ตอนที่ 529 การจัดเตรียมการฝึกบำเพ็ญ

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 529 การจัดเตรียมการฝึกบำเพ็ญเพื่อทะยานขึ้นสู่สวรรค์ (2)

จู่ๆ ปลาตัวมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้นในสำนักตู้เซียน หลี่ฉางโซ่วซึ่งเดิมทีมีความกังวลในเรื่องของสำนักน้อยลง ก็ย้ายจิตหันกลับมาให้ความสนใจชั่วคราว

การอบรมสั่งสอนหลี่จิ้งให้ดีจะส่งผลกระทบสำคัญต่อมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพมากทีเดียว

ในระหว่างมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ หลี่ฉางโซ่วจะมีโอกาสเข้าไปแทรกแซงในมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพได้มากขึ้น

และหลังจากมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ หลี่ฉางโซ่วก็สามารถใช้กรรมพัวพันจากยุคของสำนักตู้เซียนเพื่อวางรากฐานความสัมพันธ์กับจอมทัพแห่งศาลสวรรค์ได้ในภายภาคหน้า แล้วนับจากนั้น เขาก็จะสามารถรวมสถานะของเขาในฐานะเสนาบดีผู้ทรงอำนาจและจะทำให้ได้รับบุญง่ายขึ้น

ศาลสวรรค์ไม่มีกงเกาเจิ้นจู่[1]ที่สร้างความสำเร็จโดดเด่นเป็นเยี่ยมมากจนทำให้จ้าวผู้ปกครองตกใจกลัวและเหล่าขุนนางอิจฉาริษยาได้

ด้วยมีเต๋าสวรรค์คอยควบคุมดูแลและได้รับการสนับสนุนจากบรรพาจารย์เต๋า แล้วจะมีผู้ใดต่อต้านองค์เง็กเซียนได้?

ความจริงแล้ว หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วค้นพบหลี่จิ้ง เขาก็กำลังพิจารณาแล้ว…

หลังจากที่ข้าได้รวบรวมร่างทองแห่งบุญแล้ว ข้าจะดูแลชุด “กลุ่มผู้ช่วยเหลือที่ไว้ใจได้” สำหรับศาลสวรรค์ ข้าจะเป็นมือขวาขององค์เง็กเซียน และในฐานะนั้น ข้าจะเข้าสู่สถานะกึ่งเกษียณ และสุขสำราญไปกับชีวิตอมตะ

การจัดเตรียมเป็นศาสตร์ในโลกบรรพกาลที่เกิดขึ้นยุคสมัยใหม่

มันฟังดูดีกว่าการวางกลอุบายมาก

ทว่าในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็ค้นพบว่ามันยากลำบากมากทีเดียวที่หลี่จิ้งจะผ่านเข้าสู่สำนักได้

หลี่จิ้งตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกที่เหล่ารุ่นเยาว์คนอื่นๆ ที่มาขอเป็นศิษย์ต่างพากันเยาะเย้ย แล้วหลี่จิ้งก็กินอาหารแห้งที่นำมาจนหมด และหลังจากนั้นก็แทบจะเป็นลมหมดสติไปหลังจากอดอาหารมาหลายวัน

โชคดีที่หลี่ฉางโซ่วค้นพบได้ทันเวลาพอดีและจัดแจงให้กระเรียนเซียนบินผ่านไป เขานำขวดโอสถประทังความหิวมาให้หลี่จิ้ง และช่วยแก้ปัญหาทั้งสองอย่างให้หลี่จิ้งไปพร้อมๆ กันทันที

ตอนนี้ปัญหาที่หลี่ฉางโซ่วกำลังเผชิญอยู่ก็คือ การหาอาจารย์ให้หลี่จิ้ง

เขาไม่อาจรับศิษย์ได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน

หลี่จิ้งมีวิบากกรรมมากมายเช่นนี้ และการรับศิษย์ก็รังแต่จะเพิ่มปัญหาให้เขา หากเขาต้องรับศิษย์ด้วยตัวเองเพื่อให้จัดการหลี่จิ้งได้ เช่นนั้นแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็จะล้มเลิก ‘การจัดการมหาภัยพิบัติ’ นี้เสียดีกว่า

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่าผู้อาวุโสว่านหลินหยุนเป็นผู้ถูกเลือกที่เหมาะสมดีที่สุด

ผู้อาวุโสว่านหลินหยุนนั้น ดูเย็นชาภายนอกแต่อบอุ่นภายใน ดังนั้นในตอนแรกเขาคงจะทำให้หลี่จิ้งตกใจกลัวแทบตาย ทว่าความจริงแล้ว เมื่อยิ่งเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสก็จะยิ่งค่อยๆ เผยด้านที่ใจดีมีเมตตาออกมามากขึ้นเท่านั้น และนั่นจะยิ่งทำให้หลี่จิ้งรู้สึกว่า…

ความจริงแล้วยังมีมนุษย์บางคนที่มีรักแท้จริงอยู่ในโลกมนุษย์!

ความรักของบิดายิ่งใหญ่ดุจขุนเขา และไร้ขอบเขต!

แต่ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสว่านหลินหยุนจะเข้าปิดด่านอยู่ และเขายังต้องรับมือกับทัณฑ์สวรรค์เซียนจิน หลี่ฉางโซ่วจึงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งและทำได้เพียงกำจัดตัวเลือกอย่างผู้อาวุโสว่านหลินหยุนออกไปเท่านั้น

หลังจากคิดเรื่องนี้ให้ดีๆ แล้ว สำหรับผู้ที่จะมีชื่อเสียงเกรียงไกรในสามอาณาจักรในภายภาคหน้าอย่างหลี่จิ้งนั้น ความจริงแล้ว ก็น่าจะเชิญตู้เอ้อร์เจินเหรินให้มารับเขาเป็นศิษย์ในนามได้

ด้วยวิธีนี้ หลี่จิ้งย่อมจะมีภูมิหลังที่ดูดีขึ้นเมื่อเขาเข้าสู่ศาลสวรรค์และกลายเป็นเซียน

หลังจากลังเลอยู่สองสามวัน ก็ใกล้จะถึงเวลาสำหรับพิธียิ่งใหญ่ของสำนัก

จู่ๆ ก็หลี่ฉางโซ่วสัมผัสได้ถึงสัญญาณเตือนภัยอันตรายในใจ…

หากเขาจัดการเรื่องของท่านอาจารย์ให้หลี่จิงไม่ได้ ก็เป็นไปได้มากว่าในวันพิธีเปิดสำนัก ปรมาจารย์จอมปราชญ์จะออกบัญชาโดยโยนคำว่า “รับ” เพื่อบอกให้เขายอมรับไปเอง!

ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น!

แล้วเขาควรทำอย่างไรดี?

เขาจะเกลี้ยกล่อมคนที่เขาไม่รู้จักดีให้รับศิษย์ที่ไม่มีศักยภาพมากได้อย่างไร? และพวกเขายังต้องให้ความรักความห่วงใยอย่างหมดใจกับหลี่จิ้งดุจบิดาของหลี่จิ้งจริงๆ อีกด้วย

ในหมู่ผู้ที่เขารู้จักดี ไม่มีผู้ที่เหมาะสมจริงๆ…

ข้าควรขอให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ช่วยเชิญตู้เอ้อร์เจินเหรินให้มาที่สำนักตู้เซียนหรือไม่?

ด้วยเหตุผลอันใดกัน?

เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกล่าวว่าเต๋าหยั่งรู้ของข้าได้ก้าวหน้าขึ้นไปจนถึงจุดที่เทียบได้กับปรมาจารย์จอมปราชญ์ และข้าก็หยั่งรู้ได้ว่า หลี่จิ้งจะเป็นคนสำคัญในมหาทัณฑ์ปราบดาเทพในอนาคต?

จากนั้นข้าก็อาจจะถูกปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ทุบตี และในเวลาเดียวกัน ข้าก็จะถูกปรมาจารย์จอมปราชญ์ลากไปที่วังเมฆม่วงเพื่อทำการสลายปราณวิญญาณของข้า

หากไม่ได้ผล ข้าก็ทำได้เพียงปล่อยให้อาจารย์ลุงจิ่วอูครองตำแหน่งไปเท่านั้น!

แต่อาจารย์ลุงจิ่วอูเองก็ไม่อาจแสดงภาพของ ‘บิดาผู้น่าเกรงขาม’ ได้มากนัก และอาจารย์ลุงจิ่วอูยังถูกอาจารย์ป้าจิ่วซือสั่งสอนอยู่ทุกวันด้วยซ้ำ…

หรือว่าจะไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมจะเป็น ‘บิดาเฒ่าของหลี่จิ้ง’ ในสำนักตู้เซียนขนาดใหญ่เช่นนี้?

“หาว…”

ในขณะนั้น มีเสียงหาวสองสามครั้งของใครบางคนดังอยู่ด้านนอกนอกกระท่อมมุงจาก หลี่ฉางโซ่วเงยหน้าขึ้นและเห็นอาจารย์ของเขากำลังขี่เมฆไปทางด้านหลังภูเขา เขาคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะไปตรวจการบ้านการฝึกฝนของอาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือ

อาจารย์ของเขา…

แม้เขาจะกระโดดออกมาเพื่อให้รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา เขาก็ไม่อาจรับศิษย์เพิ่มได้อีกเด็ดขาด!

หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปมารอบๆ ในกระท่อมมุงจากพลางคิดถึงมาตรการตอบโต้ทีละอย่างในใจ

เรื่องนี้ ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันมีความเกี่ยวข้องมากมาย และไม่ปลอดภัยที่จะจัดการกับมัน

เขาใคร่ครวญอย่างละเอียดรอบคอบและยังคงคาดการณ์ต่อไป แล้วสรุปความเป็นไปได้ซ้ำๆ

ครั้งนี้ เขาไม่มีแรงบันดาลใจใดๆ หลี่ฉางโซ่วเพียงคำนวณย้อนกลับและคาดการณ์ไปข้างหน้าตามวิธีการของตัวเขาเอง และกระโดดออกมาเมื่อไปถึงทางตันก่อนจะเปลี่ยนความคิด แล้วปรับวิธีคิดใหม่…

อย่างแรก กำหนดเป้าหมายก่อน แล้วแยกแยะ จากนั้นก็สรุปคัดย่อประเด็นสำคัญ…

ทันใดนั้น แผนผังเครือข่ายชัดเจนที่แตกสาขากระจายออกไปของสิ่งต่างๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในมือของหลี่ฉางโซ่วทีละน้อย เริ่มจาก “ข้าจะทำให้ตู้เอ้อร์เจินเหรินมารับศิษย์ด้วยตัวเองได้อย่างไร?” มาสู่ “หลี่จิ้งมีคุณสมบัติใดที่น่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง?” ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจประเด็นสำคัญทันที!

โชค!

เพียงเมื่อครู่นี้ หลี่จิ้งผู้นี้ ก็ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นได้อย่างฉับพลัน ทำให้เขาต้องเหลือบมองหลี่จิ้งอีกสองสามรอบและแม้แต่ ทำให้เขาเกิดคำถาม มันต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับโชคของหลี่จิ้ง!

โชคของหลี่จิ้งจะแย่ไปได้อย่างไรกัน? ไม่ต้องพูดถึงว่า เขาจะได้ไปอยู่ในรายนามทะเบียนเทพ? เพราะยิ่งไปกว่านั้น เขายังจะได้เป็นจอมทัพแห่งศาลสวรรค์ในภายภาคหน้า ทั้งเขาและบุตรชายทั้งสามของเขาจะถือได้ว่ามีสถานะโดดเด่น และเป็นผู้นำของตระกูลที่มั่งคั่งแห่งศาลสวรรค์อีกด้วย!

ในไม่ช้า หลี่ฉางโซ่วก็คิดแผนขึ้นมาได้ จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในศาลสวรรค์ให้รีบพุ่งตรงไปที่วังดุสิต…

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วกลับมานั่งบนเก้าอี้กลมของเขา พลางมองไปยังกองม้วนกระดาษที่อยู่ตรงหน้าเขา และเผยรอยยิ้มสงบ

“จะมีอุบายแยบยลมากมายเพียงนี้ได้อย่างไร? แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นผลมาจากการทำงานหนักทั้งสิ้น”

สองวันต่อมา

หนึ่งในตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วก็กลับมาจากสวรรค์พร้อมด้วยถุงเก็บสมบัติ

ในเวลานี้ มีเซียนและมนุษย์จำนวนมากอยู่ด้านนอกสำนักตู้เซียนอยู่แล้ว

มีเซียนบางคนส่งพวกเขามาเรียนรู้ทักษะบางอย่าง และผู้ที่เซียนส่งมานั้น กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าในขณะที่ผู้ที่ไม่มีสำนักเซียนคอยสนับสนุนก็ทำได้เพียงรออยู่ที่บันไดหน้าประตูภูเขา

เมื่อคำนวณคร่าวๆ แล้ว ก็พบว่า มีเด็กและรุ่นเยาว์อยู่สองถึงสามพันคน ซึ่งคึกคักกว่าพิธีเปิดครั้งก่อนมาก

เห็นได้ชัดว่าในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของสำนักตู้เซียนทั้งภายในและภายนอกดินแดนเทวะทั้งห้าดีขึ้นมาก

ในขณะนี้ ภายในสำนัก ผู้คนในสำนักทำตัวเหมือนมนุษย์ที่กำลังฉลองปีใหม่ บรรดาเซียนที่มี ความกังวลเกี่ยวกับศิษย์กลุ่มสุดท้ายที่ออกจากสำนักไปเมื่อก่อนหน้านั้น บัดนี้ ได้ถูกชะล้างหายไปแล้ว เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ของยอดเขาต่างๆ ที่จะรับศิษย์ในครั้งนี้ ต่างไปเดินเล่นที่ประตูภูเขาเมื่อพวกเขาไม่มีอะไรทำ

หากพวกเขาอยากเดินเล่น พวกเขาก็จะออกไปเดินเล่นเช่นนั้น แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็จะไม่เปิดเผยตัว ราวกับว่าหากคนนอกจะหัวเราะเยาะหากได้เห็นพวกเขา

หลี่ฉางโซ่วก่นด่าในใจและเรียกทุกคนคนบนยอดเขาหยกน้อยมาตรวจสอบก่อน…

เขาหยิบเครื่องมือเวทที่มีรูปทรงดูเหมือนแผ่นฉัตรทรงกลดออกมาวางไว้หน้ากระท่อมมุงจาก จากนั้นเขาก็ขอให้ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิง อาจารย์อาจิ่วจิ่ว อาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือ และสงหลิงลี่ ก้าวออกไปข้างหน้าทีละคนและวางฝ่ามือไว้บนเครื่องมือเวทชิ้นนั้นอยู่ชั่วระยะหนึ่ง

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้สร้างเครื่องมือเวทชิ้นนี้ขึ้นมา มันมีเพียงหน้าที่เดียวคือ ตัดสินโชคชะตาของคนผู้หนึ่ง

เดิมทีหลี่ฉางโซ่วต้องการเรียนรู้เวทแสวงโชคชะตา แต่เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มีสมบัติเช่นนี้ เขาก็หัวเราะเบาๆ ใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อหลอกให้ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่มอบมันให้เขาแล้วกลับมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม

บนแผ่นจานเวทได้มีการลงสลักระดับความก้าวหน้าอยู่สิบสองระดับ ซึ่งถูกแสดงให้เห็นด้วยสีความก้าวหน้าสิบสองสี จากสีขาวสู่สีแดง ไปจนถึงสีม่วง และเป็นสีม่วงเข้ม

ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่จะมีโชคตั้งแต่สีแดงอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม และในท้ายที่สุดแล้ว บัดนี้ เผ่ามนุษย์ก็ได้กลายเป็นตัวเอกของโลกและอุดมไปด้วยโชครุ่งโรจน์มหาศาล

ผลการทดสอบของอาจารย์ของเขาเป็นสีแดงอ่อน

ส่วนโชคชะตาของอาจารย์อาจิ่วจิ่ว และอาจารย์อาจิ๋วอวี่ซือนั้น สูงกว่าระดับของท่านอาจารย์ราวสองระดับ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ

ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกประหลาดใจที่โชคของหลิงเอ๋อร์ไปถึงระดับสีแดงเข้มและยังเข้าใกล้ระดับสีม่วงอ่อน

จากนั้น สงหลิงลี่ก็กดมือของนางลงและรออย่างจริงจังอยู่สักพัก…

“ญาติผู้พี่?”

สงหลิงลี่หันศีรษะของนางไปอย่างอ่อนแรงแล้วถามเบาๆ ว่า “มันพังแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”

หลี่ฉางโซ่วจ้องมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ดูสิ ยังมีเส้นฉายออกมาเป็นแฉกบางๆ ด้วย เพียงแต่พวกมันดูเล็กกว่าอยู่สักหน่อย… ไม่ต้องเสียใจไปหรอก เจ้าจะไม่โชคร้ายหากเจ้าอยู่ในสถานะที่ถูกต้อง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สงหลิงลี่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

จากนั้นพวกเขาทั้งห้าคนต่างก็มองไปที่หลี่ฉางโซ่วพร้อมๆ กัน

หลี่ฉางโซ่วยิ้มสงบและเก็บเครื่องมือเวทก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะไปพูดคุยเรื่องวิธีการใช้ของสิ่งนี้กับอาจารย์ลุงจิ่วอูก่อน”

จากนั้นเขาก็ใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกายไปโดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เอ่ยอันใดอีก

เขาต้องควบคุมตัวเองให้ดี โชคของเขานั้นถือเป็นความลับสุดยอด เขายังไม่อาจเปิดเผยได้แม้แต่ท่านอาจารย์และศิษย์น้องหญิงของเขา

หลี่ฉางโซ่วบอกว่าเขากำลังจะไปหาจิ่วอู ทว่าเขากลับหันหลังเลี้ยวไปที่โถงตู้เซียนแทน

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วได้… จัดเตรียมแผนการต่างๆ แล้ว ทั้งแผนการเพื่อให้หลี่จิ้งได้กลายเป็นศิษย์ แผนฝึกบำเพ็ญ แผนการปรับเปลี่ยนลักษณะนิสัย ตลอดจนแผนการศึกษาเรื่องครอบครัวและฝึกอบรมดูแลครอบครัวหลังการเป็นศิษย์สำหรับหลี่จิ้ง…

มันได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้ว

………………………………………………………………..

[1] คือผู้ที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมจนเขย่าบัลลังก์กษัตริย์ได้ เก่งกาจจนทำให้กษัตริย์รู้สึกหวาดเกรงและหวาดระแวงว่าอาจจะคิดการใหญ่หมายบัลลังก์ขึ้นได้ ทั้งยังกลายเป็นที่อิจฉาริษยาของขุนนางอื่นๆ อีกด้วย