ตอนที่ 530 ไม่ต้องห่วง ข้าจะปิดปากให้แน่นเหมือนปิดฝาขวด[1]! (1)
วันนี้ สถานการณ์ในภูเขาคุนหลุนตะวันตกไม่แน่นอนเล็กน้อย
ในหุบเขาอันเงียบสงบกลางภูเขาสูงตระหง่าน นักพรตเต๋าชราที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ในถ้ำที่มีป้ายว่า ‘ถ้ำแสงเมฆแปดสมบัติ’
ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ทว่ามันก็ยากที่จะระบุรายละเอียดที่แน่นอนได้ชัดเจน เขาบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้และรู้เพียงว่ามันเกี่ยวข้องกับมรดกเต๋าของเขาซึ่งเขาได้สร้างขึ้นที่ภายนอก…สำนักตู้เซียน
“ดูเหมือนว่าจะเป็นพิธีเปิดสำนักอีกครั้ง เป็นวันที่สำนักตู้เซียนรับศิษย์” ตู้เอ้อร์เจินเหรินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจไปแอบดูสำนักตู้เซียนอย่างลับๆ
สำหรับผู้เป็นเจินเหรินแล้ว มันย่อมเป็นเรื่องน่าอับอายที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้มาปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือในยามที่สำนักตู้เซียนถูกพวกหุ่นเชิดปีศาจบุกโจมตีมาก่อนหน้านี้
ในขณะนั้นนักพรตเต๋าชราครุ่นคิดว่า ‘ข้าไม่อาจทำผิดพลาดได้อีกต่อไปที่ไปรบกวนท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น’
จากนั้นนักพรตเต๋าชราก็ส่งเสียงท่องพระสูตรเบาๆ แล้วเดินไปมารอบๆ เคหาสน์ถ้ำอันกว้างขวางก่อนจะเข้าไปในห้องกั้นที่สะอาดเรียบร้อยห้องหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็เปิดตู้ไม้และเลือกเสื้อคลุมเต๋าสีเทาที่ทำจากผ้ากำมะหยี่สีเงินออกมา แล้วหันไปมองแส้หางม้ารูปแบบต่างๆ ที่แขวนไว้อยู่ทั่วผนังข้างประตูเคหาสน์
ตู้เอ้อร์เจินเหรินเลือกแส้หางม้าหนึ่งในนั้นที่เข้ากับเสื้อคลุมเต๋าของเขาแล้วถือมันเอาไว้ในมือ
จากนั้น เขาก็เดินไปที่ “ห้องเมฆ” ข้างๆ ก่อนจะหยิบเมฆสีขาวเจือสีเทา แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบเมฆนั้น ลอยออกไปจากเคหาสน์ถ้ำของเขา
ไม่ใช่ว่า แส้หางม้าทุกอันจะดึงดูดสายตาของตู้เอ้อร์เจินเหรินได้
เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกบำเพ็ญที่เดินทางทุกคนจะโชคดีพอที่จะได้รับการยอมรับในฐานะเป็นศิษย์ในนามจากจอมปราชญ์ไท่ชิง
“ต้องตั้งใจเป็นพิเศษ”
เขาขี่เมฆ เดินทางไปทางตะวันออกอย่างไม่เร่งรีบหรือชักช้า และชื่นชมภูเขาและแม่น้ำที่งดงามของดินแดนเทวะมัชฌิมาไปตลอดเส้นทาง และในไม่ช้า เขาก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ กับสำนักตู้เซียน
ในขณะนั้น สำนักตู้เซียนกำลังคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆ มีผู้คนจำนวนมากที่อยู่นอกประตูภูเขาในขณะที่มีการทดสอบหลากหลายระดับมากมายที่เตรียมไว้ภายในประตูภูเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ตู้เอ้อร์เจินเหรินก็พยักหน้าพลางลูบเครา เขาเดินไปรอบๆ และซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆพร้อมกับรู้สึกพอใจในภาพเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นั้นทีเดียว
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีผู้อาวุโสสองคนของสำนักตู้เซียนบินออกมาจากประตูภูเขาและประกาศการเริ่มต้นการคัดเลือกศิษย์…
“พิธีเปิดสำนักในวันนี้ บรรดาศิษย์จะเข้าไปทางประตูภูเขาและไปถึงยอดเขาหลัก ตลอดทางนั้น จะมีการทดสอบและความยากลำบากทั้งหมดสิบแปดครั้ง ผู้ที่ได้รับเลือกจากผู้เป็นเซียนในสำนักให้เป็นศิษย์จะตัดสินใจเลือกด้วยตนเองว่าจะจากไปหรืออยู่ต่อ
“ผู้ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกจากผู้เป็นเซียนในสำนัก แต่มีคุณสมบัติโดดเด่นจะสามารถอยู่ในสำนักได้ในฐานะศิษย์รับใช้ ซึ่งแน่นอนว่า ทางสำนักจะจัดตารางการฝึกบำเพ็ญให้
สำหรับพิธีอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ได้มีการเพิ่มศิลาแห่งโชคก้อนใหม่ตามบัญชาของท่านเจ้าสำนัก และผู้ที่มีโชคก็จะสามารถเข้าฝึกบำเพ็ญในสำนักได้…”
โชค?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตู้เอ้อร์เจินเหรินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและรู้สึกว่ามันสมเหตุผลแล้ว
ในขณะนั้น ตู้เอ้อร์เจินเหรินยังคงซ่อนตัว เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ในหมู่เมฆ เขามองทะลุผ่านค่ายกลเวทพิทักษ์ขุนเขาของสำนักตู้เซียนได้อย่างง่ายดาย และเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไปในขณะที่เซียนจินทั้งสามคนในสำนักตู้เซียนไม่สังเกตเห็น
ทว่า…
ตู้เอ้อร์เจินเหรินอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ? หลี่ฉางโซ่วยืนเอามือไพล่หลังขณะไตร่ตรองอย่างรอบคอบอยู่ริมทะเลสาบในยอดเขาหยกน้อย
เดิมทีเขาต้องการใช้โชคชะตาเป็นแนวทางเพื่อให้ท่านเจ้าสำนักรับหลี่จิ้งเป็นศิษย์แทนอาจารย์ของเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าการจัดการหลายๆ อย่างของเขานั้นอาจไม่จำเป็น
เตรียมตัวให้พร้อมย่อมดีกว่า การปรากฏตัวของตู้เอ้อร์เจินเหรินย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่า หลี่จิ้งคือ หลี่จิ้งผู้นั้นจริงๆ!
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็หันหลังกลับไปที่กระท่อมมุงจาก
เครื่องมือเวทแห่งโชคได้ถูกส่งมอบให้กับเจ้าสำนักเพื่อไปจัดการแล้ว และเพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วก็ยังได้จัดเตรียมการเอาไว้สองอย่างด้วยเช่นกัน
อย่างแรก เขาได้ชี้ให้ท่านเจ้าสำนักเห็นว่า มีศิษย์คนหนึ่งในกลุ่มศิษย์เหล่านี้ที่มีโชคอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งแน่นอนว่า เขาอาศัยชื่อของท่านปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่
อย่างที่สอง หลี่ฉางโซ่วจะคอยจับตาดูกระบวนการในเข้าสู่สำนักทั้งหมดของเจ้าหนูหลี่จิ้งอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา หากหลี่จิ้งมีโชคไม่เพียงพอ หลี่ฉางโซ่วก็จะใช้ “แผนสำรอง” ที่วางไว้ในเครื่องมือเวทแห่งโชค
ในขณะนั้น หลี่จิ้ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางบรรดาเด็กๆ และคนรุ่นเยาว์อื่นๆ ยังไม่รู้ว่ามีอะไรกำลังรอเขาอยู่…
หลังจากนั้น ครึ่งวันต่อมา ก็มีแสงสีม่วงเข้มพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าที่ด้านหน้าของยอดเขาพิชิตสวรรค์
ทันใดนั้นตู้เอ้อร์เจินเหรินซึ่งกำลังคิดจะออกจากหมู่เมฆไป ก็อดจะตกใจไม่ได้ในขณะที่เหล่าผู้อาวุโสมารวมตัวกันในโถงตู้เซียนและรีบพุ่งออกไปจากห้องโถง
แม้กระทั่งเจ้าสำนักจี้อู๋โหย่ว ซึ่งได้รับคำแนะนำจากหลี่ฉางโซ่วมาก่อนล่วงหน้าก็ยังตื่นตกใจกับพลังแห่งโชคขณะปิดปากและไอออกมาสองสามครั้ง
จากนั้น เขาก็ขี่เมฆไปยังศิลาทดสอบโชค… ทว่าในพริบตานั้น หลี่จิ้งซึ่งกำลังสับสนมึนงง ก็ถูกรายล้อมไปด้วยร่างผู้คนมากมาย…
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่ว ซึ่งอยู่ในกระท่อมมุงจากก็หัวเราะออกมาเบาๆ
เขายังคงปล่อยเสี้ยวสัมผัสเซียนรับรู้เอาไว้เพื่อสังเกตสภาพแวดล้อมรอบกายหลี่จิ้งในขณะที่เพ่งจิตส่วนใหญ่ มุ่งเน้นไปที่ภายนอกสำนัก
ขุนนางธรรมดาก็มีเรื่องธรรมดาให้ต้องใส่ใจจัดการ
ในขณะนั้น ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่วางไว้ใกล้กับวังมังกรทะเลประจิมได้สังเกตสภาพแวดล้อมของวังมังกรในช่วงสองวันที่ผ่านมา
เวลานี้ มีการระดมพลกองทัพมังกรเซียนวารีจำนวนมากและวางกำลังพลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูค่อนข้างผิดปกติ
คนของสำนักบำเพ็ญเต๋าประจิมน่าจะสะสมความโกรธไว้จนเดือดจัด และบางที พวกเขาอาจจะระบายความโกรธผ่านทางวังมังกรทะเลประจิม
บัดนี้ ราชามังกรแห่งวังมังกรทะเลประจิม… กำลังตกอยู่ในอันตราย
เมื่อหลี่ฉางโซ่วก้าวหน้าขึ้นและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้กลายเป็นเทพวารี เขาก็ได้ปรับปรุงการจัดประเภทของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ในหลายๆ กลุ่ม และยังได้จัดตั้งกองทัพตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘วารี’ เอาไว้สำหรับกิจการงานทางแม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเล เพื่อให้สะดวกต่อการบัญชาการและจัดการควบคุมได้อย่างเป็นเอกภาพมากขึ้น
ต้องขอบคุณความจริงที่ว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ อาจารย์อาจิ่วจิ่วได้ใช้ประโยชน์จากเยื่อต้นไม้วิญญาณเก่าแก่ในสำนักอย่างขยันขันแข็งจนคลังตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่ว และคลังไพ่ไม้ตายตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ระเบิดวิญญาณได้รับการเติมเต็มอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วได้ถ่ายโอนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ ‘วารี’ ครึ่งหนึ่งไปยังทะเลประจิมเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจปรากฏขึ้นในทะเลประจิมได้ตลอดเวลา
ตามรูปแบบการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของสำนักบำเพ็ญประจิม เขาจึงคาดการณ์ถึงการกระทำต่อไปของสำนักบำเพ็ญประจิมว่า สำนักบำเพ็ญประจิมจะยึดครองวังมังกรทะเลประจิม
หากทำอะไรได้ ข้าก็จะทำ
ทว่าเพียงในขณะที่หลี่ฉางโซ่วเพิ่งจัดการกับกองทัพตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทั้งหลายไปได้บางส่วน จู่ๆ เจตจำนงวิญญาณของเขาก็ได้ยินเสียงเรียกของมังกรน้อย…
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก! มีบางอย่างเกิดขึ้นขอรับ!” ‘คราวนี้ เผ่ามังกรโต้ตอบได้ทันเวลาขอรับ’
ขณะที่หลี่ฉางโซ่วคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ปล่อยเจตจำนงวิญญาณของเขาออกไปผ่านทางรูปปั้นและดึง อ๋าวอี่เข้าสู่ความฝัน
เมื่อเจ้าสำนักใหญ่และรองเจ้าสำนักแห่งสำนักเทพทะเลได้พบกัน พวกเขาก็กล่าวออกมาพร้อมๆ กันอย่างเข้าใจกันดี…
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “สถานการณ์รอบๆ วังมังกรทะเลประจิมไม่ดีนัก ข้าได้ค้นพบร่องรอยของสัตว์ร้ายบรรพกาลหลายตัวแล้ว”
แต่อ๋าวอี่ก็กล่าวว่า “อาจารย์อาจินกวงได้นำสตรีเซียนกลุ่มหนึ่งจากเกาะไปยังวิหารเทพทะเลในเมืองอันสุ่ยขอรับ!”
ทันใดนั้นทั้งสองคนต่างก็ตะลึงงันไปพร้อมๆ กันหลังจากได้ยินคำพูดของกันและกัน “เทพธิดาจินกวงหรือ?”
“พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นกับทะเลประจิมหรือขอรับ?”
หลี่ฉางโซ่วรีบกล่าวว่า “วังมังกรทะเลประจิมมีบางอย่างแปลกๆ ข้าคิดว่าสำนักบำเพ็ญประจิมกำลังลงมือสร้างปัญหา เจ้าจงไปบอกบิดาของเจ้า ส่วนข้าจะไปจัดการเรื่องที่วิหารเทพทะเล เทพธิดาที่เจ้าเอ่ยมานั้น…นางมาเมื่อใด พวกนางดูดีใจหรือโกรธหรือไม่? และพวกนางดูไม่พอใจหรือเป็นกังวลหรือไม่?”
“ขอรับ… พวกนางดูไม่สบอารมณ์ยิ่ง เดิมทีพวกนางกำลังปลอบโยนอาจารย์อาจินกวง แล้วจากนั้นพวกนางก็ตกลงกันว่าจะไปหาพี่ชาย”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆและถอนหายใจอย่างรู้สึกโล่งอกลึกๆ ในใจจริงๆ ในขณะที่อ๋าวอี่โค้งคำนับแล้วรีบจากไปโดยไม่ต้องให้หลี่ฉางโซ่วกระตุ้นเร่งเขา
หลี่ฉางโซ่วซ่อนตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เอาไว้ลึกลงไปในทะเลประจิม เขาเพ่งจิตบางส่วนไว้ที่ทะเลประจิม และจัดเตรียมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เซียนจินให้รออยู่ในวิหารเทพทะเลไว้ก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเมฆขาวสองก้อนลอยข้ามมาจากทะเลทักษิณ ซึ่งมีเทพธิดาผู้งดงามสิบเจ็ดหรือสิบแปดคนกำลังยืนอยู่บนนั้น
เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่า พวกนางส่วนใหญ่มีใบหน้าที่เขาคุ้นเคย พวกเขาเคยพบหน้ากันมาก่อนในระหว่างพิธีเทพทะเลหรือพบกันในถ้ำดิน
เทพธิดาคนแรกแต่งกายด้วยชุดสีแดงและสวมมงกุฎหงส์ นางเป็นศิษย์คนโปรดของนักพรตเต๋าตั๋วเป่า – เทพธิดาหั่วหลิง
นอกจากนี้ ยังมีเทพธิดาจินกวงอยู่ข้างๆ ซึ่งนางมีรูปร่างเตี้ยกว่าเทพธิดาหั่วหลิงเล็กน้อย
ในขณะนั้น เทพธิดาจินกวงดูเหม่อลอยและมึนงง ใบหน้างดงามของนางดูซีดเซียวอย่างยิ่ง และในขณะนี้ ประกายแวววาวของกระโปรงสั้นของนางซึ่งทำจากผ้าไหมสีทองก็ลดลงไปเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วเริ่มขี่เมฆออกไปต้อนรับพวกนางก่อน และโค้งคำนับด้วยการทำคารวะเต๋าให้พวกนางมาแต่ไกล
เทพธิดาหั่วหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเหลือบมองไปยังเหล่ามนุษย์ธรรมดาที่ยืนอยู่บนหลังคาและตามถนนของเมืองอันสุ่ยที่กำลังมองมาที่พวกนาง นางจึงกระซิบว่า “ท่านอาจารย์อา พวกเราไปสนทนาที่วิหารของท่านกันเถิด”
“ได้”
………………………………………………………………..
[1] ปิดปากเงียบเพื่อเก็บความลับเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ความลับเล็ดลอดออกไปได้