยู่แล้ว ดังนั้น แน่นอนว่า เขาจึงไม่อาจให้โอกาสหรานเติ้งเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป ทว่าเขาก็ยังต้องคิดหาทางเพื่อให้ได้เจดีย์ทองคำหลิงหลงของหรานเติ้งมา

หลี่จิ้งเป็นแม่ทัพคนสำคัญในกองทัพซาง บุตรชายทั้งสามคนของเขาก็มีความสามารถโดดเด่นเช่นกัน โดยเฉพาะนาจา ซึ่งมีกายาบงกชที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเกี่ยวข้องกับหนึ่งในสิบสองเซียนจินแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน ไท่อี่เจินเหรินอีกด้วย

ข้อบกพร่องของหลี่จิ้งนั้นชัดเจนมาก เขาไม่ใส่ใจดูแลบุตรชายของเขาให้ดีพอและไม่รู้ว่าจะสั่งสอนอย่างไร เขาใช้หน้ากากแห่งความจงรักภักดีต่อกษัตริย์และความรักชาติบ้านเมืองเพื่อเป็นข้ออ้างปกปิดข้อบกพร่องและความเสียใจของเขาเอง

หากเขาให้หลี่จิ้งได้ฝึกบำเพ็ญในสำนักตู้เซียนหลังจากนี้ เขาย่อมสามารถแอบแทรกแซงจากด้านข้างได้และสร้างบรรยากาศของครอบครัวใหญ่แห่งสำนักตู้เซียนให้ส่งผลกระทบต่อหลี่จิ้งเพื่อทำให้เขามีความรับผิดชอบต่อครอบครัวมากขึ้นได้

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วคิดถึงวิธีสอนหลี่จิ้ง วิธีทำให้หลี่จิ้งกลายเป็นเซียนเทียนที่ทรงพลังอย่างรวดเร็ว และวิธีดูแลหลี่จิ้งเป็นพิเศษ นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่วยังคิดถึงกลอุบายเลิศล้ำที่เขาเตรียมไว้สำหรับหลี่จิ้งเมื่อเขาออกจากสำนักไปอีกด้วย

ชื่อของเขา…

ข้อควรปฏิบัติในระหว่างการฝึกบำเพ็ญ!

………………………………………………………………..

[1] คือหลี่เทียนหวาง ซึ่งบางที่ก็เรียกขานพระนามเทพว่า หลี่เทียนอ๋อง พระองค์ได้รับการแต่งตั้งจากองค์เง็กเซียนในภายหลังให้เป็นเทพถือเจดีย์ มีอาวุธคู่กายคือ เจดีย์เจ็ดชั้น

[2] อีกพระนามหนึ่งของเทพนาจา เนื่องจากเกิดเป็นบุตรคนที่สามของแม่ทัพหลี่จิ้ง จึงได้พระนามเรียกขานว่าซานจ้า

[3] นกใหญ่สีดำลึกลับในตำนานคล้ายคุนเผิง ตามตำนานเล่าว่า เสวียนเหนี่ยวบินมาตามริมชายฝั่งฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองโบราณ แล้วไข่ทิ้งไว้ จนนางเจี่ยนตี๋ นางสนมคนโปรดขององค์ตี้คู่ (หนึ่งในห้าจักรพรรดิ) ซึ่งมีบุตรยาก และได้ไปที่วิหารเทพีหนี่วาเพื่อขอประทานบุตร ได้กินไข่เข้าไป แล้วให้กำเนิดบุตรขึ้นมา ซึ่งบุตรที่ถือกำเนิดมาผู้นั้น ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้ ซึ่งซางในที่นี้ก็คือราชวงศ์ซาง

[4] คล้ายกับแสลงที่ว่าตีให้สลบแล้วไปจบกันที่อำเภอซึ่งเป็นการบังคับจดทะเบียนแต่งงาน

[5] องค์ไท่ชิง องค์ทงเทียน และองค์เง็กเซียน

[6] ในที่นี้หมายถึงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ

[7] เป็นหนึ่งในสิบสองเซียนจินแห่งคุนหลุนและเป็นที่รู้จักในศาสนาพุทธในพระนามว่า พระมัญชูศรีโพธิสัตว์

[8] เป็นหนึ่งในสิบสองเซียนจินแห่งคุนหลุน

[9] สือจีเหนียงเหนียงได้รับการเคารพบูชาเป็นเทพีแห่งหิน ตามตำนานว่ากัน เดิมทีทรงเป็นหินธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจักรวาล พระนางเป็นปีศาจหมื่นปีก่อนจะกลายเทพธิดา และเป็นศิษย์ของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียนเจี้ยวจู่ เมื่อพระนางเป็นผู้นำปีศาจ สร้างความเสียหายให้กับโลกและต่อต้านสวรรค์ องค์เง็กเซียนจึงให้นาจาไปจุติในโลกมนุษย์เพื่อปราบพวกนาง

[10] ระบบครอบครัวหรือระบบสังคมที่บิดาหรือเพศชายเป็นผู้กุมอำนาจหลัก

[11] เป็นหนึ่งในสิบสองเซียนจินแห่งคุนหลุนและเป็นที่รู้จักภายหลังในนามมหาเทพไท่อี่จิ้วขู่เทียนจุน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ช่วยขององค์เง็กเซียน

[12] เมื่อก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมแล่เนื้อชำแหละกระดูกทดแทนบุญคุณบิดามารดาของนาจาจนตาย จากนั้นนาจาก็ได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยการสร้างร่างขึ้นจากดอกบัวเป็นกายาบงกช

[13] ตามตำนานว่า นาจาโกรธและต้องการแก้แค้นหลี่จิ้ง ผู้เป็นบิดาที่ทำลายศาลนาจาซึ่งจะช่วยให้นาจากำเนิดใหม่ได้ แต่นักพรตเต๋าหรานเติ้ง (พระพุทธเจ้าหรือพระยูไลซึ่งอยู่ในปางพระทีปังกรพุทธเจ้าหรือนักพรตเต๋าหรานเติ้ง) ได้มาห้ามไว้ และจับนาจาขังไว้ในเจดีย์ สุดท้าย นาจาจึงได้รับปากว่าจะคำนับและเคารพเจดีย์เสมอบิดา จึงได้รับการปล่อยตัวออกมา และพระทีปังกรพุทธเจ้าหรือนักพรตเต๋าหรานเติ้งจึงมอบเจดีย์นั้นให้หลี่จิ้ง